นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1068 เจรจา,จักรพรรดิก็ไม่กล้ายั่วยุ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1068
เสด็จอาเก้าต้องการให้หนานหลิงจิ่นสิงกำราบเมืองไถจงให้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยทำการเจรจา เรื่องการกำราบเมืองไถจงนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเจรจาผลประโยชน์ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถตกลงกันได้โดยเพียงคำพูดไม่กี่คำ
ดูจากภายนอก ผู้ที่ทำให้เกิดสงครามในเมืองไถจงคือหนานหลิงจิ่นสิงกับท่านอ๋องสาม สงครามสิ้นสุดลง แน่นอนผลประโยชน์จะต้องตกอยู่ในมือของทั้งสองฝ่าย แต่ฝู่หลินกลับนำทหารมาชำระล้างกองทหารของท่านอ๋องสามถึงซานตง เช่นนั้นพวกเขาจะออกมาแบ่งปันผลประโยชน์ของชัยชนะกันได้อย่างไร ดังนั้นเวลานี้ผลประโยชน์ทั้งหมดจึงตกไปอยู่ในมือของหนานหลิงจิ่นสิง
การพูดคุยเกี่ยวกับสันติภาพเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ลำพังแค่หนานหลิงจิ่นสิง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยึดเมืองไถจงมาได้ ไทเชาเป็นเหมือนหมาจนตรอก พร้อมจะสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อความอยู่รอด ไม่ยอมมอบหรือแบ่งดินแดนให้แก่ใคร ทั้งสองฝ่ายจึงต้องใช้ถนนร่วมกันมาถึงเวลานี้ จนกระทั่งเสด็จอาเก้ายื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับซานตง หนานหลิงจิ่นสิงจึงใช้การมาของฝู่หลินเป็นตัวกลาง ทำให้การเจรจาถึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ในความเป็นจริงฝู่หลินเองก็มาเพื่อเจรจา เขาช่วยหนานหลิงจิ่นสิงเจรจากับเมืองไถจง และเขาต้องการให้หนานหลิงจิ่นสิงส่งมอบกองทัพกบฏของท่านอ๋องสามให้กับเขา เพื่อที่เขาจะได้มอบให้กับจักรพรรดิเพื่อเป็นการรายงานผล
นี้เป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ แต่นอนว่าหนานหลิงจิ่นสิงไม่มีทางปฏิเสธ อีกอย่างก่อนที่เสด็จอาเก้าจะจากไปก็ได้พูดเอาไว้ว่า ไม่ต้องเสียดายทหารห้าหมื่นนายนี้ เมื่อใดที่ท่านอ๋องสามนำทหารห้าหมื่นนายนี้ออกมา นั่นเท่ากับว่าเขาตั้งใจที่จะพลีชีพ
จริงอยู่ว่าทหารห้าหมื่นนายนี้นั้นดูแข็งแกร่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่อาจนำไปใช้งานได้ ต่อให้มอบมันให้แก่จักรพรรดิ เสด็จอาเก้าก็คงไม่รู้สึกอะไร ตรงกันข้าม กองทัพอันเกรียงไกรที่แท้จริงของท่านอ๋องสาม เขาก็ได้มันมาครอบครองแล้ว
และการที่เอาทหารเหล่านี้กลับไปยังตงหลิงในฐานะทหารผู้แพ้สงคราม สำหรับทหารเหล่านี้แล้วมันก็ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว จักรพรรดิจะไม่สังหารทหารผู้ยอมจำนนของฝ่ายข้าศึก เนื่องจากจะนำมาซึ่งหายนะ ต่อให้จักรพรรดิเกลียดท่านอ๋องสามมาแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางลงมือกับทหารเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาเป็นเพียงแค่ทหารธรรมดาและเป็นผู้รับคำสั่งเท่านั้น
ในฐานะผู้แพ้สงคราม แม้ไทเชาจะพ่ายแพ้ แต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียอะไรมากถึงขนาดนั้น และก็ไม่ได้สนใจเงื่อนไขของหนานหลิงจิ่นสิงมากมายนัก เขารู้ว่าตงหลิงไม่มีทางปล่อยให้เมืองไถจงตกไปอยู่ในมือของหนานหลิง มีทหารของตงหลิงอยู่ หนานหลิงจิ่นสิงก็ไม่กล้ายกทัพมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่คิดไม่ถึงว่าหนานหลิงจิ่นสิงจะแอบร่วมมือกับฝู่หลิน ขายพวกเขาให้กับศัตรูของตนเอง
