นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 189 ร่ำเรียน มีอาจารย์แล้วหลงลืมบิดาตนเอง
บทที่ 189 ร่ำเรียน มีอาจารย์แล้วหลงลืมบิดาตนเอง
“ฉับ”
สองมือทั้งสองข้างของซุนเจิ้งเต้า พลันใช้มีดฟันอย่างแรงไปที่ตรงกลางอก
ยามที่ต้องผ่าร่างนั้น ด้วยความที่คมมีดนั้นทื่อเกินไป เพียงแค่ฟาดคมมีดลงไปในครั้งแรก กลับมีแต่เลือดเท่านั้น ที่สาดกระเซ็นออกมา ร่างของศพหาได้แยกออกจากกันไม่
“ฉึก”
เมื่อใช้แรงมากไปนั้น มันจึงตัดเข้าไปในอวัยวะภายในทั้งหมด หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันตกลงไปบนต่าตุ่มในทันที
แคว่ก ความแข็งแกร่งของซุนเจิ้งเต้ามีมากเกินไป กระดูกด้านในของศพถูกตัดขาดออกจนหมด แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินเอง ยังรู้สึกเจ็บกระดูกของตนเองด้วยเช่นกัน
“ฉึบ” ตัดไปถูกหลอดเลือดแดงเข้า เลือดพลันพุ่งกระฉูดออกมาในทันที
นี่มันใช่การชันสูตรศพที่ใดกัน นี่ถือเป็นการทำลายศพเสียมากกว่า เมื่อเห็นท่าทางที่โหดเหี้ยมของซุนเจิ้งเต้านั้น เฟิ่งชิงเฉินกลับหัวเราะไม่ออก
แม้ว่าศพจะไม่ชีวิตแล้ว แต่ยามที่ลงมือก็ควรจะประนีตกว่านี้หน่อยมิใช่หรือ ศพเองก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน
กายวิภาคศาสตร์ คือการเรียนรู้ร่างกายและรูปร่างของตำแหน่งอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของมนุษย์ พร้อมทั้งเรียนรู้การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วน ในเมื่อซุนเจิ้งเต้าใช้มีดฟันจนร่างของศพแหลกลานเช่นนี้ มันย่อมไร้ประโยชน์ในการที่จะเรียนรู้ไปโดปริยาย
เฮ้อ
เฟิ่งชิงเฉินพลันหันหน้าไปอีกทาง ไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าไปได้อีก
ซุนเจิ้งเต้ายังมิทันจะได้ทำการชำแหละจนเสร็จสิ้น ทว่า ทั้งอวัยวะภายในและลำไส้ใหญ่ ต่างก็ได้ไหลทะลักออกมาหมดเสียแล้ว ผู้ใดที่ได้พบเห็นภาพเช่นนี้ ย่อมต้องรู้สึกขยะแขยงเป็นธรรมดา
“แหวะ” ซุนซือสิงพลันอ้วกออกมาในทันที
ภาพตรงหน้านองเลือดเกินไป เกินกว่าที่เขาจะรับได้ไหว
“เจ้าตัวไร้ประโยชน์นี่ ” ซุนเจิ้งเต้าพลันถลึงตาใส่ซุนซือสิงในทันที เมื่อแหล่ตามองไปที่เฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันรู้สึกว่าบุตรชายของตนทำให้ขายหน้ายิ่งนัก
แม้แต่สตรียังไม่อาจเทียบได้ ไร้ประโยชน์เสียจริง!
