นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1072 ส่งถึงบ้าน,คำขู่ของเสด็จอาเก้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1072
ในเมื่อทั้งสองคนล้วนวิปริต เช่นนั้นเด็กวิปริตก็ไม่อาจสู้ผู้ใหญ่ที่วิปริตได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคิดของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น แต่เสด็จอาเก้าก็ช่างจิตใจดียิ่งนัก เขาไม่เคยทำให้เฟิ่งชิงเฉินผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่ว่าจะมีเหตุผลและฉลาดเพียงใด เจ๋อเจ๋อก็เป็นเพียงเด็กอายุหกขวบ ภายใต้แรงกดดันของเสด็จอาเก้า ไม่นานเขาก็เริ่มทนไม่ไหว ปากของเขามุ่ย มีหมอกปรากฏออกมาในแววตาของเขา ร่างกายหดลงเล็กน้อย และถามออกมาด้วยความเป็นเด็กว่า “ลุงเสด็จอาเก้า ท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
“ไม่มี” เสด็จอาเก้าไม่มีความรู้สึกละอายใจที่รังแกเด็กคนนี้เลย เขาไม่เคยเห็นเจ๋อเจ๋อเป็นเด็กในสายตาของเขา เด็กแบบนี้มันไม่ปกติตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เจ๋อเจ๋อถอนหายใจออกมา จากนั้นรีบถามออกมาอีกว่า “ในเมื่อลุงเสด็จอาเก้าไม่มีเรื่องอันใด เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนได้หรือไม่?”
มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่จะหลีกเลี่ยงอันตราย แม้ว่าเจ๋อเจ๋อจะมีอายุได้เพียงหกขวบก็ตาม
“ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?” ใบหน้าของเจ๋อเจ๋อเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มีความความดื้อรั้นปรากฏออกมาให้เห็นบนใบหน้า
“ก็ไม่ได้มีอะไร ได้ยินมาว่าเจ้าชอบกลิ่นคาวเลือดและชอบฆ่าคนมากใช่ไหม?” เสด็จอาเก้าพบว่าเด็กคนนี้ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับที่เฟิ่งชิงเฉินเล่าให้เขาฟัง
ความน่ากลัวที่แท้จริงคือเหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างกายของเขาเหล่านั้น ขอแค่ขับไล่องครักษ์พวกนั้นออกได้ การที่เฟิ่งชิงเฉินจะสั่งสอนเด็กคนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“อื้อ อื้อ” เจ๋อเจ๋อพยักหน้าตอบรับ ดวงตาคู่นั้นของเขาเป็นประกาย “ข้าชอบมันเป็นอย่างมาก ชอบเห็นเลือดที่สาดกระเซ็น ชอบเห็นเลือดที่ตกอยู่บนพื้น มันเหมือนกับดอกเหมย และก็ท่าทางหวาดกลัวของคนขี้ขลาดเหล่านั้น”
เจ๋อเจ๋อยิ่งพูดยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ราวกับกำลังพูดถึงงานอดิเรกในใจของตนเอง เจ๋อเจ๋อตื่นเต้นจนกระโดดออกมาจากเก้าอี้
“ลุงเสด็จอาเก้า ท่านล่ะ? ท่านชอบมันหรือไม่?”
ชอบหรือไม่?
