นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1076 อำนาจ,ควรออกไปให้คนเห็น
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1076
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ห้องรับรอง แต่เสด็จอาเก้าไม่มีทางยอมให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่เป็นอันขาด เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ ห้องรับรองจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ช่างก่อสร้างเข้า ๆ ออก ๆ เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงคนเดียว ความเป็นอยู่ของนางคงไม่สบายเป็นแน่
อีกอย่างเจ๋อเจ๋อก็เข้ามาทำให้ชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินยุ่งเหยิง ต้องกำจัดเขาออกไปก่อนถึงจะสามารถเข้ามาอยู่ได้
เฟิ่งชิงเฉินเองก็คิดถึงเหตุผลเดียวกัน ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่สามวัน เจ๋อเจ๋อกลับทำให้บ้านของนางกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งลัทธิปีศาจ พูดตามตรงนางเองก็รู้สึกขนลุก ซ่อมแซมมันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาอยู่คงจะดีกว่า
อยู่ในจวนเฟิ่งไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินก็ยังเรือนแยกให้อยู่ แต่เสด็จอาเก้าพูดออกมาแล้ว อาการป่วยของเจ๋อเจ๋อ เฟิ่งชิงเฉินสามารถจัดการด้วยตัวเองได้งั้นหรือ? เฟิ่งชิงเฉินก็ทำได้เพียงตามเขากลับไปยังจวนอ๋องเก้า โดยไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดเป็นครั้งที่สอง
นำมือวางบนโต๊ะ!
เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองใบหน้าของเสด็จอาเก้าอยู่นาน สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กลับไปยังจวนอ๋องเก้าพร้อมกับเสด็จอาเก้า เตรียมพร้อมที่จะอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเก้าสักช่วงเวลาหนึ่ง
ส่วนเจ๋อเจ๋อ? แม้ว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บ และศีรษะที่ไร้ซึ่งเส้นผม แต่เสด็จอาเก้าก็ยังคงมัดเขาไว้ด้านหลังของรถม้าด้วยความโหดร้าย
แน่นอน มันไม่ใช่รถม้าของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน แต่เป็นเกวียนวัวที่ขนมูลสัตว์ เจ๋อเจ๋อบาดเจ็บไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ค่อย ๆ ให้เขาตามไปอย่างช้า ๆ ไปถึงจวนเมื่อไหร่ก็ค่อยเข้าไปด้านใน เมืองจักรพรรดิปลอดภัยอยู่แล้ว มีตี๋ตงหมิงอยู่ด้วยก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอันตรายหรือชีวิตของเจ๋อเจ๋อ
ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเสด็จอาเก้าจะใจดี กลัวว่าเจ๋อเจ๋อไม่สามารถตามความเร็วของรถม้าได้ทัน แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีการที่เลวร้ายยิ่งกว่า ดูจากสภาพที่ถูกเลี้ยงมาอย่างมีเกียรติของเจ๋อเจ๋อ ไม่รู้จักความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน เช่นนั้นเขาจะไปทนกับกลิ่นเหม็นเน่าของเกวียนคันนี้ได้อย่างไร
สั่งสอนภูตผีปีศาจ เป็นอย่างที่คิด เสด็จอาเก้ามีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกนับถือมาจากใจ ตัดสินใจปฏิบัติต่อเสด็จอาเก้าตามการกระทำของเสด็จอาเก้าในวันนี้ และจะใจอ่อนไม่ได้เป็นอันขาด
กลับมายังจวนอ๋องเก้า เสด็จอาเก้าเรียนพ่อบ้านออกมา บอกพ่อบ้านว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเก้าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยแสงแห่งความสุข เขารับประกันว่าจะดูแลเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี และจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินอยากอยู่ที่นี่จนไปอยากที่จะจากไป
เฟิ่งชิงเฉินเฝ้ามองท่าทางสุนทรีของพ่อบ้าน เดินไปเต้นไป เดินไปร้องเพลงไป นางก็รู้สึกแปลกใจ เสด็จอาเก้าที่เป็นคนเยือกเย็นขนาดนี้ เหตุใดถึงมีพ่อบ้านอารมณ์ดีเช่นนี้ได้ มันช่าง……
เมื่อมองไปที่ชามเลือดกวางแดงบนโต๊ะอาหาร เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกได้เลยว่าความอดทนของเสด็จอาเก้านั้นยอดเยี่ยมมาก สามารถดื่มเลือดกวางแดงได้สามมื้อต่อวัน เสด็จอาเก้าช่างอดทนยิ่งนัก
หลังจากเฟิ่งชิงเฉินรับประทานอาหารเสร็จ นางก็มองไปยังเสด็จอาเก้าด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง จากนั้นก็เหลือบตามองไปยังเลือดกวางแดง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เดินกลับห้องไปอย่างเงียบ ๆ
คืนนี้นางจะติดล็อคประตูให้ดี!
