นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 126 หวังจิ่นหลิงขอเฟิ่งชิงเฉินแต่งงาน
“โจวสิง ก่อนหน้านี้พวกเราได้เงินมาไม่น้อยเลยไม่ใช่หรือ เจ้าไปซื้อบ่าวรับใช้มาสักคนสองคนเถิด เรื่องเหล่านี้เจ้าเป็นผู้ชาย คงทำคนเดียวไม่สะดวกนัก”
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความคิดที่ว่าทุกคนเท่าเทียมกัน อีกทั้งไม่มีความคิดว่าบ่าวรับใช้จะต้องเห็นเป็นเพื่อน
เพราะไม่ว่าในยุคใดสมัยใด ผู้คนมักจะถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลายชนชั้นวรรณะ ในสมัยโบราณมีกฎเกณฑ์ที่แบ่งเอาไว้อย่างชัดเจน นั่นคือชนชั้นสูง ชนชั้นธรรมดา และชนชั้นล่าง ในสมัยปัจจุบันนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ชัดเจนเช่นนั้น แต่การแบ่งแยกชนชั้นก็ยังมีอยู่ให้เห็น ไม่เช่นนั้นจะมีคำที่เรียกว่าลูกเศรษฐี ทายาทเศรษฐีอะไรเช่นนั้นหรือ?
การที่กล่าวว่า บุตรหลานเชื้อพระวงศ์และบุตรหลานคนธรรมดาทำผิด เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎหมายทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงเรื่องเงินทอง โจวสิงจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการบอกกับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นเช่นหัวหน้าจวนนี้ว่า “ท่านพี่ บัดนี้พวกเรามีทองคำทั้งสิ้นสองพันเก้าร้อยตำลึง ลองดูว่าเราจะนำเงินเหล่านี้ไปใช้อย่างไร?”
“มีมากมายเช่นนั้นเชียวหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเบิกตากว้าง
นางเป็นคนยากจนและใช้ชีวิตอย่างยากจนมาเสมอ เมื่อได้ยินว่าบัดนี้มีเงินทองมากมายเพียงนั้นก็ตกใจ เพราะตอนนั้นนางเกือบจะนำค่าสินสอดออกมาใช้ เนื่องจากว่าใกล้จะหิวตายเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าโชคดียิ่งนักที่รักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิงจนหายขาดได้ ดังนั้นจึงได้ชนะเดิมพันในครั้งนี้ แต่เดิมทีข้อตกลงระหว่างเจ้าและหวังชี เงินที่ได้มาจะต้องแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง ทองจำนวนหนึ่งพันเก้าร้อยตำลึงได้มาจากการเดิมพันชนะ ส่วนอีกหนึ่งพันตำลึงเป็นเงินที่ทางตระกูลหวังให้เป็นค่ารักษา เจ้าดูเอาเถิดว่าเงินเหล่านี้จะเอาไปทำอะไร”
ทองคำ ทองคำมากมายขนาดนี้ เฟิ่งชิงเฉินนับว่าร่ำรวยขึ้นแล้ว
ในวงการของหมอ แม้จะไม่สามารถกลายเป็นเศรษฐีพันล้านหมื่นล้านได้ แต่รายได้ก็นับว่าอยู่ในระดับกลาง ดังนั้นผู้คนมากมายจึงเลือกที่จะเป็นหมอ เนื่องจากว่าเงินเดือนของหมอนั้นไม่เลว
จะนำไปใช้อย่างไร?
นางทำการค้าไม่เป็น และไม่มีความสนใจจะทำการค้า ดังนั้น……
หากมีเงินก็ควรจะนำมันมาใช้ทำให้ชีวิตดีขึ้น
“โจวสิง มาบูรณะจวนเฟิ่งกันเถอะ ข้ารู้สึกว่าบ้านหลังนี้เพียงแค่มีลมฝนพัดมาก็จะพังได้ทุกเมื่อ”
บ้านนี้ทำขึ้นจากไม้ ซึ่งไม่ได้ปรับปรุงดูแลมาเป็นเวลานาน แต่ละแห่งมักจะมีรูไปทั่ว ภายในสวนดอกไม้ ทั้งต้นหญ้าและดอกไม้เหล่านั้นหากไม่เหี่ยวเฉาแห้งตาย มองไปก็รู้สึกโดดเดี่ยว โดยรวมก็คือภายในสวนนั้นไม่มีที่ใดที่น่าชื่นชมเลย
นางจำได้ดีว่าจวนหวังนั้นงดงามเหลือเกิน ไม่ว่าที่ใด ล้วนตกเเต่งอย่างละเอียดอ่อนประณีตดูดี
แน่นอนว่านางไม่ได้ต้องการให้จวนของนางเป็นเช่นจวนของตระกูลหวัง และไม่จำเป็นจะต้องดูมั่งคั่งเหมือนเศรษฐีในเจียงหนาน เพียงแค่ภายในจวนมีสวนดอกไม้ ศาลา สะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ นี่คือสิ่งที่นางต้องการและใช้ชีวิตอย่างสุขสันต์
“เจ้ามีเงื่อนไขเช่นไรหรือไม่?”
