นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 148 แมกไม้บานสะพรั่ง
บทที่ 148 แมกไม้บานสะพรั่ง
ณ สวนป๋ายฉ่าว ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิบานงามสะพรั่ง แต่ก็ไม่งามสู้บรรดาหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางมวลแมกไม้
ด้วยอาภรณ์จากผ้าแพรและเครื่องประดับที่แพรวพราย ยามอยู่นิ่งเปรียบดังดอกไม้แสนสวย ยามเคลื่อนไหวก็ดูพลิ้วไหวตระการตา หญิงสาวเหล่านี้ พวกนางก็คือสตรีชั้นสูงแห่งตงหลิง
พวกนางงดงามเพริศพริ้ง ท่วงท่าสง่างาม ความสามารถเป็นเลิศ แต่ดูเหมือนจะขาดบางอย่างไป หากไม่มองที่ใบหน้า มองไกลๆแล้วพวกนางก็ไม่ต่างกันเลย
ภายในสวนป๋ายฉ่าว ฮูหยินและบรรดาคุณหนูรวมกันอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งพวกคุณชาย ตรงกลางไม่มีฉากบังลมกั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดข้ามเขตไปอีกฝั่ง จะมีก็แต่แอบส่งสายตามองไปบ้าง
แม้จะเป็นคู่ชายหญิงที่มางานด้วยกัน ก็ไม่มีใครทำตัวเอิกเกริก คนของตงหลิง ได้รับการอบรมปลูกฝังมาอย่างเคร่งครัด
แม้งานกวีจะยังไม่ทันเริ่ม แต่ผู้คนก็มากันพอสมควรแล้ว ขาดแต่พวกคุณชายคุณหนูตระกูลเซี่ยและหวังจิ่นหลิง
เซี่ยฮูหยิน บุคคลสำคัญของงานกวีในครั้งนี้ นางสวมชุดตัวในสีฟ้าคราม และมีกระโปรงบางๆซ้อนกันอีก 10 ชั้น นางสวมใส่เครื่องประดับที่เข้ากันกับชุด อัญมณีต่างๆส่องประกายแพรวพราว
รอบๆตัวนางในตอนนี้รายล้อมไปด้วยฮูหยินและคุณหนู เซี่ยฮูหยินดูอิ่มอกอิ่มใจ
ตระกูลเจิ้งสนิทสนมกับตระกูลเซี่ยมาตลอด ฮูหยินตระกูลเจิ้งคนงามยืนยิ้มอยู่ข้างๆเซี่ยฮูหยิน “งานกวีวันนี้ดูคึกคักจริงๆนะ เป็นเพราะเซี่ยฮูหยินแท้ๆเชียว ปกติคุณชายใหญ่ไม่เคยปรากฏตัวในงานกวีเลย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะ”
เป็นการประจบประแจงที่ทำเอาเซี่ยฮูหยินหุบยิ้มแทบไม่ได้
คุณชายใหญ่ที่พวกนางพูดถึงก็คือหวังจิ่นหลิง และคำว่าคุณชายใหญ่ที่พูดๆกันในตงหลิงก็มีเพียงแค่หวังจิ่นหลิงเท่านั้น
คุณชายใหญ่ คำๆนี้แสดงให้เห็นว่าหวังจิ่นหลิงไม่ใช่คุณชายใหญ่ภายในตระกูลหวังเท่านั้น แต่ยังเป็นคุณชายใหญ่แห่งตงหลิงอีกด้วย ความมีหน้ามีตาในสังคมเช่นนี้ใช่ว่าใครจะมีได้ง่ายๆ
