นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1080 เผชิญหน้า,แม้จะแย่ก็ต้องพยายามให้เต็มที่
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1080
“มานี่สิ”
ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับเจ๋อเจ๋อแล้วมันเป็นตัวเลือกที่ยากเป็นอย่างมาก ช่วงระยะเวลาที่อยู่ในจวนอ๋องเก้า ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น ไม่ใช่ทุกคนที่ดีต่อเขาเหมือนกับที่พ่อแม่ของเขาเป็น และก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนเขาที่ชอบฆ่าหรือทำร้ายผู้อื่นเพียงเพราะความสะใจ
เจ๋อเจ๋อรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งชิงเฉินเล็กน้อย แต่เมื่อนึกได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยทำร้ายเขามาก่อน และทุกครั้งที่ได้พบเขา นางก็เป็นคนทายาและทำความสะอาดบาดแผลให้ เจ๋อเจ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ย้ายมานั่งข้าง ๆ ของเฟิ่งชิงเฉิน
บาดแผลบนร่างกายของเขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เขาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะช่วยเขาได้
ความอ่อนโยนของเจ๋อเจ๋อทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย โอบกอดเจ๋อเจ๋อไว้ในอ้อมแขน ให้เขาเข้ามาอยู่บนร่างกายของนาง แต่เจ๋อเจ๋อกลับปฏิเสธออกมา “สกปรก”
“ข้าเองก็ไม่ได้สะอาดอะไรมากมาย” มือทั้งสองข้างเปื้อนเลือด นางทำตามความต้องการของนาง ไม่ได้สนใจอะไร นางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ๋อเจ๋อเสียเท่าไหร่ อาจจะไม่ดีเท่าเจ๋อเจ๋อเสียด้วยซ้ำ อย่างนายเจ๋อเจ๋อก็ไม่เหมือนนาง คือไม่สร้างเหตุผลที่เป็นไปได้มาปกปิดการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินให้เจ๋อเจ๋อมานั่งข้าง ๆ ให้เขานั่งอยู่บนต้นขาของนาง เจ๋อเจ๋อไม่ได้ปฏิเสธ นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ท่อนขาเล็ก ๆ ของเขาดูเหมือนกำลังอ่อนแรง
เฟิ่งชิงเฉินหยิบกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมาโดยไม่สนใจอะไร หยิบยาออกมาจากกล่อง ทำความสะอาดบาดแผลให้เจ๋อเจ๋อ เจ๋อเจ๋อรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่ร้องออกมาแม้แต่คำเดียว
เมื่อพบสิ่งที่ต้องทำ เฟิ่งชิงเฉินมีสมาธิกับการทำความสะอาดบาดแผลให้กับเจ๋อเจ๋อ ไม่คิดถึงเรื่องอื่นอยู่ชั่วขณะ จิตใจของนางนิ่งสงบอยู่พักหนึ่ง
รถม้าเลี้ยวออกจากถนนสายหลักที่เป็นที่ตั้งของจวนอ๋องเก้า เมื่อเข้ามาในถนนสายหลัก ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่ารถม้า เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของเสด็จอาเก้า ทุกคนต่างหลีกทางให้ ไม่กล้าเข้ามาใกล้เลยเสียด้วยซ้ำ
เมื่อถึงทางแยก คนขับรถม้าไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการไปที่ไหน เขาจึงชะลอความเร็วและถามออกมาว่า “แม่นางเฟิ่ง ท่านต้องการไปที่ใดงั้นหรือ?”
“กลับบ้าน” หลังจากเฟิ่งชิงเฉินพูดจบ นางถึงรู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป จึงรีบกล่าวเสริมออกมาว่า “จวนเฟิ่ง”
สำหรับคนขับรถม้าแล้ว กลับบ้านก็คือกลับไปยังจวนอ๋องเก้า
“ขอรับ”คนขับรถม้าบังคับม้าไปทางด้านซ้ายเพื่อเตรียมที่จะเดินทางไปยังจวนเฟิ่ง
เมื่อรถม้าของจวนอ๋องเก้าปรากฏออกมา มันไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนหลีกทางให้เท่านั้น แต่มันยังเป็นจุดสนใจของผู้คน แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่สนใจเรื่องราวเหล่านั้น แต่เสียงมันก็ยังดังเข้ามาในหูของนางอยู่ดี
“นั่นมันรถม้าของจวนอ๋องเก้า พวกเจ้าดูนั่นเร็ว นั่นมันรถม้าของจวนอ๋องเก้าจริง ๆ”
“นี่ เหมือนว่าจะไม่ใช่รถม้าที่เสด็จอาเก้าใช้เป็นประจำ เจ้าว่าคนที่นั่งอยู่บนรถม้านั้นเป็นผู้ใด?”
“ฮ่าฮ่า ไม่ใช่เสด็จอาเก้าแล้วยังมีใครที่สามารถนั่งบนรถม้าของจวนอ๋องเก้าออกมาด้านนอกเช่นนี้ได้?”
