นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1070 น้ำตา,ร้องไห้หาเสด็จอาเก้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1070
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันพูดออกมา หยุนเซียวไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเฟิ่งชิงเฉินได้ ก่อนที่เจ๋อเจ๋อจะมาถึงจวนเฟิ่ง เขาเองก็อยากฆ่าคนเช่นกัน
ทุกคนต่างเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา หยุนเซียวก้าวเข้ามาตบไหล่ของเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับกล่าวปลอบใจออกมาว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าเศร้าไปเลย อย่าคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ รีบคิดหาหนทาง การหาวิธีการรักษาเจ๋อเจ๋อให้ได้เร็วที่สุดถึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นเจ้ากับข้าคงไม่มีวันสงบสุข เจ้าเองก็รู้ว่าชื่อเสียงของลัทธิปีศาจ ข้าเพียงแค่เคยได้ยินเท่านั้น ไม่เคยเห็นหรือพบเจอด้วยตัวเองมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอคนของลัทธิปีศาจ และเป็นครั้งแรกที่ทำความรู้จักกับลัทธิปีศาจ”
หยุนเซียวละทิ้งความสัมพันธ์ของเขาอย่างไม่รับผิดชอบ บ่งบอกว่าตนเองไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นหากเสด็จอาเก้าว่างเมื่อไหร่ เขาคงถูกเสด็จอาเก้าคิดบัญชี
พูดไปพูดมา ด้านนี้เขาอาจเป็นคนที่น่าสมเพชที่สุด ในความเป็นเรื่องเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ได้เป็นผู้ติดต่อคนพวกนี้ หากจะโกรธก็ต้องโกรธที่ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินนั้นโด่งดังเกินไป โด่งดังจนไปถึงหูของผู้นำลัทธิปีศาจ ถึงได้ดึงดูดดาวร้ายเข้ามาเช่นนี้
หยุนเซียวปลอบโยนด้วยคำพูดที่ดีเป็นเวลานาน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงตกอยู่ในความหดหู่ หยุนเซียวพูดง่าย แต่เมื่อทำขึ้นมาจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องยากธรรมดา ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางไม่ถนัดเกี่ยวกับโรคทางจิตวิทยา ต่อให้นางเป็นผู้ชำนาญการทางด้านนี้ นางก็ไม่อาจแตะต้องเจ๋อเจ๋อได้
องครักษ์ข้างกายของเจ๋อเจ๋อ ปฏิบัติกับเจ๋อเจ๋อราวกับไข่ในหิน ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ เช่นนี้จะทำการรักษาได้อย่างไร?
ออกมาจากบ้านตระกูลหยุนตั้งแต่เช้า เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากกลับไปจวนเฟิ่งเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่หลังจากที่พวกของทงเหยาล้มป่วย เฟิ่งชิงเฉินก็สั่งให้คนรับใช้ในจวนเฟิ่งทั้งหมดย้ายไปอยู่ที่เรือนแยก ทั้งจวนเฟิ่งนอกจากนางก็มีเพียงแค่เจ๋อเจ๋อและองครักษ์ของเขา
เฟิ่งชิงเฉินอยู่บนรถม้า คนขับรถม้าถามนางว่าจะไปที่ไหน เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไปว่าต้องการไปยังจวนอ๋องเก้า
นางรู้ว่าช่วงนี้เสด็จอาเก้ายุ่งมาก แต่เวลานี้นางเองก็น่าสงสารมากเช่นกัน นางต้องการคนมาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ช่วยนางคิดหาหนทาง พาตัวของเทพปีศาจตัวน้อยอย่างเจ๋อเจ๋อออกไปให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องการรักษา?
ช่างมันเถอะ นางไม่มีความสามารถเช่นนั้นอยู่จริง ๆ และจากมุมมองของนาง อาการป่วยนี้ไม่ใช่ของเจ๋อเจ๋อ แต่เป็นพ่อของเจ๋อเจ๋อ หากไม่ใช่เพราะพ่อของเขาตามใจตั้งแต่ยังเด็ก เจ๋อเจ๋อจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
เหมือนกับที่ผ่านมา คนในจวนอ๋องเก้าให้ความต้อนรับต่อการมาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องรายงาน พ่อบ้านรีบพาเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปยังด้านนอกของตำหนักที่ทำงานของเสด็จอาเก้าทันที
“แม่นางเฟิ่ง ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือ แม่นางเฟิ่งสามารถเข้าไปได้เลย” พ่อบ้านชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเล็ก ๆ ของเขาเปล่งประกายด้วยสติปัญญา
“จะเป็นการรบกวนท่านอ๋องของเจ้าหรือไม่?” เห็นว่าพ่อบ้านชราไม่เข้าไป เฟิ่งชิงเฉินก็เดาว่าเสด็จอาเก้าน่าจะกำลังจัดการกับเรื่องบางอย่างที่สำคัญอยู่เป็นแน่
“ไม่ ไม่เป็นอันขาด แม่นางเฟิ่งจะรบกวนท่านอ๋องได้อย่างไร การที่ท่านเดินทางมายังจวนอ๋องเก้าก็มีแต่จะทำให้ท่านอ๋องดีใจเท่านั้น” คำพูดนี้ของพ่อบ้านชราเป็นความจริง แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะยุ่งจนไม่มีเวลาไปหาเฟิ่งชิงเฉิน แต่หากเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาด้วยตนเอง ต่อให้เสด็จอาเก้าจะยุ่งแค่ไหนเขาก็ยอมหยุดมือเพื่อมาคุยกับเฟิ่งชิงเฉิน
เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินเข้ามา เสด็จอาเก้าก็สั่งให้ลูกน้องที่เขามารายงานออกไป และนำงานที่เขียนไว้ครึ่งหนึ่งเลื่อนไปไว้ด้านข้าง
“เจ้ามีเวลาว่างมาหาข้าด้วยงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าเดินไปด้านหน้าโต๊ะหนังสือและนั่งลงข้าง ๆ เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นใบหน้าอันเฉื่อยชาของเฟิ่งชิงเฉิน เขาขมวดคิ้วและถามออกมาว่า “เจ้าเป็นอะไรงั้นหรือ? ใครทำร้ายเจ้า?”
“มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังจวนของข้า เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินซบตัวลงบนโต๊ะพร้อมกับกล่าวอย่างอ่อนแรง
“เจ้าพูดถึงนายน้อยแห่งลัทธิปีศาจ เจ๋อเจ๋อ?” เสด็จอาเก้ารู้ตั้งแต่วันแรกที่คนพวกนั้นเดินทางมาแล้ว
“ใช่ เจ้าปีศาจตัวน้อยนั่น” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันและพูดออกมา นางคิดว่าเสด็จอาเก้าน่าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจวนเฟิ่งบ้างเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ใครใช้ให้สายลับที่มีหน้าที่ส่งข่าวถูกองครักษ์ของเจ๋อเจ๋อจับได้ตั้งแต่วันแรกกัน
“ก็แค่เด็กคนเดียว เขาจะทำอะไรเจ้าได้?” เสด็จอาเก้าถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ เรื่องของเจ๋อเจ๋อเขาไม่รู้จริง ๆ เรื่องสำคัญที่เขารับรายงานมา ส่วนใหญ่แล้วมันไม่มีเรื่องของเด็กคนนั้น
เด็กที่อายุได้เพียงหกขวบจะมีอำนาจมากเพียงใดกันเชียว
“เด็ก? เขาจะเป็นเด็กได้อย่างไง แต่ว่าเขามีอาการป่วยอยู่จริง เจ้าไม่รู้ เด็กคนนั้นมันไม่ใช่คน……” เฟิ่งชิงเฉินเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เจ๋อเจ๋อทำลงไปในช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมาให้เสด็จอาเก้าฟังอย่างละเอียด
เฟิ่งชิงเฉินเล่าจบในลมหายใจเดียว พูดจนคอแห้ง เสด็จอาเก้ารีบรินน้ำชาส่งให้เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินดื่มมันจนหมดและพูดออกมาอีกว่า “ถือว่าข้ายังโชคดีที่ข้าเป็นหมอ เจ๋อเจ๋อจึงทำอะไรกับข้าอย่างมีสามัญสำนึกมากกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นข้าคงตกใจตายไปนานแล้ว”
แม้จะไม่มีการทำร้ายร่างกาย แต่ความหายนะทางจิตใจนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
“ตามที่เจ้าเล่ามา อาการป่วยของเด็กคนนี้รุนแรงยิ่งนัก” เสด็จอาเก้าเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เล่าเกินความเป็นจริง ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทเกินไป
ดุร้ายและโหดร้ายมากตั้งแต่อายุยังน้อย หากปล่อยให้เติบใหญ่เกรงว่าคงไม่อาจรับมือได้
“ใช่ หัวใจของเด็กคนนั้นวิปริตอย่างรุนแรง หากไม่ได้เกิดมาเหี้ยมโหดตั้งแต่กำเนิด เช่นนั้นก็ต้องเกิดจากแรงกระตุ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่น่ากลัวถึงเพียงนี้” เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยหวาดกลัวผู้ใดมากถึงเพียงนี้มาก่อน