ปัง……เสด็จอาเก้าเองก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ เหลือบตามองไปยังพ่อบ้านชรา จากนั้นก็เดินกลับไปทำงานที่ห้องหนังสือ เขายังมีเรื่องอีกเป็นกองที่ยังจัดการไม่เสร็จ
ช่วงนี้ เสด็จอาเก้ายุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไร แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน ถึงทำให้เสด็จอาเก้าออกไปจากบ้านไปเป็นเวลากว่าครึ่งวันได้ กลับมายังห้องหนังสือ เขียนจดหมายไปยังเซวียนเส้าฉี เล่าเรื่องของลัทธิปีศาจให้เขาฟัง
ในฐานะหนึ่งในสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของยุทธจักร เซวียนเส้าฉีสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับลัทธิปีศาจได้ง่ายกว่า เสด็จอาเก้าสามารถใช้ประโยชน์จากทุกคนได้อย่างเต็มที่ เขาจึงโยนกระดูกอันแข็งกร้าวชิ้นนี้ไปให้กับเซวียนเส้าฉีโดยไม่รู้สึกผิด
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมาเป็นแขกของจวนอ๋องเก้าอยู่ประจำ แต่ทุกครั้งที่มาอยู่ในเรือนหลัก เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ลืมฐานะของตนว่าตนเองเป็น “แขก” นางไม่เคยเข้าไปยุ่งกับงานของจวนอ๋องเก้า แต่ต่อให้นางไม่อยากเข้าไปยุ่ง พ่อบ้านก็ไม่มีทางปล่อยนางไป
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่มาอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงระยะเวลาสั้นไม่เกินสองวัน พ่อบ้านจึงไม่กล้าเข้ามารบกวนเสด็จอาเก้าและเจ๋อเจ๋อ แต่ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินเข้ามาอาศัยเป็นระยะเวลานานกว่าปกติ พ่อบ้านจึงไม่เกรงใจ นำบัตรเชิญจำนวนมากมาถึงหน้าประตู “แม่นางเฟิ่ง ฮูหยินแห่งประเทศส่งจดหมายมาเชิญสตรีชาววังไปชมดอกไม้ ท่านว่าท่านจะปฏิเสธคำเชิญนี้หรือไม่?”
“เรื่องนี้คงต้องถามเสด็จอาเก้า” เฟิ่งชิงเฉินถูกพ่อบ้านจี้จุดอย่างรุนแรง
สตรีชาววัง? ในจวนอ๋องเก้า นอกจากนางและสาวใช้ที่เป็นเพศหญิงก็ไม่มีแม้แต่แมลงวันตัวเมียเสียด้วยซ้ำ จะมาเชิญสตรีเพื่อมาชื่นชมดอกไม้ แบบนี้มันว่างจนไม่มีอะไรทำเลยหรือไง
“เรื่องนี้……ท่านอ๋องพูดออกมาแล้ว ท่านให้แม่นางเฟิ่งเป็นคนตัดสินใจ” พ่อบ้านใช้คำสั่งของเสด็จอาเก้าอย่างไร้ยางอาย พ่อบ้านเชื่อว่าเรื่องนี้มันเหตุผลเพียงพอ และเชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะต้องยอมรับและเห็นด้วยกับความคิดของเขา
แม่นางเฟิ่งคู่ควรกับคำว่าสตรีชาววังมานานแล้ว ไปเยี่ยมชมจวนของแต่ละตระกูลเพื่อเดินเล่น ทำให้พวกเขารู้ว่าใครคือสตรีแห่งจวนอ๋องเก้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้หญิงที่ไร้ซึ่งดวงตาเหล่านั้นเขามายุ่งเกี่ยวกับเสด็จอาเก้า
แคก แคก……สตรีผู้ไร้ดวงตาที่พ่อบ้านพูดถึงนั้นก็คือ สตรีแซ่ฉู่ที่ชื่อว่า ฉางฮว๋า
พูดถึงฉู่ฉางฮว๋า นางเองก็น่าสงสารไม่น้อย นับตั้งแต่นางถูกเสด็จอาเก้าเพิกเฉยต่อคำพูดตั้งแต่วันนั้น จิตใจของฉู่ฉางฮว๋าก็เบาบาง ได้ยินเรื่องราวของเฟิ่งชิงเฉินจากปากของซุนซือสิงตลอดการเดินทาง ฉู่ฉางฮว๋าก็วางแผนที่จะล้มเลิกความคิดของนางแล้ว
นางกำลังมองหาผู้ชายที่สามารถปกป้องเมืองฉู่ของนางได้ ไม่ใช่ตามหาศัตรู ไม่ใช่ว่าไม่มีเขาแล้วนางจะไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ นางไม่มีความจำเป็นต้องเอาชีวิตของตนเองมาทิ้งและแขวนคอตายอยู่กับเสด็จอาเก้า