“ไม่มี เพียงแต่บ้านนั้นไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเกินไป ต่อให้มีคนรับใช้ ข้าคิดว่าก็ไม่ควรจะมีให้มากเกินไป มีคนทำกับข้าวคนหนึ่ง คนทำความสะอาดคนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว หากคนมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาได้”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะมุ่งเน้นไปที่การซ่อมแซมเรือนหลัก ส่วนเรือนด้านข้างก็คงจะไม่ไปจัดการอะไรมากนัก” โจวสิงกำลังคิดอยู่ในใจว่าจะจัดการเช่นไรดี
“เรือนด้านข้าง? ไม่จำเป็นหรอก โจวสิงรื้อเรือนนั้นทิ้งไปเสีย แล้วสร้างเป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ให้เป็นดั่งเช่นตระกูลหวังที่พวกเขาสร้างบ้านข้างหน้าและข้างหลังไว้อย่างละหลัง” เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิด เนื่องจากหากว่านางตั้งใจจะเดินทางสายการรักษานี้จริงๆ ก็จำเป็นจะต้องสร้างห้องพักผู้ป่วย
แม้ว่านี่จะอยู่ในบ้านของนาง และทำให้ภายในบ้านมีกลิ่นยา แต่นางก็ไม่มีสถานที่อื่นให้เลือกมากนัก อีกอย่างเพียงแค่เรือนหลังและเรือนด้านข้างสร้างให้ห่างไกลกันเล็กน้อย แค่ปิดประตูก็หมดปัญหา
“ถ้าเช่นนั้นคงจะต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกอย่างเจ้าจะสร้างกระท่อมไม้ทำไมกัน?” โจวสิงรู้สึกไม่เห็นด้วย
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเลยถามข้า แน่นอนว่าข้าต้องใช้มันเป็นประโยชน์ จงไปทางตามที่ข้ากำชับก็พอ เงินเหล่านั้นใช้จนหมดก็ได้”
เพราะว่าห้องพักคนไข้นั้นจะต้องทำขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากหากมีเพียงหวังจิ่นหลิงเป็นคนไข้เพียงคนเดียวก็ไม่เท่าไร แต่หากมีคนไข้เพิ่มมากขึ้น นางจะเอาห้องพักผู้ป่วยที่ไหนให้ผู้ป่วยคนอื่นๆ อาศัยเล่า?
ผู้ป่วยบางคนไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ ดังนั้นจึงต้องพักผ่อนอยู่ภายในห้องเงียบๆ
อย่างเช่นการผ่าตัดก็จำเป็นจะต้องมีห้องผ่าตัด ด้านในใช้สำหรับให้ผู้ผ่าตัดพักฟื้น ด้านนอกสามารถให้บ่าวรับใช้หรือแม่บ้านคอยดูแล หากมีคนมากอาจจะต้องใช้ถึงทั้งสองห้อง เพียงแค่สร้างห้องด้านหน้าและด้านหลังเป็นพอ
เดิมทีดูเหมือนโจวสิงต้องการจะห้ามนางและโน้มน้าว แต่พบว่าเฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก กล่าวเพียงว่า “เงินเหล่านี้เพียงพอแล้ว และยังมีเหลือด้วยซ้ำไป”
สิ่งที่พวกเขามีในมือตอนนี้คือทองคำไม่ใช่เงิน
“หากยังพอมีเหลือล่ะก็ ไปซื้อร้านเพิ่มสักสองสามร้าน จากนั้นพวกเราจะให้พวกเขาเช่าแล้วเก็บเงินค่าเช่า” เฟิ่งชิงเฉินผู้ที่ได้รับผลกระทบมาจากเรื่องราคาพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างสูงในชาติที่แล้ว ดังนั้นนางผู้ที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องการลงทุนเท่าไรนัก จึงค่อนข้างมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องของราคาอสังหาริมทรัพย์
หากว่านางมีบ้านและร้านอยู่ในมือ ต่อให้นางไม่ได้เลือกเดินทางรักษาผู้คนแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่อดตาย
โจวสิงพยักหน้าพูดว่า “อืม อันนี้ดียิ่งนัก จากนั้นก็ซื้อที่ดินที่อุดมสมบูรณ์สักเล็กน้อย เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่ต้องอดตาย”
ผู้มีฐานะมั่งคั่งโดยมากแล้วมักจะเพียงแค่นั่งอยู่บ้านรอเก็บเงินค่าเช่าจากร้านค้าและนา
อย่างเช่นจวนเจิ้นกั๋วกง อย่างน้อยก็มีร้านค้านับร้อยร้านและที่ดินอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นหมู่
หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะสามารถดูแลครอบครัวขนาดใหญ่โดยอาศัยเพียงเงินเดือนได้อย่างไร อีกทั้งยังมีชีวิตที่หรูหรา
ได้มาด้วยการทุจริตหรือ?
แน่นอนว่าต้องมีบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนกันในวิถีราชการ วันนี้เก็บมาจากครอบครัวนี้ อีกวันหนึ่งก็คงต้องมอบไปให้อีกครอบครัวหนึ่ง
อย่าว่าแต่พวกเขาไม่ขาดแคลนเงินเลย ต่อให้ขาดแคลนเงินทว่าพวกเขาสามารถขึ้นมาเป็นตำแหน่งนี้ได้ ต่อให้พวกเขาจะทำการทุจริตแต่ก็คงจะไม่ได้ทำออกมาจนน่าเกลียดนัก
อีกอย่างพวกเขาไม่ได้ทุจริตเพื่อเงิน เนื่องจากพวกเขามีอำนาจอยู่ในมือ เพียงแค่สามารถสร้างการค้าหรืออะไรขึ้นก็ตาม ก็สามารถมีรายได้มากมายแล้ว แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องทำการทุจริตเพื่อให้คนอื่นมาจัดการโดยเปล่าประโยชน์เล่า?
หากว่ามีคนอยู่ในราชการก็จะทำงานสะดวก
“สิ่งเหล่านี้เจ้าจัดการด้วยตนเองเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือขึ้นเพื่อหาเหตุผลให้แก่ผู้เกียจค้านเช่นตน
“ข้าจะไปหาหวังจิ่นหลิงสักหน่อยเพื่อดูว่าดวงตาของเขาหายดีแล้วหรือยัง ข้าไม่วางใจนัก”
“ร่างกายของเจ้าไม่เป็นไรแล้วหรือ?” โจวสิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจัดการและรู้ขอบเขตดี เขาเพียงแค่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น
“ไม่เป็นไร”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นจากนั้นหาเหตุผลขับไล่โจวสิงออกไป ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋ายา นำยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคดวงตาของหวังจิ่นหลิงใส่กระเป๋าเดินทางไปที่จวนหวังจิ่นหลิง
นางเดินไปอย่างช้าๆ ดุจเช่นหญิงชรา
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงไพเราะของเครื่องดนตรีลอยมา เสียงพิณอันไพเราะเสนาะหูดุจดั่งอยู่ในเทพนิยายทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกมีความสุขไปด้วย เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าเบากว่าเดิม
เมื่อเข้าไปในเรือน ก็พบหวังจิ่นหลิงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เล่นพิณของเขา ความรู้สึกดุจดั่งฝันทำให้เรือนไม้อันทรุดโทรมธรรมดาดูดีขึ้น สง่างามขึ้นมาบ้าง
เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงเข้าไป เสียงพิณนั้นก็หยุดลง
เอ่อ……
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “จิ่นหลิงช่างสง่างามยิ่งนัก ดูเหมือนว่าข้าจะมาผิดเวลา”
“เจ้ามาได้จังหวะพอดี” หวังจิ่นหลิงลืมตาขึ้นแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้ม เขาหันไปมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากที่ดวงตาของหวังจิ่นหลิงหายเป็นปกติแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะสว่างไสวเป็นประกายกว่าคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ทุกครั้งที่มองมาความอ่อนโยนในดวงตาทำให้ผู้ที่ถูกมองไม่กล้าสบตาด้วย
เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของหวังจิ่นหลิงและเดินตรงเข้าไปหาหวังจิ่นหลิงด้วยท่าทางสงบ “หากไม่เป็นการรบกวนเจ้าก็ดีแล้ว”
“เจ้าเป็นเจ้าบ้าน ส่วนข้าเป็นแขก เหตุใดจึงกล่าวว่ารบกวนเล่า ผู้ที่รบกวนนั้นควรจะเป็นข้าเสียมากกว่า” หวังจิ่นหลิงละสายตากลับคืนมาแล้วโบกมือเป็นสัญลักษณ์ให้เฟิ่งชิงเฉินนั่งลง
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงแล้วบ่าวรับใช้ก็นำน้ำชามาให้
แน่นอนว่าบ่าวรับใช้นี้เป็นคนในตระกูลหวัง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเฟิ่งชิงเฉินเลย
“แขกเช่นคุณชายนี้ แม้แต่ข้าอยากจะร้องขอให้มาอาศัย เกรงว่าก็คงไม่ได้ คุณชายอาศัยอยู่ที่นี่คงลำบากน่าดู” หากเปรียบเทียบกับตระกูลหวังแล้ว สภาพแวดล้อมที่นี่ต่างกันราวฟ้ากับดิน
“ชิงเฉิน เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้” ต่อให้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม แต่เขาก็ยังคงเป็นหวังจิ่นหลิงที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังโทรมๆ
“ข้าขออภัย” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นอย่างเขินอาย
“จิ่นหลิง ข้าขอโทษด้วย เมื่อเช้านี้ข้ามีเรื่องต้องทำจึงรอจนกระทั่งเวลาบ่ายถึงมาตรวจอาการของเจ้าได้”
เมื่อกล่าวจบนางก็โน้มกายไปด้านหน้า……
ด้วยกลิ่นหอมของยา ทำให้หวังจิ่นหลิงหลับตาทั้งสองข้างลง หัวใจของเขาขยับเขยื้อนเล็กน้อย……
“ชิงเฉิน แต่งงานกับข้าเป็นเช่นไร?”