นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 135 ตัวตนที่เป็นความลับของโจวสิง
วินาทีนั้น เขาหลงลืมยามที่ได้พบกับสตรีนามว่าซีหลิงเหยาหวาไปจนหมด หลงลือมท่วงท่าที่สง่างามของสตรีผู้นั้น ทั้งยังหลงลืมวินาทีที่เขาใจเต้นเพราะซีหลิงเหยาหวาไปด้วย
ในยามนี้ เขาจดจำได้แต่เพียง คำพูดที่ทำให้รูสึกอบอุ่นหัวใจและเต็มไปด้วยความสุขของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินหาได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นตงหลิงจื่อลั่วไม่ เมื่อพูดสั่งความจนจบ นางก็รีบเก็บของเดินจากไปในทันที
ยามที่ตงหลิงจื่อลั่วกำลังเอ่ยปากเพื่อที่จะรั้งนางเอาไว้นั้น กลับหาเหตุผลที่จะมารั้งนางไว้มิได้เลยแม้แต่น้อย จึงได้แต่จ้องมองแผ่นหลังที่เดินหายลับตาไปของเฟิ่งชิงเฉินแทน พร้อมกับกล่าวปลอบใจกับตนเองว่า
ไม่เป็นไร อีกสามวันเดี๋ยวนางก็มาหาเขาแล้ว
ตงหลิงจื่อลั่วรู้ดีว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้คู่ควรกับเขาไม่ แต่เขากลับคิดถึงช่วงเวลาที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจเหล่านั้น คิดถึงความรู้สึกธรรมดาที่เขาควรจะได้รับและสัมผัสมัน
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่หายลับตาไปของเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น ตงหลิงจื่อลั่วก็พลันจับข้อมือข้างซ้ายของตนเอง พร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยไปมาที่บาดแผลของตน ในหัวพลางนึกไปถึงแผนการมากมายที่จะสามารถทำให้แต่งเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมาเป็นพระชายารองให้ได้
เขามีพระชายาเอกหนึ่งนาง พระชายารองอีกสามนาง หากได้พระชายารองอีกหนึ่งนาง เพื่อมาเติมเต็มหัวใจของเขา คงจะดีไม่น้อย
ตงหลิงจื่อลั่วพลันหลับตาลง พร้อมทั้งนึกถึงอุปสรรคในการที่เขาจะแต่งเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาเป็นพระชายารอง พร้อมทั้งนึกหาหนทางวิธีแก้ไขมัน
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเอ่ยปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็ยังมิวางใจเท่าใดนัก
หากเขาต้องการจะแต่ง เฟิ่งชิงเฉินก็จักต้องเป็นของเขา
เมื่อกลับมาถึงจวนด้วยสภาพที่มิได้บุบสลายไปที่ใดแล้วนั้น ทั้งอวี่เหวินหยวนฮั่วและโจวสิงเองก็หาได้เอ่ยถามเรื่องที่ไปวังของลั่วอ๋องในวันนี้ไม่ พลางพูดออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกล่าวว่าต้องกินอาหารมื้อใหญ่เพื่อต้อนรับเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องเลยตามเลยเช่นนี้
เมื่อกลับมาถึงจวนด้วยสภาพที่มิได้บุบสลายไปที่ใดแล้วนั้น ทั้งอวี่เหวินหยวนฮั่วและโจวสิงเองก็หาได้เอ่ยถามเรื่องที่ไปวังของลั่วอ๋องในวันนี้ไม่ พลางพูดออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกล่าวว่าต้องกินอาหารมื้อใหญ่เพื่อต้อนรับเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องเลยตามเลยเช่นนี้
มิรู้ว่าอวี่เหยวนหยวนฮั่วไปนำสุราไหใหญ่มาจากที่ใด พลางดึงรั้งให้เฟิ่งชิงเฉินดิ่มเป็นเพื่อนเขาด้วย
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินมิอาจปฏิเสธได้นั้น นางจึงได้แต่จำใจนั่งดื่มเป็นเพื่อนเขาแทน
นับว่าโชคดี ที่นางเองก็คอแข็งเช่นกัน ท้ายที่สุดว่าอวี่เหยวนฮั่วก็ดื่มจนเมามายไปเสียแล้ว เมื่อเห็นเขามีสภาพเช่นนั้น ตัวเองก็สร่างขึ้นมาในทันที
นี่คงเป็นความเจ็บปวดของหมอกระมัง แม้แต่ร่ำสุราก็มิอาจดื่มมาก ๆ ได้ กลัวว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินอันใดเข้ามา หากนางดื่มมากไป ก็กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับตนเองอีก
เมื่อเมามายแล้ว อวี่เหวินหยวนฮั่วก็ทำตัวเสมือนเด็กน้อยยิ่งนักพลางดึงเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ พูดคุยด้วยไม่หยุด พลางพล่ามออกมาว่า เขานำทัพออกไปรบนอกด่านลำบากเพียงใด เขาต้องแบกรับภาระตระกูลอวี่เหวินเพียงผู้เดียว
พวกขุนนางในราชวังก็ดีแต่ถือพู่กันตรวจงานเท่านั้น จะไปรับรู้ผลกระทบที่กองทัพต้องพบเจอได้อย่างไร บางครากองทัพของเขาต้องกินไม่อิ่ม สวมใส่อาภรณ์ที่ไม่อบอุ่น ยามเหมันตฤดูก็ได้แต่ต้องสวมใส่เสื้อเพียงตัวเดียว พร้อมกับถ้วยข้าวต้มที่กินไม่อิ่มอีกหนึ่งชาม
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บในยามออกรบ ก็หาได้รับการรักษาทันท่วงทีไม่ แม้แต่ทหารที่พิการเพราะบาดแผลยามออกรบ ก็ยังไม่มีเบี้ยเลี้ยงให้อีก
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน พวกเขาเอาแต่อยู่ในคอก หากแต่พวกข้ากลับต้องอยู่ด้านนอกทั้งยังต้องอยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ เพื่อปกป้องแว่นแคว้น สุดท้ายเล่า? พวกเราได้แต่ส่ายหัว หลั่งน้ำตาอยู่กลางแดด เพื่อแลกกับชีวิตผู้คนที่อยู่ในแคว้นตงหลิงให้ได้มีชีวิตอย่างสงบสุข อีกทั้งยังมิได้รับเกียรติอันใดกลับมาอีก แม้แต่ชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่มีสิ่งใดรับรองว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใด” เมื่อพูดถึงตรงนี้ อวี่เหวินหยวนฮั่วก็ค่อย ๆ ร่ำให้ออกมา
“เฟิ่งชิงเฉิน ที่ข้ากลับมาในครานี้ ข้าสามารถได้รับการแต่งตั้งแม้ว่าในใจของข้าก็ต้องการเลื่อนขั้นเช่นกัน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็พลันรู้สึกว่า ตนเองสมควรจะทำให้เหล่าทหารในกองทัพได้เบี้ยเลี้ยงที่เพิ่มมากขึ้นมาบ้าง ให้พวกเขาได้รับอะไรบ้าง ให้สมกับสิ่งที่พวกเขาลงแรงไป แต่ผลลัพธ์เล่า?
องคจักรพรรดิเอาแต่ริษยาข้า ขังข้าเอาไว้แต่ในคอกเช่นนี้ ฝ่าบาทมิยอมให้ข้าออกไปสู้รบ ทั้งยังเกรงกลัวว่าวาสนาของข้าจะสูงส่งไปมากกว่าเขา ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าว่ามันเป็นเรื่องเช่นไรกัน องค์จักรพรรดิมิได้วิตกกังวลถึงทหารที่บาดเจ็บและพิการเสียด้วยซ้ำ แต่พระองค์มาเกรงกลัวแม่ทัพเช่นข้าแทน”
“อวี่เหวินหยวนฮั่ว เจ้าอย่าได้เอ่ยขึ้นมามั่วซั่วเช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินตกใจเสียจน หัวใจแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พลางรีบร้อนส่งสายตาให้โจวสิง เพื่อให้เขารีบร้อนเข้ามาช่วยปิดปากอวี่เหวินหยวนฮั่ว
แม้ว่าที่นี่จะมิได้มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา แต่หากมีผู้ใดได้ยินเขาย่อมต้องตกตายไปเป็นร้อยครั้งแน่
อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันเอนตัวไปพิงกับไหล่ของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าโจวสิงจะดึงออกมาเช่นไร เขาก็ไม่ยอมปล่อย โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินหาได้เป็นสตรีที่อ่อนแอไม่ มิเช่นนั้นคงจะโดนท่านแม่ทัพผู้นี้ทับนางจนตายเป็นแน่
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าลำบาก ข้าลำบากจริง ๆ เลย กองทัพที่มีทหารอยู่สามแสนนาย แต่ได้รับการจัดการกองเสบียงและอาวุธให้เพียงสามหมื่นนายเท่านั้น
แม้แต่กองเสบียงหนึ่งปีก็ไม่พอแล้ว ถังยังไม่พอใช้เพียงเดือนเดียวด้วย ของเพียงเท่านี้ จักให้ข้าไปมีหน้าพบกับเพื่อร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบเช่นพวกเขาได้อย่างไร เจ้าคิดว่าข้าสมควรไปพบหน้าพวกเขาหรือ”
แม้ว่าในยามปกติ อวี่เหวิยหยวนฮั่วจะมีท่าทีที่หน้าเกรงขาม แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพของเขาในยามนี้ ก็พลันลบภาพที่ดูดีเช่นนั้นออกจนหมด ที่แท้ท่านแม่ทัพก็เหมือนกับคนทั่วไปก็มิปาน พลางกอดเฟิ่งชิงเฉินร่ำให้ ระบายความกดดันและเรื่องที่ตนเองไร้อำนาจออกมาจนหมด
ผลกระทบที่กองทัพต้องพบเจอนั้น มิต้องเอ่ยถึงว่าตระกูลอวี่เหวินยากจนเลย แม้มีเงินก็ไม่รู้จะพอค้ำจุนให้กับกองทัพได้มากเพียงใด
วิธีนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก
หากไม่มีเงิน ทหารที่อยู่ในมือของอวี่เหวินหยวนฮั่วจะฟังอยู่หรือไม่?
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าว่า ข้าควรทำเช่นไรดี? อาหารสำหรับนายทหารทั้งสองแสนเจ็ดหมื่นนาย ความกดดันที่ตกมาอยู่บนตัวข้า แม้หลับตา ข้าก็ยังนึกภาพที่พวกเขาต้องอดหลับอดนอน อยู่กันอย่างอด ๆอยาก ๆ ได้ แม้นลืมตาขึ้นมา ก็เห็นแต่สายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจของพวกเขา เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าต้องช่วยข้า เจ้าที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ เจ้าต้องช่วยข้ารู้หรือไม่?”
อวี่เหวินหยวนฮั่วเอ่ยขอร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
บุรุษที่ดื้อรั้น โดนบีบบังคับให้มีสภาพเช่นนี้ได้ ฝ่าบาทช่างมีความสามารถเสียจริง
เฟิ่งชิงเฉินพลันมองออกไปด้านนอก พร้อมกับเหม่อมองไปยังดวงจันทร์ที่อยู่บนฟากฟ้า
ช่วย? นางจะช่วยได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินพลันถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ พลางช่วยกันกับโจวสิ ง ลากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของอวี่เหวินหยวนฮั่วให้เข้าไปที่เรือนรับรองจวนเฟิ่ง หลังจากจัดการกับคนเมาเสร็จแล้วนั้น ทั้งสองคนเหนื่อยล้ายิ่งนัก
“พี่สาว ท่านจะช่วยเขาหรือไม่?” เมื่อโจวสิงออกมานั้น ก็พลันกล่าวถึงปัญหาขึ้นมาในทันที
แม้แต่บัณทิตยังไม่อาจทำสำเร็จได้ภายในสามปี แต่อำนาจในทางการทหารนั้นไม่เหมือนกัน แม่ทัพที่มีอำนาจในทางการทหารนั้น อย่างไรต้องเป็นหนามหยอกหัวใจขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน
ที่พวกเขามิกล้าทำอันใดกับตระกูลอวี่เหวินในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นั่นเป็นเพราะฝ่าบาทยังต้องการใช้งานตระกูลอวี่เหวินอยู่ แต่ในยามนี้เล่า
ในเมื่อแคว้นทั้งสี่เริ่มมีความปรองดองต่อกันแล้ว อีกทั้งแคว้นทั้งเก้ายังมีเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อกัน ความเป็นอยู่ของอวี่เหวินหยวนฮั่วในยามนี้ ก็ไร้ค่าไปในทันที
ยามที่หมดประโยชน์แล้วก็ต้องกำจัดทิ้ง เหมือนเมื่อใดที่ยิงนก ก็เก็บธนูไว้ไม่ใช้อีก เมื่อได้กระต่าย ก็เอาไปให้สุนัขล่าเนื้อมาฆ่ากิน
องค์จักรพรรดิย่อมไม่คิดอ่อนข้อให้กับอวี่เหวินหยวนฮั่วเป็นแน่ ทั้งยังมิยอมให้อำนาจในแว่นแคว้นที่มีอยู่หนึ่งในสามตกไปอยู่ในมือของเขาอีกด้วย
ช่วย? ไม่มีผู้ใดช่วยอวี่เหวินหยวนฮั่วได้หรอก นี่หาใช่เรื่องการเงินเพียงอย่างเดียวไม่
เฟิ่งชิงเฉินพลันมองไปที่โจวสิงด้วยรอยยิ้ม ” โจวสิง เจ้าคิดว่าข้าจักไปช่วยอะไรเขาได้หรือ?”
นางเป็นหมอ หาใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรบไม่ ทั้งยังมิใช่พอ่ค้า และยังมิใช่ขุนนางอีก
“แต่ว่า ท่านแม่ทัพนำความมาระบายกับท่าน ขอร้องท่านเช่นนี้มิใช่เพราะเขาเชื่อว่า ท่านจะสามารถช่วยเขาได้งั้นหรือ?” มิรู้ว่าเหตุใด โจวสิงพลันรู้สึกว่า เฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถยิ่งนัก ทั่วร่างของนาง เต็มไปด้วยความลับมากมายที่รอให้เปิดค้น
“ท่านแม่ทัพอวี่เหวินเมามาย ถึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้ เกรงว่าเรื่องนี้คงจะติดอยู่ในใจของเขามานานแล้วกระมัง เมื่อมันอึดอันอยู่ภายในใจ ยามที่ร่ำสุรา จึงได้เผลอระบายความในใจออกมาจนหมดเช่นนี้ เขาคงต้องการหาใครสักคนมารับฟัง ” เฟิ่งชิงเฉินพลันก้าวเดินไปด้านหน้า เมื่อคิดอะไรได้ ก็พลันหยุดชะงักลง
“โจวสิง เจ้าอย่าได้คิดมากไป เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เจ้าก็ทำเป็นว่ามิเคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วกัน ข้ามิอยากให้วันพรุ่ง มีข่าวลือแปลก ๆ อันใดกระจายออกไป”
สำหรับโจวสิงแล้วนั้น เรื่องเล็ก ๆ นางยังพอเชื่อใจเขาได้ หากแต่เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ละก็ นางมิอาจรับความเสี่ยงนั้นไว้ได้เช่นกัน
ตัวตนของโจวสิงนั้นเป็นความลับ อีกทั้ง ผู้ที่มีความลับนั้น ย่อมเป็นบุคคลอันตราย
“วางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจ” โจวสิงกล่าวคำสัญญาออกมา
“ข้าจะจำคำพูดของเจ้าเอาไว้”
เฟิ่งชิงเฉินจึงก้าวเดินออกไปในทันทีแสงจันทร์พลันสาดส่องไปที่ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉิน ยามที่โจวสิงส่งนางจนลับสายตาไปแล้วนั้น เมื่อกำลังจะหันกายจากไป ก็พลันพบว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเสียแล้ว
“ท่านแม่ทัพอวี่เหวิน ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” โจวสิงตกใจเสียจนก้าวถอยหลังไปในทันที
บุรุษผู้นี้ราวกับผีสางก็ไม่ปาน มิใช่ว่าเขาเมามายอยู่ภายในห้องหรือ เหตุใดถึงมิได้กลิ่นเหล้าจากเขาแล้วเล่
า”ตอนที่เจ้ามองเฟิ่งชิงเฉินจนใจเลื่อนลอยอย่างไรเล่า” อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันมองโจวสิงด้วยแววตาสำรวจ เสมือนกับว่าต้องการมองให้ทะลุปรุโปร่งทุกอย่าง “โจวสิง แท้จริงแล้วเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”
“ท่านที่แสร้งทำเป็นเมามายโวยวายในคืนนี้ ก็เพื่อต้องการลองเชิงข้างั้นหรือ?” โจวสิงลองเชิงกลับ
“เจ้าเป็นผู้ใด?” อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันก้าวไปข้างหน้า เพื่อที่จะโจมตีโจวสิง
โจวสิงมิอาจอดทนต่อรังสีฆ่าฟันที่แผ่กระจายออกมาได้ จึงได้แต่แย้มยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น “ท่านแม่ทัพอวี่เหวิน อย่าได้ทำให้ข้าตกใจ ตัวตนของข้าในยามนี้ ไม่อาจพูดขึ้นมาได้ แต่ข้ารับปากว่าข้าหาได้มีจุดประสงค์ร้ายไม่”
อย่างน้อยเขาก็มิได้มีจุดประสงค์ร้ายต่อทุกคน