“ใช่แล้วล่ะค่ะ ได้ยินว่าหลังจากที่คุณชายใหญ่รักษาดวงตาจนหายแล้ว จดหมายไปเชิญตัวคุณชายใหญ่มีมาไม่ขาดสายเลยค่ะ แต่เขาก็ปฏิเสธไปทุกราย มีแต่งานกวีของเซี่ยฮูหยินนี่แหละค่ะที่เขามาเข้าร่วม” อีกคนก็ช่วยกันฉอเลาะ เหมือนพวกนางจะลืมคิดไปว่า งานกวีในครั้งนี้เดิมทีก็ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อหวังจิ่นหลิงโดยเฉพาะ
“ยอดเยี่ยมจริงๆ คุณชายสามตระกูลเซี่ยไม่เสียชื่อเลยที่ถูกขนานนามว่าคุณชายดอกท้อ กลอนดอกท้อบทนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” คนที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าเอ่ยขึ้น
“คุณชายและคุณหนูตระกูลเซี่ยมีความสามารถโดดเด่นกันทั้งนั้น” เหล่าฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างๆกันก็กล่าวชมไม่หยุด ส่วนคุณหนูคนอื่นๆก็ชะเง้อหน้ามองซ้ายทีขวาที
คุณชายใหญ่และคุณชายรองตระกูลเซี่ยก็แต่งงานไปแล้ว แต่คุณชายสามยังไม่ได้แต่งงาน หากพวกนางได้แต่งงานมาอยู่กับตระกูลเซี่ยคงจะดีไม่น้อยเลย
และยังมีอีกหนึ่งเหตุผล หากเซี่ยซานมา คุณชายใหญ่ก็ต้องมาด้วย
ดังที่เฟิ่งชิงเฉินเคยกล่าวไว้ บุคคลสำคัญมักมาถึงงานทีหลังเสมอ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้นางจะกลายเป็นบุคคลสำคัญยิ่งกว่าหวังจิ่นหลิงเสียอีก
“พวกเขาก็กำลังเรียนรู้อยู่น่ะค่ะ” เซี่ยฮูหยินถ่อมตน แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับปิดไว้ไม่มิด นางกล่าวกับบรรดาคุณหนูที่ยืนอยู่ข้างๆว่า “ไปเดินเล่นกันสิ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินแก่ๆอย่างพวกเราหรอกจ้ะ”
คุณหนูกลุ่มนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมานานแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตก็รีบผละไปในทันที
ในขณะเดียวกัน รถม้าตระกูลหวังก็มาถึงพอดี เซี่ยซานเดินนำคุณชายคนอื่นๆออกไปต้อนรับ
หวังจิ่นหลิงมาแล้ว มีเพียงแต่หวังจิ่นหลิงเท่านั้นที่คู่ควรกับการต้อนรับอันทรงเกียรติเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นถึงคุณชายผู้ยิ่งใหญ่
ส่วนบรรดาคุณหนูได้แต่รออยู่ด้านในด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ หากตอนนี้เสด็จอาเก้าได้มาเห็นสายตาของหญิงสาวเหล่านี้ก็จะยิ่งเข้าใจความหมายของสายตาที่เฟิ่งชิงเฉินมองเขา
คนตระกูลหวังคนอื่นๆมาถึงได้นานแล้ว ในรถม้าจึงมีหวังจิ่นหลิงเพียงคนเดียว เซี่ยซานเป็นตัวแทนของทุกคนออกไปเชิญหวังจิ่นหลิงลงจากรถ
หวังจิ่นหลิงไม่วางมาดใหญ่โต เขาวางตัวสุภาพและน่ายกย่อง เมื่อเขาโผล่ออกมาจากรถม้าได้เพียงครึ่งลำตัว คนอื่นๆก็ส่งเสียงเกรียวกราว