“มันก็แค่นกกระจอกที่บินอยู่บนกิ่งไม้ หากคิดว่าตนเองเป็นนกฟีนิกซ์จริงๆ และผู้ที่นั่งบนรถม้าของจวนอ๋องเก้าก็ไม่ใช่พระชายาอ๋องเก้า”
……
ในโรงน้ำชา องค์หญิงเหยาหวาและองค์หญิงอันผิงนั่งดื่มชาอยู่ด้านใน เมื่อได้ยินเสียงดังจากท้องถนน พวกนางก็หันออกมาดู องค์หญิงเหยาหวายิ้มและกล่าวว่า “นี่เฟิ่งชิงเฉินขาดความมั่นใจแล้วอย่างนั้นหรือ ถึงได้ต้องพึ่งพาของแบบนี้เพื่อพิสูจน์สถานะของตัวเอง”
“เมื่อตนเองไร้ซึ่งชื่อเสียง นางก็คงทำได้เพียงพึ่งพาของเหล่านี้” น้ำเสียงขององค์หญิงอันผิงนั้นดูปกติ และดึงสายตาของนางกลับมา
องค์หญิงเหยาหวายิ้มออกมาด้วยความเหยียดหยาม หันไปบอกกับองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังว่า “เชิญแม่นางเฟิ่งมาดื่มชา”
“ขอรับ”
“ช้าก่อน” เสียงขององค์หญิงอันผิงดูติเตียน องค์หญิงเหยาหวาถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ “อันผิง เจ้าเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?” โอกาสดีเช่นนี้ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร
“ท่านพี่ พวกเราไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างความด่างพร้อย แค่นี้นางก็อับอายมากพอแล้ว เหตุใดพวกเราต้องเปลืองแรง” เป่ยหลิงรบเร้าเรื่องการแต่งงานขององค์หญิงอันผิง อีกไม่นานองค์หญิงอันผิงก็ต้องแต่งงานและจากไปอยู่เป่ยหลิงซึ่งอยู่ในแดนไกล มีเรื่องการแต่งงานขัดค้างอยู่ แน่นอนว่าทำอะไรนางก็ต้องมีเหตุผลและระมัดระวังตัวให้มาก
“อันผิงพูดถูก” องค์หญิงเหยาหวาฝืนยิ้มออกมา
ในความเป็นจริงนางไม่อยากปล่อยให้โอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินต้องอับอายในครั้งนี้หลุดลอยไป เมื่อนึกถึงความยากลำบากที่นางต้องเผชิญในงานแต่งงาน องค์หญิงเหยาหวาก็ไม่อาจระงับความโกรธของนางเอาไว้ได้ แต่เวลานี้นางเป็นพระชายาชุนอ๋องแห่งตงหลิง ไม่ใช่องค์หญิงเหยาหวาแห่งซีหลิง ในดินแดนตงหลิงนางไม่อาจฉีกหน้าของอันผิงได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองรถม้าของเฟิ่งชิงเฉินผ่านใต้จมูกของนางไป
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้องค์หญิงเหยาหวาก็รู้สึกโล่งใจ แม้เสด็จแม่ของนางจะถูกทำลาย แต่เสด็จพี่ของนางนั้นได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อของนางอีกครั้ง กลับมาเป็นองค์รัชทายาทแห่งซีหลิง นางยังมีครอบครัวฝั่งแม่ให้พึ่งพา และนางแข็งแกร่งกว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่มาก
เหยาหวารู้สึกโล่งใจ แต่ปัญหาของเฟิ่งชิงเฉินยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่านางจะไม่ได้เผชิญหน้ากับเหยาหวาและอันผิง แต่นางกลับไปเผชิญหน้ากับฉู่ฉางฮว๋า
รถม้าเลี้ยวเข้าสู่ถนนแคบ รถม้าอีกคันหนึ่งขับตรงเข้ามา คนขับรถม้าไม่มีความตั้งใจที่จะหลบ แต่ในตอนที่รถม้าทั้งสองมีระยะใกล้กันมากขึ้น จนสามารถมองเห็นตราสัญลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ คนขับรถม้าก็อดไม่ได้ที่จะถามเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางเฟิ่ง รถม้าของเมืองฉู่”
ในขณะเดียวกัน คนขับรถม้าของเจ๋อเจ๋อเองก็เอ่ยปากออกมา “คุณหนู รถม้าของจวนอ๋องเก้า”
“หลีกทาง” แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินกับฉู่ฉางฮว๋าพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และคนขับรถม้าทั้งสองก็บังคับรถม้าจอดไว้ข้างทาง สุดท้ายรถม้าทั้งสองต่างหลีกทางและหยุดให้กัน
“แม่นางเฟิ่ง เมืองฉู่หลีกทางให้พวกเรา” คนขับรถม้าไม่ได้แปลกใจกับเรื่องดังกล่าว ในดินแดนตงหลิง มีใครบ้างที่กล้าไม่หลีกทางให้รถม้าของจวนอ๋องเก้า
“เช่นนั้นก็ไปเถิด”