“ไร้ยางอาย ไร้ยางอาย ไร้ยางอายยิ่งนัก คนของราชวงศ์ไร้ยางอายเหมือนกันหมด” ไทเชาสาปแช่งออกมา แต่มันจะไปทำอะไรได้ เขาไม่มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสูญเสียกำลังทางทหารของเมืองไถจง เพียงแค่เรื่องที่พวกเขาสูญเสียเงินจำนวนสองล้านตำลึงให้กับการค้าในเมืองหลายแห่ง เท่านี้เมืองไถจงก็ไม่อาจฟื้นฟูความมั่งคั่งเหมือนที่เคยเป็นมาได้ในระยะเวลาสามสิบถึงสี่สิบปี
การแบ่งดินแดนและการชดใช้ค่าเสียหายล้วนเป็นการเจรจาสันติภาพตามปกติ แม้ไทเชาจะไม่พอใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงยอมรับมัน แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ เงื่อนไขใหม่ที่หนานหลิงจิ่นสิงเป็นคนเสนอให้กับเขา
“องค์ชายจิ่นสิง ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองไถจง?” ไทเชากัดฟันและพูดออกมา
หากคนในเมืองไถจงรู้ว่าเจ้าเมืองอย่างเขาถูกตงหลิงและหนานหลิงจับไปขังไว้ในหลุมดำ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน และหลังจากนี้เขาจะจัดการกับเมืองไถจงได้อย่างไร
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเจ้าเมืองไถจง แต่แล้วมันยังไง? เจ้าไม่รู้หรือว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นพี่สาวของข้า เจ้ากล้าจับพี่สาวของข้าไปขังไว้ในหลุมดำ เจ้าเองก็น่าจะรู้ถึงผลที่ตามมา” ในตอนที่เสด็จอาเก้าเขียนจดหมายถึงหนานหลิงจิ่นสิง เขาตั้งใจเขียนเรื่องที่ไทเชาจับตัวเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปขังในหลุมดำเป็นพิเศษ
แม้เสด็จอาเก้าจะไม่ได้บอกให้จัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แต่หนานหลิงจิ่นสิงก็เข้าใจเป็นอย่างดี ที่เสด็จอาเก้าพูดถึงเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะต้องการให้เขาช่วยเฟิ่งชิงเฉินทำการแก้แค้นอันเล็กน้อยในครั้งนี้
เป็นแค่การแก้แค้นอันเล็กน้อยเท่านั้น
“สถานการณ์ในตอนนั้น……” เผชิญหน้ากับสายตาอันเยือกเย็นของหนานหลิงจิ่นสิง ไทเชากลืนคำแก้ตัวของเขากลับไป กล่าวออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “องค์ชายจิ่นสิง ข้าไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นพี่สาวของท่าน ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
“ไม่เป็นไร เจ้าเมืองไถจงไม่รู้ว่าชิงเฉินเป็นพี่สาวของข้า แต่เจ้าจะต้องรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าเป็นแน่ เจ้ากล้ามายุ่งกับคนที่เสด็จอาเก้าต้องการปกป้อง เจ้าก็ต้องชดใช้ ใต้เท้าฝู่ ท่านว่าใช่หรือไม่?” หนานหลิงจิ่นสิงดึงฝู่หลินเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร้ยางอาย
ตงหลิงร่วมมือกับหนานหลิง ในฐานะเจ้าเมืองไถจงผู้ต่ำต้อย นอกจากยอมรับความโชคร้าย เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว
“องค์ชายจิ่นสิงพูดถูก ข้าคิดว่าควรจะเลือกถ้ำที่เหมาะสมให้เจ้าเมืองไถจงไปอยู่สักสามถึงห้าวัน เจ้าเมืองไถจงจะเต็มใจหรือไม่นั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าเชื่อว่ายังมีคนอีกมากมายในเมืองไถจงที่ต้องการขึ้นมาแทนตำแหน่งเจ้าเมืองไถจง” ฝู่หลินไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใด เขาเปิดฉากมาด้วยคำขู่
ต้องการเกียรติของเจ้าเมือง ต้องการมากไม่ใช่หรือไง? ไม่มีเจ้าแล้วจะไม่มีใครหรือไง เช่นนั้นใครที่สามารถมีชีวิตอยู่หลังจากเข้าไปในถ้ำสามถึงห้าวันได้ ออกมาข้าจะให้คนผู้นั้นเป็นเจ้าเมือง
ว่าไง? เจ้าไม่เห็นด้วย? ประชาชนของเมืองไถจงไม่เห็นด้วย?
ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่เห็นด้วยข้าก็แค่สังหารเจ้า ประชาชนไม่เห็นด้วยข้าก็แค่สั่งให้ทหารไปจัดการพวกเขา ฆ่าพวกเขาจนทุกคนเห็นด้วย อย่างไรเสียทหารของตงหลิงและหนานหลิงก็อยู่นอนเมือง สามารถเข้ามาในเมืองได้ทุกเมื่อ หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกเขาก็สามารถเรียกค่าเสียหายจากสงครามได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ขาดทุนอยู่ดี
ไทเชาทั้งโกรธทั้งโมโห แต่ความจริงบนโลกมันก็เป็นเช่นนี้ ต้องการเกียรติยศ? ต้องการความเย่อหยิ่ง? ได้ ก็เอาความสามารถมาแลก หากไม่มีความสามารถ? หากเจ้าไม่ยอมจำนน สิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงแต่ความตายเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าไทเชาไม่อยากตาย แต่มันก็คงยากเกินไปที่จะให้เขาเปลี่ยนคำพูดในทันที ใบหน้าของไทเชาแดงก่ำเมื่อเผชิญหน้ากับหนานหลิงจิ่นสิงและฝู่หลิน
ผู้อาวุโสจูเก๋อรู้สึกเหยียดหยามในใจ เห็นว่าเรื่องราวดำเนินมาพอสมควรแล้ว เขาจึงกล่าวออกมาว่า “คุณชาย ความอดทนนำไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ อย่านำอารมณ์มาตัดสินใจทำให้ภาพรวมต้องวุ่นวาย แม้ว่าจะไม่สนใจชีวิตของตนเอง แต่อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่ชีวิตของประชาชนแห่งเมืองไถจง”
เห็นได้ชัดว่าตนเองเกรงกลัวความตาย แต่กลับนำคุณธรรมเข้ามาอ้าง เมื่อมีบันไดให้ปีนป่าย สีหน้าของไทเชาก็ดูดีขึ้นมาทันใด ราวกับว่าเขากำลังแบกรับภาระของความอัปยศอดสู
หนานหลิงจิ่นสิงและฝู่หลินต่างมองเขาด้วยความเหยียดหยาม แต่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในเวลาเดียวกัน ซานตง เมืองไถจง เรื่องยุ่ง ๆ เหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว หลังจากเดินทางกลับ พวกเขาเองก็น่าจะได้ผลประโยชน์ไม่น้อย
หนานหลิงจิ่นสิงใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมกำลังทหารได้เป็นจำนวนมาก ประกอบกับชัยชนะที่ได้รับ ทำให้เขาเข้าใกล้ตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งหนานหลิงมากขึ้น แต่หนานหลิงจิ่นฝานไม่มีวันเห็นด้วยเป็นแน่ เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง เกรงว่าคงเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นในแดนหนานหลิง
เช่นเดียวกัน ฝู่หลินก็ถือได้ว่าเป็นผู้นำชัยชนะกลับไปยังพระราชวัง สิ่งที่สำคัญคือ ไม่มีทหารนายใดได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว และยังได้ผลประโยชน์กลับไปอีกมากมาย สิ่งที่รออยู่หลังจากเขากลับไปจะต้องเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
หนานหลิงจิ่นสิงค่อนข้างใจกว้าง เงินสองล้านตำลึงเป็นของเมืองไถจงไม่ใช่หรือ หนานหลิงจิ่นสิงนำเงินจำนวนห้าแสนตำลึงมอบให้กับฝู่หลิน หลังจากเสด็จอาเก้ารู้เรื่องดังกล่าว เขาก็น่าจะรู้ว่าเหตุใดตนเองถึงได้น้อยกว่าเดิมห้าแสนตำลึง
ไม่มีสงครามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และเหตุการณ์ในซานตงก็ถือเป็นข่าวดี หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไปถึงหูจักรพรรดิ เมื่อจักรพรรดิได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก และเขาก็หายจากอาการป่วยทันที
หลังจากนั้น สิ่งแรกที่จักรพรรดิต้องจัดการคือเรื่องของท่านอ๋องสามและพระสนมซู แต่เสด็จอาเก้ากลับจัดการเรื่องราวทุกอย่างโดยไม่เหลือร่องรอย จักรพรรดิไม่อาจลงมือได้ เมื่อคิดจะไปหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉินกลับพบว่ามีกองกำลังแปลก ๆ ที่ดูน่าเกรงขามเดินทางมายังจวนเฟิ่ง แม้จักรพรรดิจะไม่ได้กลัวกองกำลังดังกล่าว แต่เขาก็ไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยาก……
แม้ว่าการมาของคนพวกนี้จะมีผู้รับรู้เพียงน้อยนิด แต่ทำให้บรรยากาศของเมืองจักรพรรดิเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเคร่งขรึมขึ้นทันที แม้เสด็จอาเก้าเองก็ยังรู้สึกกังวล
การมาของคนเหล่านี้เป็นเรื่องบังเอิญหรืออุบัติเหตุ?