ไม่มีใครชอบฆ่าคนมาตั้งแต่กำเนิด และไม่มีใครชอบกลิ่นคาวเลือดมาตั้งแต่กำเนิด เสด็จอาเก้าจ้องมองไปที่เจ๋อเจ๋อด้วยดวงตาแห่งความสับสน จากคำตอบของเจ๋อเจ๋อ เขาสามารถมองออกได้ว่า เด็กคนนี้ไร้เดียงสา ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าอะไรผิดหรือถูก ดำหรือขาว ไม่รู้ว่าการที่ตนเองฆ่าผู้อื่นนั้นมันเป็นความผิดแต่อย่างใด
เจ๋อเจ๋อเห็นเสด็จอาเก้าไม่ยอมตอบคำถาม เขาก้าวออกมาด้านหน้าอย่างรีบร้อน ดึงแขนเสื้อของเสด็จอาเก้าและถามออกมาว่า “ลุงเสด็จอาเก้า ท่านไม่ชอบอย่างนั้นหรือ? มันสนุกมากเลยนะ”
ตุบ……สิ่งที่เป็นคำตอบนั้นไม่ใช่คำพูดของเสด็จอาเก้า แต่เป็นลูกเตะของเสด็จอาเก้า
เด็กอายุเพียงหกขวบ จะไปรับลูกเตะของเสด็จอาเก้าได้อย่างไร แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะใช้แรงไปเพียงแค่หนึ่งส่วน เจ๋อเจ๋อก็ถูกเตะจนล้มลุกคลุกคลานไปหลายรอบ
องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกคิดจะเข้ามา แต่ถูกแววตาแห่งจิตสังหารอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าห้ามไว้
“เจ็บ……” เจ๋อเจ๋อวางมือทั้งสองข้างลงบนจุดที่ถูกเสด็จอาเก้าเตะด้วยสีหน้ากล่าวหา
เขาแค่อยากแบ่งปันเรื่องราวแห่งความสนุกกับลุงที่หน้าตาดีซึ่งอยู่ด้านหน้าของเขาเท่านั้น เรื่องจากลุงผู้นี้ไม่เกรงกลัวสายตาที่ตนเองมองไปยังเขา เขาชอบลุงคนนี้เป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผากของนางจนไม่เหลืออยู่ รู้สึกละอายใจที่เสด็จอาเก้ารังแกเด็กคนนี้ แต่น่าเสียดายที่เสด็จอาเก้ามีเพียงความคิดที่จะกลั่นแกล้ง เขาจึงถามออกไปอย่างเยือกเย็น “เจ็บมากไหม?”
เจ๋อเจ๋อพยักหน้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา
“ความเจ็บของเจ้ามันคืออะไร คนที่ถูกเจ้าฆ่านั้นเจ็บปวดกว่าเจ้าเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า เจ๋อเจ๋อ ฆ่าคนไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้าด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมนั้นเป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย” เสด็จอาเก้าไม่ใช่พ่อพระที่เมตตา ดังนั้นในตอนที่เขาด่าสั่งสอนจึงสมจริงเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่ได้สังหารคนบริสุทธิ์ พวกเขาทั้งหมดล้วนสมัครใจ” เจ๋อเจ๋อกล่าวออกมาด้วยความโกรธ ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูจริงจัง ไม่มีร่องรอยของการโกหก
หากไม่ใช่เพราะไม่รู้จริง ๆ ก็อาจเป็นเพราะถูกซ่อนอยู่ลึกเกินไป หากเป็นผู้ใหญ่ เสด็จอาเก้าคงรู้สึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกกตัญญู เสด็จอาเก้าเชื่อว่าเจ๋อเจ๋อไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
เสด็จอาเก้ามองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาที่ต้องการบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่า การอบรมสั่งสอนเจ๋อเจ๋อนั้นเป็นหนทางอันยาวไกล
เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเงียบ ๆ