ในตอนที่เด็กคนนั้นทำสิ่งเหล่านี้ ด้วยตาของเขาเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาจนน่าตกใจ เขาไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเลยแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องที่เขาทำลงไปนั้นสมเหตุสมผล คนเหล่านั้นต่างสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเหี้ยมโหดจากเขา
“พูดแบบนี้ก็แสดงว่าอาการป่วยของเขาไม่อาจรักษาได้?” ทุกเรื่องต่างมีผู้เชี่ยวชาญ และทักษะทางการแพทย์เองก็มีหลายแขนง เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินถนัดทางด้านแผลภายนอกมากกว่า
“หากข้าสามารถรักษาได้ก็คงไม่มาหาเจ้า เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ข้าเพิ่งกลับมาจากบ้านตระกูลหยุน ข้าต้องการให้หยุนเซียวนำเด็กคนนี้กลับไป แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเจ้าบ้าหยุนเซียวก็ไม่เห็นด้วย” เฟิ่งชิงเฉินเล่าเรื่อง “ความชั่ว” ของหยุนเซียวออกมา จ้องมองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด จากท่าทางดังกล่าวราวกับจะบอกเสด็จอาเก้าว่า เจ้าต้องระบายความโกรธให้ข้า
เสด็จอาเก้ายิ้มออกมาและพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อทำให้เฟิ่งชิงเฉินสบายใจ เขาจะต้องระบายความโกรธนี้ให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นแน่ แต่เรื่องระบายความโกรธนั้นไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เรื่องที่ควรรีบร้อนน่าจะเป็นเรื่องของเจ๋อเจ๋อมากกว่า
“เจ้าอยากจะส่งเขากลับไป?”
“อื้อ อื้อ ข้าไม่สามารถรักษาอาการป่วยของเขาได้ หากปล่อยให้เขาอยู่ในจวนเฟิ่ง เกรงว่าข้าเองก็คงจะเป็นบ้าเหมือนกับเขา”
“เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย” แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือรู้จักกับลัทธิปีศาจ แต่ก็พอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิปีศาจมาบ้าง ผู้นำลัทธิปีศาจเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง เขาไม่มีทางยอมรับคำปฏิเสธเป็นแน่
“เฮ้อ เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร?” ขนาดเสด็จอาเก้ายังบอกว่าไม่ใช่เรื่องงาน เช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ เฟิ่งชิงเฉินยิ่งรู้สึกหดหู่ใจขึ้นไปอีก
“ไม่ต้องรีบร้อน อาศัยอยู่กับข้าไปก่อนสักช่วงเวลาหนึ่ง ข้าขอคิดหาวิธีก่อน” เมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้ารู้ว่าสองวันที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินคงไม่ได้หลับสบาย จึงลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเป็นห่วง
“การหลบหรือหนีปัญหาไม่ใช่วิธีการแก้ไข แม้วันนี้จะหนีได้ แต่ก็ไม่อาจหนีต่อไปได้ทั้งชีวิต อีกอย่าง หากข้าไม่กลับไป เกรงว่าเจ้าปีศาจตัวน้อยนั่นคงทำลายบ้านของคนจนย่อยยับ” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าถูกับฝ่ามือของเสด็จอาเก้า
ฮือฮือฮือ ต้องการคำปลอบใจ
“ทำลายก็ทำลายไป ก็แค่ไปคิดค่าเสียหายกับลัทธิปีศาจก็สิ้นเรื่อง” ต่อให้บ้านสำคัญแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเฟิ่งชิงเฉินได้ เห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน หากปล่อยให้อยู่กับปีศาจตัวน้อยต่อไป เกรงว่าตนเองก็คงจะป่วยไปด้วย
แต่เมื่อได้ยินเรื่องของเจ๋อเจ๋อ เสด็จอาเก้าก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
เป็นเช่นนี้ การที่คนของลัทธิปีศาจปรากฏตัวขึ้นมาในตงหลิงอย่างกะทันหัน ทุกอย่างเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ ไม่เกี่ยวอะไรกับแผนที่จิ่วโจว
อย่าโทษที่เสด็จอาเก้าระมัดระวังมากเกินไป ในความเป็นจริงทุกอย่างเป็นเพราะเสด็จอาเก้าเข้าใจพี่น้องของเขาเป็นอย่างดี ท่านอ๋องสามสามารถนำเรื่องความลับของแผนที่จิ่วโจวมาบอกกับเขาได้ แน่นอนว่าก็สามารถบอกเรื่องที่แผนที่จิ่วโจวอยู่ในมือของหลานจิ่วชิงให้กับผู้นำลัทธิปีศาจได้เช่นกัน
หลังจากที่ลัทธิปีศาจล่มสลายมาตั้งแต่อดีต พวกเขาก็ไม่เคยออกมาป้วนเปี้ยนในยุทธจักรอีกเลย เมื่อปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสด็จอาเก้าก็อดที่จะคิดมากไม่ได้……