“คุณหนู จวนอ๋องเก้าหลีกทางให้พวกเรา” คนขับรถม้าของเมืองฉู่เอ่ยปากออกมาด้วยความแปลกใจ
ฉู่ฉางฮว๋าเองก็ตกใจเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวออกมาว่า “ดูเหมือนว่าคนที่อยู่บนรถม้าจะไม่ใช่เสด็จอาเก้า กล้าใช้รถม้าของจวนอ๋องเก้า คิดว่าน่าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉิน ข้าอยากเห็นหน้านางมาโดยตลอด ในเมื่อมีโอกาส เช่นนั้นก็ลงไปเจอหน่อยแล้วกัน”
พูดจบนางก็ให้สาวใช้ของนางเข้ามาสอบถาม
“แม่นางเฟิ่ง รถม้าด้านหน้าเป็นรถม้าของคุณหนูใหญ่แห่งเมืองฉู่ ฉู่ฉางฮว๋า นางส่งสาวใช้คนหนึ่งมา ถามว่าขอขึ้นรถม้าคันเดียวกันได้หรือไม่” ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากหนีก็คงเสียมารยาทเป็นอย่างมาก
“ไล่นางออกไป” เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจฉู่ฉางฮว๋า แต่ฉู่ฉางฮว๋าไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้น สาวใช้ได้ยินคำปฏิเสธจากคนขับรถม้า นางก็รีบวิ่งกลับไป จากนั้นไม่นาน ฉู่ฉางฮว๋าก็ลงมาจากรถม้า
“แม่นางเฟิ่ง คุณหนูเดินลงมาด้านตัวเอง” คนขับรถม้าพูดออกมาอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับมา อุ้มเจ๋อเจ๋อขึ้นมา “นั่งให้ดี มีแขกมาหาข้า”
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากพบหน้าฉู่ฉางฮว๋า นอกจากความรู้สึกที่ไม่มีอะไรต้องพบเจอแล้ว ยังมีเรื่องสภาพของนางในตอนนี้ นางมีสภาพซอมซ่อเป็นอย่างมาก เนื่องจากเสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยเลือด ประกอบกับเลือดที่อยู่บนฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง การที่มีแขกเข้ามาพบนางในสภาพเช่นนี้มันดูค่อนข้างเสียมารยาท
“ฉางฮว๋าได้ยินชื่อเสียงของแม่นางเฟิ่งมานาน ดังนั้นจึงถือโอกาสนี้ในการเข้ามาพบเจอ แม่นางเฟิ่งได้โปรดยกโทษให้ความประมาทของฉางฮว๋าในครั้งนี้ด้วย” แม้ว่าฉู่ฉางฮว๋าจะมีความกล้ามากกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่นางไม่ใช่คนเกเร และแน่นอน นางมีมารยาทที่เหมาะสม
“คุณหนูฉางฮว๋าเกรงใจเกินไป ชิงเฉินไม่ค่อยสะดวก ร่างกายมอมแมม จึงไม่อยากรับแขก คุณหนูฉางฮว๋าได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย” เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธออกไปอีกครั้ง
ฉู่ฉางฮว๋ารีบกล่าวขอโทษออกมา “เป็นเพราะความประมาทของฉางฮว๋า บนรถม้าของฉางฮว๋ามีเสื้อผ้าสะอาดอยู่ชุดหนึ่ง หากแม่นางเฟิ่งไม่รังเกียจ ฉางฮว๋าจะให้คนนำมันมาให้เวลานี้เลย แม่นางเฟิ่งจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า”
นี่หมายความว่านางไม่อนุญาตให้เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธ
“ขอบคุณคุณหนูฉางฮว๋าเป็นอย่างมาก บนรถม้าของข้ามีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ ต่อให้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด” เฟิ่งชิงเฉินเช็ดเลือดบนมือของนางอย่างช้า ๆ มองไปยังเสื้อที่เต็มไปด้วยเลือด จากนั้นเปิดม่านออกอย่างไม่เกรงใจ
วันนี้ฉู่ฉางฮว๋าต้องการพบนาง เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางได้พบ ไม่ต้องพูดถึงสถานะของนางเลยด้วยซ้ำ นางไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่งบนรถม้าเพื่อพูดคุยกับฉู่ฉางฮว๋า และต่อให้นางมีคุณสมบัติดังกล่าว ฉู่ฉางฮว๋าเป็นคนมาหานางด้วยตัวเอง นางก็ต้องออกไปเพื่อพบเจออีกฝ่าย
แม้จะแย่ก็ต้องพยายามให้เต็มที่ ด้านนอกมีข่าวลือว่านางเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง หากเวลานี้นางยังไม่ยอมออกมา เช่นนั้นข่าวลือก็คงย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเดิม……