นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 129 ได้รับหนังสือเชิญไปงานกวี
เมื่อรับประทานอาหารเช้าที่โจวสิงตั้งใจทำไว้ให้จนเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินก็หันไปมองดูนาฬิกาทราย หากเปรียบเทียบกับเวลาในยุคปัจจุบันคาดว่าจะประมาณเก้าโมงเช้าเห็นจะได้
ในเวลานี้หมอส่วนใหญ่จะต้องออกตรวจแล้ว ดังนั้นนางจึงเดินทางไปตรวจดูอาการของหวังจิ่นหลิง
ที่จริงเมื่อวานนี้นางตั้งใจจะไปใส่ยาให้กับหวังจิ่นหลิง แต่จู่ๆ เมื่อถูกเขากล่าวขึ้นเช่นนั้น จึงทำให้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ในวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องใส่ยาให้แก่ดวงตาของหวังจิ่นหลิง จะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่เนื่องจากกล่องยาถูกองค์จักรพรรดิแย่งไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้ นางจึงทำได้เพียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วใส่ยาที่จำเป็นต้องใช้ลงไปก่อนจะห่อมัน
หวังจิ่นหลิงรอนางอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทั้งสองสนทนากันด้วยท่าทีผ่อนคลายอยู่สองสามประโยค หลังจากยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งปล่อยวางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้แล้ว ทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ทั้งสองไม่อยากเสียเพื่อนคนนี้ไป
เฟิ่งชิงเฉินใส่ยาให้แก่หวังจิ่นหลิง ก่อนจะกำชับให้เขาพักผ่อนเยอะๆ อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย และไม่กลัวเขาจะเบื่อ
หวังจิ่นหลิงยิ้มขึ้นตอบรับโดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินเก็บของกำลังตั้งใจจะจากไป หวังจิ่นหลิงถึงได้กล่าวว่า “ชิงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเซี่ย ส่งหนังสือเชิญมาให้เจ้า”
เฟิ่งชิงเฉินชะงักลงเล็กน้อย แต่เมื่อนึกได้ว่าตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยมีความเชื่อมโยงกัน ตระกูลเซี่ยจะจัดงานใหญ่ คาดว่าตระกูลหวังก็คงจะรู้
“ถูกต้องแล้ว”
“เจ้าไม่คิดไปหรือ?” หวังจิ่นหลิงไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของเฟิ่งชิงเฉิน เขาแค่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินเก็บของกำลังตั้งใจจะจากไป หวังจิ่นหลิงถึงได้กล่าวว่า “ชิงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเซี่ย ส่งหนังสือเชิญมาให้เจ้า”
“ข้าไม่ไปหรอก งานเช่นนั้นข้าไม่อาจรับมือได้” นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลเซี่ยแล้ว นางก็พิจารณาถึงเรื่องนี้ด้วย
เฟิ่งชิงเฉินรู้ตัวดี ว่านางไม่ค่อยเก่งเรื่องการสื่อสาร
งานกวีที่ว่านั้นก็เป็นงานสื่อสารรูปแบบหนึ่งในสังคมชั้นสูงของทั้งบรรดารุ่นลูกหลานและสตรีที่แต่งงานไปแล้ว แต่นางไม่ถนัดเรื่องเหล่านี้เลย
หากนางเก่งเรื่องของการสื่อสารมากกว่านี้สักหน่อย จากความสามารถของหมอในชาติที่แล้วของนาง และรูปร่างหน้าตา ของนางนั้น จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องไปเป็นหมอสนามให้ลำบากลำบน
แม้ว่าในเวลาต่อมา นางจะชื่นชอบและหลงรักชีวิตของหมอสนามก็ตาม แต่ตอนแรกที่นางเดินทางไปที่นั่น ไม่ใช่เพราะนางชื่นชอบ เป็นเพราะการทำงานในโรงพยาบาลที่ค่อนข้างกดดันและเหนื่อยเหลือเกิน ถูกคนต่างๆ บีบบังคับกดดันจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด นางจึงได้จำใจเลือกที่เดินทางไปเป็นหมอสนามแนวหน้า
ท้ายที่สุดแล้ว ตัวเธอก็ไม่อยากจะกลับไปในเมืองอีก จึงทำให้ทักษะการสื่อสารของเธอแย่ลงกว่าเดิม
“ชิงเฉิน เจ้าจำเป็นต้องไปร่วมงานเลี้ยงนี้”
“จิ่นหลิงต้องการให้ข้าไปหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถาม
นางคงให้ความสนใจเกี่ยวกับความคิดเห็นของจิ่นหลิงมากนัก
นางเชื่อว่าหวังจิ่นหลิงไม่ทำร้ายนาง
“ชิงเฉิน พวกเราเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ เป็นไปได้ที่เราจะดำรงอยู่เหนือธรรมชาติ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้คนได้หากเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เราชอบหรือคนที่เราเกลียด ล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้”
“นับแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าเจ้าต้องการทำอะไร ล้วนไม่อาจทำได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากผู้สูงส่งเหล่านั้น และไม่อาจทำได้หากไม่มีชื่อเสียงที่ดี”
“ชิงเฉิน เจ้าควรจะเข้าใจว่าต่อให้ทักษะด้านการรักษาของเจ้าดีเพียงไร แต่ผู้ที่จะให้เจ้ารักษานั้นก็มีไม่มาก ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเจ้าคนเดียวที่เป็นหมอ การที่เจ้ารักษาดวงตาข้าให้หายได้ พวกเขาล้วนบอกว่าเจ้าเพียงแค่โชคดี”
“อีกอย่าง หากจะว่าไปแล้วก็ไม่ใชว่าเจ้าสามารถรักษาได้เสียทุกโรค หากเจ้าไม่คบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้เมื่อถึงเวลาหากพวกเขากล่าวว่าเจ้าเป็นหมอเทวดา ไม่มีโรคใดที่เจ้าไม่อาจรักษาให้หายได้ ท้ายที่สุดแล้ว หากเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์คับขันก็คงไม่คุ้มกับการสูญเสีย”
เนื่องจากงานเลี้ยงเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธได้เพียงแค่ครั้งเดียว จะปฏิเสธเป็นครั้งที่สองอีกไม่ได้
เฟิ่งชิงเฉินจำเป็นจะต้องเรียนรู้ในการสร้างภูมิฐานให้ตนเอง
หวังจิ่นหลิงรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าและอวี่เหวินหยวนฮั่วปฏิบัติต่อนางค่อนข้างพิเศษ แต่ต่อให้พิเศษเพียงใด พวกเขาทั้งสองก็อาจจะละเลยไปบ้าง ไม่อาจดูแลนางได้ตลอดเวลา
วิธีจัดการของสตรีในจวนหลังนั้น ไม่ได้แย่ไปกว่าผู้ชายเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ของเฟิ่งชิงเฉินและองค์หญิงอันผิงที่ค่อนข้างแย่ หากได้รับการสนับสนุนจากจวนเซี่ยและฮูหยินในตระกูลชั้นสูง ต่อให้องค์หญิงอันผิงต้องการจะทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินยังคงต้องชั่งใจ
นับจากนี้ไป ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง องค์หญิงอันผิงก็คงไม่กล้าจะทำร้ายนางต่อหน้าสาธารณชน อย่างน้อยก็คงไม่อาจเอ่ยปากประณามนางได้
เพราะชื่อเสียงนั้น สำคัญยิ่งนักสำหรับสตรี
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าสิ่งที่หวังจิ่นหลิงพูดมานั้นถูกต้อง แต่……
“จิ่นหลิง เจ้าเองก็รู้ดีว่าตระกูลเซี่ยจัดการกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเคยบอกไว้แล้วว่านอกเสียจากตระกูลเซี่ยจะมาขอโทษข้า เช่นนั้นข้าจะไม่ก้าวเข้าไปในตระกูลเซี่ยแม้แต่ก้าวเดียว”
เรื่องบางเรื่อง เหตุผลบางอย่าง จะปล่อยวางลงไม่ได้
หวังจิ่นหลิงกล่าวได้มีเหตุผล เพียงแต่ว่าตระกูลเซี่ยนั้นนางจะไม่เหยียบไปง่ายๆ อย่างแน่นอน……
“ชิงเฉิน เจ้าไม่ได้แม้แต่อ่านหนังสือเชิญนั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่” ตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ นางถูกหลานจิ่วชิงทำให้โมโหหงุดหงิด แต่เรื่องนี้นางไม่กล้าจะบอกออกไปกับหวังจิ่นหลิง จึงทำได้เพียงยิ้มอย่างเขินอาย
หวังจิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มแล้วกล่าวว่า “ชิงเฉิน งานประชุมกวีครั้งนี้จัดขึ้นที่สวนป่ายฮวา ซึ่งสวนป่ายฮวานี้เป็นสวนของบ้านเกิดฮูหยินเซี่ย ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยแต่อย่างใด ดังนั้น……”
นี่คือโอกาสที่เฟิ่งชิงเฉินจะพิสูจน์ชื่อเสียงของตนเอง
ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากแต่งงานในชีวิตนี้ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเห็นนางต้องถูกตราหน้าไปตลอดชีวิต
“ชิงเฉิน หากเจ้าไม่คิดถึงตัวเจ้าเอง ก็ควรจะนึกถึงฮูหยินเฟิ่งสักหน่อย” จะให้คนทั่วโลกขนานนามว่า แม่ทัพเฟิ่งและฮูหยินเฟิ่งสั่งสอนบุตรสาวไม่ดีไม่ได้
ประโยคนี้แม้หวังจิ่นหลิงไม่ได้กล่าวออกมา แต่เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจ
“ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่จวนเซี่ย เช่นนั้น หนังสือเชิญร่วมงานกวีของเซี่ยฮูหยิน ข้าเองก็จะไป ข้าเฟิ่งชิงเฉิน ในชีวิตนี้หากไม่อาจจะเป็นคุณหนูในตระกูลใหญ่ได้ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะต้องเป็นคนดัง”
ชื่อเสียงโด่งดัง ผู้ห้าวหาญ ไม่ยึดติดกับมารยาท เป็นผู้ที่ติดดินแต่โด่งดังอย่างแท้จริง
“อืม แม่คนดัง ข้าจะรอวันที่ชิงเฉินโด่งดังไปทั่วหล้า”
หวังจิ่นหลิงยิ้มขึ้น
งานกวีในวันนั้น เขาเองก็จะเข้าร่วมด้วย
และในวันนั้นเขาหวังว่านอกจากชื่อเสียงแล้ว เขา จะยังมีเฟิ่งชิงเฉินด้วย
……
งานกวี ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดในราชวงศ์ตงหลิง ชายหนุ่มหญิงสาวมากมายที่มีชื่อเสียงมักใช้โอกาสเหล่านี้ในการสร้างชื่อเสียงของตนเองให้โด่งดังไปทั่ว
เช่นเดียวกับหวังชีและเซี่ยซาน พวกเขาก็ใช้โอกาสงานกวีเช่นนี้ในการสร้างชื่อเสียงของตนเช่นกัน
เพียงแต่ว่า ตัวเฟิ่งชิงเฉินในเมื่อก่อนนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับคำเชิญไปงานกวี
งานกวี จัดขึ้นเพื่อคนในตระกูลใหญ่ เป็นการปูทางให้แก่บุตรหลานของตนเอง สตรีเช่นเฟิ่งชิงเฉินซึ่งไม่มีที่พึ่งที่พาแต่อย่างใด อย่าว่าแต่เดิมทีตัวนางที่ไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้มีแล้วอย่างไรเล่า? ผู้ใดจะให้โอกาสในการให้นางแสดงมันออกมา
ในครั้งนี้ตระกูลเซี่ยมอบหนังสือเชิญมาให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ได้เป็นเพราะว่านางรักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิงจนหาย และไม่ใช่เพราะคนในตระกูลเซี่ยต้องการจะเห็นเฟิ่งชิงเฉินต้องอับอาย แต่เป็นเพราะ……
ตระกูลเซี่ยรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินได้ช่วยตงหลิงจื่อลั่วเอาไว้ อีกทั้งรู้ว่าเมื่อตงหลิงจื่อลั่วตื่นขึ้นมา ประโยคแรกที่เขาเอ่ยถามถึงก็คือ “เฟิ่งชิงเฉินเล่า นางอยู่ที่ใด?”
เรื่องนี้หากจะปิดบังผู้อื่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะปิดบังตระกูลเซี่ยนั้นยากนัก อีกอย่างถึงอย่างไรตระกูลเซี่ยก็ยังมีกุ้ยเฟย อยู่ในพระราชวัง
ตระกูลเซี่ยได้รับข่าวจากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงที่ส่งมาในยามค่ำคืนจากพระราชวัง จึงให้เซี่ยซานมาส่งจดหมายเชิญให้เฟิ่งชิงเฉินตั้งแต่เช้าตรู่
แน่นอนว่าการที่ฮูหยินเซี่ยสั่งให้เซี่ยซานเดินทางมามอบหนังสือเชิญให้ด้วยตนเองนั้น ก็เพราะนางมีความคิดอื่น
เมื่อฮูหยินเซี่ยได้ยินฮูหยินรองกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถรักษานางให้ตั้งครรภ์ได้ ก่อนหน้านี้นางเองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินรักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิงจนหาย อีกทั้งยังสามารถรักษาตงหลิงจื่อลั่วที่แม้แต่หมอหลวงก็ไม่อาจรักษาให้หายได้จนหายขาดนางจึง มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะลองดู เรื่องนี้หากทำได้สำเร็จผ่านไปด้วยดีและก็ ตระกูลเซี่ยคงจะรุ่งเรืองเป็นแน่……