“คุณชายหน้าหยก คุณชายหน้าหยก……”
นี่แสดงให้เห็นว่าชื่อเสียงของหวังจิ่นหลิงเกรียงไกรเพียงใด นี่ขนาดเขาไม่เคยปรากฏตัวในงานกวีมาก่อน
คุณชายหน้าหยก ฉายานี้ทำให้หวังจิ่นหลิงนึกถึงเฟิ่งชิงเฉิน นางเคยเรียกเขาว่าคุณชายหน้าหยกแห่งตระกูลหวัง
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายที่เรียกเขาว่าคุณชายหน้าหยก แต่กลับทำให้เขาจดจำอย่างฝังใจ
หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างอ่อนละมุน ดวงตาสีดำสุกใสและอ่อนโยน ชุดที่เขาสวมใส่เป็นสีนวลดั่งดวงจันทร์ เสริมให้เขาดูงามสง่ามากยิ่งขึ้น
รูปงามราวกับเทพบุตร บรรยายเช่นนี้คงจะไม่ผิดเพี้ยน
คุณชายคนอื่นๆที่ไปรอต้อนรับเขาล้วนถูกเขากลบรัศมีอย่างสิ้นเชิง เฟิ่งชิงเฉินมองว่าเขาคือดวงจันทร์ เป็นดังที่นางพูดไม่มีผิด
ต่อให้คุณชายคนอื่นๆที่มารุมล้อมเขาจะโดดเด่นเพียงใด มาบัดนี้ก็ต้องกลายเป็นเพียงดาวเคียงเดือน หวังจิ่นหลิงเดินเข้าไปในสวนป๋ายฉ่าวอย่างสง่าผ่าเผย
“ศิลาก่ายกองงามเทียมหยก หมู่สนมรกตยืนเรียงราย เทพายอดชายผู้งามเลิศ แช่มเชิดหามีผู้ใดเทียม”
ในขณะที่หวังจิ่นหลิงกำลังเดินเข้ามานั้น ก็มีคุณหนูคนหนึ่งที่ใจกล้าท่องบทกลอนบางส่วนของกลอนเทพาศิลาขาวขึ้นมา เป็นการกล่าวชมความรูปงามของหวังจิ่นหลิง
“ขอบคุณคุณหนูเวิน” หวังจิ่นหลิงยิ้มให้กับหญิงสาวนางนั้น
“เอ๋ คุณชายหน้าหยกมองข้าด้วย”
หญิงสาวนางนั้นกล่าวด้วยความดีใจ นางหน้าแดงและเกือบจะเป็นลม คนที่ยืนอยู่ข้างนางต้องรีบมาประคอง เป็นภาพที่เรียกรอยยิ้มของผู้มาร่วมงาน
กลายเป็นประเด็นใหม่ที่พูดกันปากต่อปาก ไม่เพียงแค่ในกลุ่มสตรีเท่านั้น
ในขณะที่หวังจิ่นหลิงก้าวเท้าเข้ามาในประตูสวนป๋ายฉ่าว ก็มีคนร้องตะโกนออกมาว่า “ไม่ได้นะๆ คุณชายใหญ่จะละเมิดธรรมเนียมสวนป๋ายฉ่าวไม่ได้นะ”
งานกวีในสวนป๋ายฉ่าว ทุกคนที่เข้ามาร่วมงานจะต้องเขียนบทประพันธ์ชมสวนขึ้นมาคนละบท
ในสวนป๋ายฉ่าวมีแมกไม้นานาพันธุ์ พันธุ์ไม้หายากถูกรวมอยู่ที่นี่ งานกวีที่จัดขึ้นภายในสวนป๋ายฉ่าว จึงใช้พันธุ์ไม้เป็นสาระสำคัญ
หวังจิ่นหลิงรู้ธรรมเนียมข้อนี้ดีจึงไม่คิดบ่ายเบี่ยง เมื่อมีคนยื่นกระดาษและพู่กันมาให้ เขาก็บรรจงเขียนลงไปว่า “พู่กันสรรค์สร้างดอกเหมยงาม สนและไผ่วาดตามเสมอเหมือน สามสหายดารดาษมิแชเชือน ยามเหมันต์มีเพื่อนยืนต้นงาม”