นางปฏิเสธได้งั้นหรือ? นางรู้สึกว่าเสด็จอาเก้าทำได้ดีกว่านางมาก ทันทีที่เข้ามาในจวนเฟิ่งก็สามารถขับไล่คนข้างกายของเจ๋อเจ๋อออกไปได้ และยังทำให้เจ๋อเจ๋อไม่กล้าลงมือ
อย่าว่าแต่ทุบตีเลย แค่แตะต้องเจ๋อเจ๋อนางยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นนางจะไปสั่งสอนเขาได้อย่างไร
เจ๋อเจ๋อนอนอยู่บนพื้นอยู่ครึ่งวัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเข้ามาพยุงหรือให้ความช่วยเหลือเขา และลุงที่เขารู้สึกชื่นชอบก็ดูเหมือนจะไม่ชอบเขา เขาจึงลุกขึ้นมาด้วยความโกรธ จากนั้นหันไปตะโกนใส่เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกว่า “พวกเจ้าเป็นศพกันหมดเลยหรืออย่างไง ยังไม่เข้ามาอีก ระวังข้าจะจับพวกเจ้าโยนเข้าไปในถ้ำให้งูกิน”
ร่างเล็ก ๆ พ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา แต่ไม่ได้ลงมือกับเสด็จอาเก้าแต่อย่างใด พวกเขาเพียงแค่ยืนสำนึกโทษอยู่ด้านหน้าของเจ๋อเจ๋อ
เมื่อฝ่ายสนับสนุนตนเองมาถึง เจ๋อเจ๋อก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันที เขาชี้ไปที่เสด็จอาเก้าพร้อมออกคำสั่งว่า “พวกเจ้า สังหารเขาเดียวนี้”
เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยไร้เดียงสา แต่เวลานี้กลับเป็นปีศาจที่กระหายเลือด แววตาของเจ๋อเจ๋อมันแสดงให้เห็นว่า บนโลกนี้ไม่มีใครที่เขาไม่อาจสังหารได้
“นายน้อย……” เหล่าองครักษ์รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก
ปกติแล้วหากนายน้อยบอกให้สังหารคนสิบคน พวกเขาไม่กล้าสังหารเก้าคนครึ่งเลยด้วยซ้ำ แต่เวลานี้ต้องการให้สังหารเสด็จอาเก้า นี่มัน……
“พวกเจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้างั้นหรือ?” รัศมีแห่งความโกรธบนร่างกายของเจ๋อเจ๋อรุนแรงขึ้น
เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมองหน้ากันและยิ้มออกมา……
เจ๋อเจ๋อในสภาพเช่นนี้ คือเจ๋อเจ๋อในสภาพบิดเบี้ยวเหมือนกับที่เฟิ่งชิงเฉินเล่าให้ฟัง ท่าทางน่ารักและอ่อนน้อมก่อนหน้านี้ มันช่างขัดกับความเป็นจริงเหลือเกิน
อยู่ในจวนเฟิ่ง เสด็จอาเก้าไม่มีความคิดที่จะทำให้องครักษ์ของลัทธิปีศาจลำบากใจ เขาจึงเอ่ยปากออกมาว่า “ประมุขของพวกเจ้าส่งเขามาเพื่อทำการรักษา หากพวกเจ้ายังปกป้องของอยู่เช่นนี้ อาการป่วยของเขาก็มีแต่ยิ่งจะรุนแรงขึ้น พวกเจ้าถอยออกไป ข้ารับประกันว่านายน้อยของพวกเจ้าจะไม่ตาย”
อย่างมากสุดก็ถลกหนังได้ เนื่องจากการสั่งสองเด็กวิปริตเช่นนี้ หากไม่ใช่วิธีการที่พิเศษกว่าคนทั่วไป เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เผชิญหน้ากับเด็กประเภทอย่างเจ๋อเจ๋อ การพูดคุยถึงเหตุผลกับเขานั้นไร้ประโยชน์ ความรุนแรงถึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“คือ……” องครักษ์ของลัทธิปีศาจลังเลที่จะตัดสินใจ
“ออกไป หากมีเรื่องอะไร ให้ประมุขของพวกเจ้ามาหาข้าโดยตรง” ความอดทนของเสด็จอาเก้าเริ่มจะถึงขีดจำกัด บอกครั้งสองครั้งแล้วองครักษ์ของลัทธิปีศาจไม่ฟัง ความอดทนของเสด็จอาเก้าเริ่มจะแตกตัว