ซุนซือสิงรู้สึกอับอาย ทว่า เขาก็มิกล้าเอ่ยปากอธิบายออกมาเพียงแค่ยืนอ้วกอยู่ด้านข้างเท่านั้น
ซุนเจิ้งเต้ายังคงทำการชำแหละเพื่อตามหาลำไส้ต่อไป ทว่า เขาก็ไม่อาจทำอันใดได้มากนัก
พวกท่านรู้หรือไม่ว่า ด้านในของลำไส้มันจะยังมีอาหารที่ยังมิได้ทำการย่อยสลายไป บางที มันอาจจะยังไม่กลายเป็นอุจารระ เพียงซุนเจิ้งเต้าเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที พร้อมทั้งโยนมีดไปด้านข้าง มิอาจทำต่อไปได้อีก
ถ้าหากมีการชันสูตรศพเช่นนี้จริง แม้ว่าหมอจะมีถึงเก้าชีวิต เขาก็ไม่อาจอยู่รอดไปได้เช่นกัน
“ไม่ได้ การผ่าชันสูตรมันเสี่ยงเกินไป” ทั่วมือที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น หาได้ซึมเข้าไปถึงอาภรณ์ด้านในของเขาไม่ แม้แต่ภายในร่างกาย มันยังไม่ได้เลอะเข้าไป
ในยามนี้ ซุนเจิ้งเต้าถึงได้สังเกตุเห็นว่า ชุดที่เฟิ่งชิงเฉินเตรียมให้พวกเขานั้น ยอดเยี่ยมเพียงใด ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็รู้สึกว่า ทักษะการแพทย์มีไว้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น เรื่องพวกนี้คงมิอาจทำได้
ประสบการณ์ของเขา ในการผ่าชันสูตรศพนั้นถือว่าล้มเหลวแล้ว
“หมอหลวงซุน ท่านอย่างพึ่งด่วนตัดสินไปว่าท่านไปอาจทำได้ พวกเรานำศพพวกนี้ลงไปก่อนเถอะ เปลี่ยนเป็นอีกร่างหนึ่งขึ้นมาแทน ให้ชิงเฉินได้ลองหน่อยได้หรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินให้เกียรติหมอหลวงซุนเป็นอย่างมาก
ซุนเจิ้งเต้ามิเคยพบเห็นการแพทย์แผนตะวันตกมาก่อน การที่เขาสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็นับว่ามีฝีมือมากแล้ว ก่อนหน้านั้น นางเองก็ยังไม่มีฝีมือทำได้เท่าเขาเลยเช่นกัน
“เจ้า?” ซุนเจิ้งเต้ามิใคร่จะเชื่อใจในเฟิ่งชิงเฉินมากนัก ถึงแม้ว่านางจะดูมีความสามารถมากกว่าบุตรชายของเขาก็ตาม
เฟิ่งชิงเฉินจึงพยักหน้ายืนยันคำตอบ “ใช่”
พูดจบพลันก้าวเดินไปด้านหน้า พร้อมทั้งนำผ้าสีขาวห่อศพ สีหน้ายังคงดูสุขุมเช่นเดิม มิได้มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด
ความกล้าหาญนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
ประเด็นนี้ ซุนเจิ้งเต้า นับถือนางเป็นอย่างมาก เมื่อหันกลับไปมองบุตรชายของตนเองนั้น มันช่าง
ในเมื่อใช้งานบุตรชายมิได้ ก็เป็นเขาเองที่ต้องก้าวเข้าไปช่วยเหลืเฟิ่งชิงเฉินยกศพลงมาจากโต๊ะ เพื่อเปลี่ยนให้อีกศพเข้ามาแทนที่
“ซุนซือสิง ในเมื่อ เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ ข้าก็จักสอนเจ้า เจ้าจักต้องจดจำอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ให้แม่นยำเสียก่อน” เฟิ่งชิงเฉินพลันนำอุปกรณ์การผ่าตัดออกมา พลางบอกเป็นนัยให้ซุนซือสิงมายืนที่ข้างกายของนาง
“ขอรับ อาจารย์” คำสั่งของอาจารย์ถือเป็นที่สุด แม้ว่าในยามนี้สองขาของซุนซือสิงจะอ่อนแรงมากก็ตาม แต่เขาก็ยังทำใจเดินเข้าไป
เฟิ่งชิงเฉินพลันพยักหน้าด้วยความพอใจ พร้อมทั้งหยิบเครื่องมือมีผ่าตัดขึ้นมาหนึ่งชุด อออกมา ยามที่หยิบขึ้นมาแต่ละครั้ง เฟิ่งชิงเฉินก็จักเอ่ยปากอธิบายออกมาว่า ถึงการใช้การเป็นเช่นไร เครื่องมือแต่ละอัน มีวิธีการใช้ไม่เหมือนกัน และอวัยวะในร่างกายแต่ละที่ ก็ไม่อาจใช้เครื่องมือเดียวกันในการชำแหละได้ อีกทั้ง ยามที่ทำการชำแหละ ต้องทำด้วยความประนีต ห้ามใช้แรงมากจนเกินไปเป็นอันขาด
มีดที่ซุนเจิ้งเต้านำมาด้วยนั้น มันทั้งเก่าและมีสนิมเคอะ และดูสกปรกยิ่งนัก กลับกัน เครื่องมือของเฟิ่งชิงเฉินแต่ละชิ้น เต็มไปด้วยความมันวาว ทั้งยังดูสะอาดสะอ้าน มีดทุกเล่มจักมีเลขเขียนกำกับไว้ ทั้งมีด คีม แหนบ ล้วนแต่มีสภาพใช้งานที่ดีมาก
“ของพวกนี้คือ?” ซุนซือสิงยิ่งมองยิ่งรู้สึกได้ถึงความน่าอัศจรรย์ความหวาดลัวเมื่อครู่ได้อันตธานหายไปในทันที
“นี่เป็นเครื่องมือของอาจารย์เจ้า ที่ใช้ทำมาหากินยังไงละ ถ้าเจ้าจดจำกระบวนการทั้งหมดได้แล้ว ข้าจักส่งให้เจ้าอีกชุดหนึ่ง” เฟิ่งชิงเฉินเห็นประกายไฟในดวงตาของซุนซือสิงในทันที พร้อมทั้งให้คำสัญญาอย่างใจกว้าง
“จริงหรือ?”