ฉู่ฉางฮว๋ามีเมืองฉู่เป็นค่าสินสอดในการแต่งงาน การที่จะหาชายหนุ่มที่เก่งกาจสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่เสด็จอาเก้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่มีตัวเลือกที่ดีที่สุดคนนี้แล้ว นางก็ยังมีตัวเลือกที่ดีอื่น ๆ อยู่เช่นกัน เพียงแต่……
เมื่อมาถึงตงหลิงแล้ว ชีวิตของนางไร้ซึ่งอิสระ ฮองเฮากล่าวเป็นนัยว่าจะช่วยให้ความปรารถนาของนางเป็นจริง ทำให้นางได้แต่งงานกับเสด็จอาเก้า และให้เสด็จอาเก้าพานางกลับไปยังเมืองฉู่
ฉู่ฉางฮว๋าอยากจะร้องไห้ออกมา ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ฮองเฮาก็เห็นว่านางเป็นเพียงเด็กขี้แย หน้าบางและขี้อายเท่านั้น ไม่ไหวจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะตงหลิงนั้นแข็งแกร่งเกินไป ฉู่ฉางฮว๋าคงล้มโต๊ะตัวนี้แล้วจากไปตั้งนานแล้ว
หน้าบางบ้านเจ้าสิ ในตอนนั้นนางกล้าเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของตัวเองในฐานะลูกสาวของตระกูลใหญ่ บอกรักเสด็จอาเก้าอย่างหน้าไม่อาย แล้วคิดว่านางหน้าบางอย่างนั้นหรือ? หากคนแบบนางยังเรียกว่าหน้าบาง เช่นนั้นบนโลกใบนี้ยังมีผู้หญิงคนไหนหน้าหนาอีกงั้นหรือ พระราชมารดาแห่งตงหลิงนี่ไม่มีสมองหรือยังไง!
มีพระราชโองการออกมาจากพระราชวัง เหล่าผู้มีอำนาจในเมืองจักรพรรดิต่างคิดว่าเป็นความจริง ฉู่ฉางฮว๋าพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะอธิบาย แต่ยิ่งอธิบายออกไปเท่าไหร่ ข่าวลือก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ประกอบกับไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกำลังยุ่งกับอะไรอยู่ ทั้งสองคนจึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ดังนั้น……
ทุกคนเห็นท่าทีของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินต่างคิดว่าพวกเขายอมรับโดยปริยาย แม้ว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนรักกัน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คู่ที่เหมาะสม ด้วยสถานะของเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่อาจแต่งเข้ามาเป็นพระสนมแห่งจวนอ๋องเก้าได้ เมื่อถึงเวลาเสด็จอาเก้าจะต้องแต่งงานกับฉู่ฉางฮว๋า จากนั้นค่อยแต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉินในฐานะนางบำเรอ
เกิดเป็นชาย ใครบ้างที่ไม่อยากเพลิดเพลินกับพรอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ พระสนมและนางบำเรอไม่มีปัญหากัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เฟิ่งชิงเฉินและฉู่ฉางฮว๋ายอมรับในสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเสด็จอาเก้าแต่งงานกับฉู่ฉางฮว๋าแล้ว เสด็จอาเก้าก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับเหล่าเทพธิดา
ด้วยเรื่องที่บางคนรู้ บางคนก็ไม่รู้ว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร ข่าวเรื่องที่ฉู่ฉางฮว๋าจะแต่งงานกับเสด็จอาเก้าแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นผู้เกี่ยวข้องของเรื่องนี้ ผู้ที่พอมีหน้ามีตาในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าทุกคนกำลังรอให้จักรพรรดิประทานการแต่งงานครั้งนี้
เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเรื่องของฉู่ฉางฮว๋าจากปากของพ่อบ้าน จากนั้นก็ได้ยินคำพูดของพ่อบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ไปงานเยี่ยมชมดอกไม้ของฮูหยินแห่งประเทศ นางก็เกือบจะสำลักตาย
นางจะออกไปกล่าวคำสาบานในฐานะอะไร หรือพูดอีกอย่างก็คือ…….นางมีอำนาจอะไรอย่างนั้นหรือ?