ตัวอักษรของหวังจิ่นหลิงงดงามมาก ดูแล้วรู้เลยว่าเขาฝึกเขียนมาเป็นเวลานาน เมื่อนึกถึงตอนที่หวังจิ่นหลิงเคยตาบอด แต่เขากลับเขียนหนังสือได้ยอดเยี่ยม ผู้คนจึงชื่นชมเขาไม่ขาดปาก
“เยี่ยมจริงๆ เป็นกลอนที่ยอดเยี่ยม ตัวอักษรก็ยอดเยี่ยม คุณชายใหญ่นำสามสหายแห่งเหมันตฤดูมาแต่งกลอนได้วิเศษจริงๆ ความสามารถล้ำเลิศ”
หวังจิ่นหลิงยืนยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร เขาไม่หลงใหลได้ปลื้มกับคำชม แล้วจึงเดินเข้าไปภายในงาน
“หมดเวลาเข้าสวนแล้ว ปิดประตูสวนได้แล้ว” ท่ามกลางจำนวนคนมากมายพลันมีเสียงๆหนึ่งเอ่ยดังขึ้น
“คุณชายใหญ่มาถึงแล้ว ปิดประตูสวน ปิดประตูสวน” หลายๆคนป่าวร้องออกมา
สวนป๋ายฉ่าวแห่งนี้เป็นหุบเขาขนาดย่อม เมื่อปิดประตูสวน ก็กลายเป็นอาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่ง
แต่ทันใดนั้นเอง กลับมีเสียงๆหนึ่งแย้งขึ้นว่า “ไม่ได้นะ ยังมีอีกคนที่ยังมาไม่ถึง”
“ยังมีอีกคนที่ยังมาไม่ถึง? ซือหม่าเยียน ยังจะมีผู้ใดอีกล่ะ?” คุณหนูเจ็ดตระกูลเซี่ยเอ่ยถาม
แย่แล้ว……หวังชีและเซี่ยซานหันมามองหน้ากันพร้อมกับพูดโดยไม่มีเสียงว่า เฟิ่งชิงเฉิน!
เมื่อครู่นี้พวกเขามัวแต่เที่ยวเล่น จนลืมไปหาเฟิ่งชิงเฉิน
แววตาหวังจิ่นหลิงสั่นไหว แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงเดิม
“เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินยังไม่มา ข้าจำได้ว่าเซี่ยฮูหยินเชิญนางมาด้วยนี่นา” ซือหม่าเยียนตอบอย่างลอยหน้าลอยตา
หากเฟิ่งชิงเฉินยังจำสิ่งที่สารถีรถม้าเคยพูดกับนางได้ นางก็จะรู้ว่านี่คือเจ้าของรถม้าที่นางไปดักโบก แต่รถม้าก็ควบหนีหลังจากที่รู้ว่านางคือเฟิ่งชิงเฉิน
คนอื่นๆเงียบกริบ จากบรรยากาศที่สรวลเสเฮฮากลับกลายเป็นเงียบเชียบ เซี่ยฮูหยินฝืนยิ้มพลางคิดในใจว่าเฟิ่งชิงเฉินช่างจองหองยิ่งนัก และยังนึกตำหนิซือหม่าเยียนที่พูดจาไม่รู้จักกาลเทศะ
การประกาศให้ฝูงชนได้รับรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มา เท่ากับเป็นการตบหน้านางอย่างแรง
เซี่ยฮูหยินมองหน้าซือหม่าเยียนด้วยสีหน้าแม่พระ เซี่ยฮูหยินมองนางจนนางต้องก้มหน้าหลบตา แล้วเซี่ยฮูหยินก็บอกกับทุกคนในงานว่า
“งานกวีไม่ได้จัดขึ้นเพื่อผู้ใดโดยเฉพาะ เฟิ่งชิงเฉินไม่มาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานในวันนี้ ในสวนแห่งนี้……”
“เสด็จอาเก้าเสด็จ!”
เสียงตะเบ็งดังขึ้น ขัดจังหวะการพูดของเซี่ยฮูหยิน……