“ย่อมเป็นเรื่องจริง อาจารย์จักโกหกเจ้าได้หรือ” การเป็นอาจารย์ให้ความรู้สึกดียิ่งนัก ราวกับว่าเป็นผู้อาวุโสเลย
“ขอบคุณอาจารย์มาก ๆ เลยขอรับ” ซุนซือสิงรีบร้อนโค้งกายทำความเคารพต่ออาจารย์ของตน
“อย่าเพิ่งรียบร้อนดีใจไป รอจนกว่าเจ้าจะจดจำได้หมดก่อน ค่อยว่ากัน” เฟิ่งชิงเฉินพลันสวมบทบาทเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดในทันที”
“อาจารย์ ท่านวางใจได้เลย ลูกศิษย์คนนี้จักต้องจำได้แน่” ซุนซือสิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ เกรงว่า ของสิ่งนั้นของเฟิ่งชิงเฉินแม้จักต้องตาย เขาก็ต้องเอามาให้ได้
“แค่กแค่ก” เมื่อซุนเจิ้งเต้าเห็นอาจารย์กับลูกศิษย์ที่อยู่อีกด้านนึงนั้น ก็ไม่สบอารมณ์ในทันที พร้อมทั้งส่งเสียงขัดขวางออกมาราวกับจะบอกให้รู้ว่า เขายังอยู่ตรงนี้อีกคน
ยามที่เขาได้มองอุปกรณ์ของนาง สายตาของเขาก็เป็นประกายเช่นกัน เมื่อหันกลับมาดูอุปกรณ์ของตนเองนั้น พลันรู้สึกอับอายยิ่งนัก
การเอาตนเองไปเปรียบเทียบผู้อื่นเช่นนั้น ช่างเป็นการกระทำที่น่าไม่อายจริง ๆ !
เดิมที่เขาต้องการที่จะกลั่นแกล้งเฟิ่งชิงเฉินเสียหน่อย มิคิดว่า จะเป็นการทำโทษตนเองแทน
น่าอับอายจริง ๆ !