แม้ว่าองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้มีฝีมือ แต่หากต้องการจะฆ่าพวกเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“เจ้ากล้างั้นหรือ?” เจ๋อเจ๋อตะโกนออกมา ความโกรธของเขารุนแรงขึ้น ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาแดงก่ำ ตะโกนแหกปากออกมาไม่ยอมหยุด
ลูกเตะของเสด็จอาเก้ามีผลกับเขาจริง ๆ
“นายน้อยเจ๋อเจ๋อ จำไว้ให้ดีว่าเจ้าเป็นใคร เวลานี้เจ้าเป็นผู้ป่วยไม่ใช่นายน้อยแห่งลัทธิปีศาจ” คำพูดของเสด็จอาเก้าเป็นการแจ้งเตือนเจ๋อเจ๋อ และในขณะเดียวกันก็เป็นการแจ้งเตือนองครักษ์เช่นกัน
จักรพรรดิกังวลกับเกี่ยวกับลัทธิปีศาจ ไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับลัทธิปีศาจ เสด็จอาเก้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่นั่นเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่ลัทธิปีศาจยังไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายอะไรกับเขา
เวลานี้ลัทธิปีศาจเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน สำหรับเสด็จอาเก้าแล้ว มันเป็นความขุ่นเคืองที่รุนแรงมากกว่ารุกรานเขาเสียอีก เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนายน้อยเจ๋อเจ๋อ แน่นอนว่าเขาต้องรับผิดชอบ เสด็จอาเก้าเชื่อเสมอว่าความรุนแรงสามารถควบคุมความรุนแรงได้ และความชั่วร้ายก็สามารถควบคุมความชั่วร้ายได้เช่นกัน
หลังจากที่ทหารถอยกลับไป เสด็จอาเก้าก็สั่งให้เจ๋อเจ๋อเดินเข้ามาหาเขา เจ๋อเจ๋อพ่นลมหายใจออกมา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใบหน้าของเสด็จอาเก้าเคร่งขรึมขึ้นทันที “เจ๋อเจ๋อ ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้ายังไม่เข้ามา เจ้าก็อย่ามาหาว่าข้าใจร้าย”
“ไม่มีทาง”
“สาม”
“ฮึ”
“สอง”
“หนึ่ง……” เมื่อเสียงนับหนึ่งเงียบลง เสด็จอาเก้าก็เหมือนกับลูกศรที่พุ่งออกไปจากเชือก เสียงเก้าอี้โยกดังขึ้นมา ในตอนที่เจ๋อเจ๋อไม่ทันตอบสนอง ก็พบว่าตนเองถูกยกคอขึ้นมาแล้ว เท้าทั้งสองข้างพ้นจากพื้น ปลอกคอสีทองรอบคอของเขาทำให้เขาสำลักและหายใจไม่ออก
“ปล่อย ปล่อย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” เจ๋อเจ๋อเตะเท้าทั้งสองข้างอย่างสุดชีวิต เขาพยายามดิ้นรน เสด็จอาเก้าระวังตัวไว้ตั้งแต่แรก ยกปลอกคอของเจ๋อเจ๋อขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกไป เว้นระยะให้ห่างจากเจ๋อเจ๋อ ไม่ว่าจะเจ๋อเจ๋อจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังเหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกในทันที เห็นพวกเขาโกรธแต่ไม่กล้าพูดอะไร นางโกรธจนอยากจะควักปืนออกมายิงพวกเขา
บ้าที่สุด นางเป็นหมอไม่รู้หรือไง แต่เมื่อนางแตะต้องเจ๋อเจ๋อ คนพวกนี้กลับระมัดระวังและทำกับว่านางเป็นโจร เวลานี้เจ๋อเจ๋อถูกเสด็จอาเก้ายกขึ้นมาเหมือนกระสอบทราบ แต่กลับไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือพูดอะไรแม้แต่คนเดียว
สุดท้ายคนใจดีก็ถูกรังแกเช่นเคย หากรู้ว่าเสด็จอาเก้ามีประโยชน์ขนาดนี้ นางคงไปตามเขามาตั้งแต่แรก……