“ท่านหมอซุน? ท่านเป็นหวัดหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามด้วยความใสซื่อ
หมอหลวงซุนเอง ก็มีกล้าเอ่ยปากว่าเขาก็อยากได้ด้วยเช่นกันนางมั่นใจได้
แน่นอนว่า ซุนเจิ้งเจ้าโมโหเสียจนต้องพ่นลมหายใจออกมา แต่เขาเองก็อับอายเกินกว่าที่จะเอ่ยปากขอ สิ่งของจากอาจารย์ของบุตรชายตนเอง ดังนั้น ซุนเจิ้งเต้าจึงถลึงตามองไปยังบุตรชายของตนทว่า ซุนซือสิงหาได้รับรู้อันใดไม่
ผู้ใดจะไปรู้กันว่า ความสนใจของซุนซือสิงในยามนี้ อยู่ที่เฟิ่งชิงเฉินจนหมด ในยามนี้ จึงไม่มีใครควบคุมเขาได้อีกแล้ว
เมื่อมีอาจารย์หลงลืมบิดาตนเอง
ซุนเจิ้งเต้าโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
เฟิ่งชิงเฉินก็หาได้สนใจอันใดอีกไม่ พลางสั่งให้ซุนซือสิงถอดอาภรณ์ของศพออกมา
ที่จริงแล้ว ควรจะถอดอาภรณ์ของผู้ตายออกให้หมดเลย ทั้งยังต้องนำไปฆ่าเชื้ออีกด้วย ทว่า
ศพตรงหน้าเป็นร่างของบุรุษ นางจึงต้องให้ซุนซือสิงถอดออกให้ ดูเหมือนว่าในสายตาของทั้งสองนั้น จะมองนางเปลี่ยนไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินหาได้รีบร้อนลงมีดไม่ ทว่า นางใช้นิ้วชี้ไปที่ตำแหน่งต่างบนหน้าอกของผู้ตายแทน พลางกล่าวว่า ในแต่ละส่วนในตำแหน่งของอวัยวะภายในนั้น ยามที่ลงมีดต้องพยายามให้ห่างจากเส้นเลือด ทั้งยังต้องระมัดระวังอวัยวะภายในและหลอดเลือดที่เชื่อมเข้าหากันด้วย
ซุนซือสิงเองตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ทีแรกซุนเจิ้งเต้าเองก็มิได้จะตั้งใจฟังนางเช่นกัน เมื่อเขาได้ฟังคำอธิบายของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันลอบเปรียบเทียบภายในใจ
ที่แท้ การชันสูตรมีข้อควรระวังมากมายถึงเพียงนี้ ภายในใจพลันแอบคิดว่า วิธีของตนเองดูป่าเถื่อนยิ่งนัก แม้จะมิได้บอกออกมาหมดทุกอย่าง แต่ซุนเจิ้งเต้าก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า ตนเองเสียหน้าครั้งใหญ่เลยทีเดียว
“จำได้หรือไม่?” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินอธิบายจบแล้ว ก็พลันหันมามองซุนซือสิงในทันที
เข้มงวด ตั้งใจ เป็นทัศนคติของเฟิ่งชิงเฉินในยามที่ทำการสอน
“จำได้แล้วขอรับ” ซุนซือสิงมิกล้าหายใจออกมาแรงๆ เสียด้วยซ้ำ พลางพยักหน้าเบา ๆ
“เช่นนั้น เจ้าต้องตั้งใจดูองศาในการลงมีดของข้าให้ดี แล้วก็ท่าทางในการจับมีดของข้าด้วย” เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็ค่อย ๆ กดมีดกรีดลงไปในทันที
“ช่างใจกล้ายิ่งนัก” ซุนเจิ้งเต้าพลันมองดูความสงบของเฟิ่งชิงเฉินท่วงท่าในการจับมีด หาได้มีการสั่นใดๆ ไม่ ช่างน่านับถือยิ่งนัก
หากรู้ว่า ยามที่เขาลงมีดลงไปในครานั้น ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นสะท้านเพียงใด พร้อมกับหัวใจที่สั่นรัว ความกล้าหาญของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เยี่ยมยอดมาก
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินทำการกดมีดลงไปนั้น มิเห็นเลือดไหลออกมาเลยสักนิด เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ เปิดทรวงอกด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ทันใดนั้น อวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ ก็ได้ออกมาเผยโฉมให้ซุนเจิ้งเต้าและซุนซือสิงได้ชมในทันที
แหวะ
ทั้งซุนเจิ้งเต้าและซุนซือสิงต่างก็มีสีหน้าที่ซีดเผือด ซุนเจิ้งเต้ายังดูพอได้ แต่ท่าทีของซุนซือสิงในยามนี้ ร่างกายโงนเงนยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินพลันถลึงตาใส่เขา “หายใจเข้าไปลึก ๆ อย่าได้ทำตัวมิอาจเทียบเทียมแม้แต่สตรีก็ไม่ได้เชียว”
ในยามที่ซุนเจิ้งเต้า เห็นเหตุกาณ์นองเลือดใหญ่โตถึงเพียงนั้น เขาหาได้มีท่าทางเป็นเช่นนี้ไม่
ซุนซือสิงรู้สึกเสียใจเป็นอยากมาก
ท่านอาจารย์!
นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้น ยามที่เจอเลือดมากมายนั้น เขาไม่อาจมองเห็นอวัยวะภายในได้
เขาเป็นเช่นนี้ก็ผิดหรือ