นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 192 กลั่นแกล้ง ยืมพลังนั้นสำคัญไฉน
บทที่ 192 กลั่นแกล้ง ยืมพลังนั้นสำคัญไฉน
“นายน้อยโจว เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีใครกล้าออกจากจวนอีก”
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นข้ารับใช้ที่รับผิดชอบการซื้อของให้จวนเฟิ่ง ทหารผ่านศึกพิการที่มือซ้ายขาด แต่ในเวลานี้เขาดูสกปรกและเวทนา เพียงเห็นก็รู้แล้วว่าถูกทุบตี
“ลุงจู้จื่อ เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าไปที่ฝ่ายบัญชีแล้วรับเงินมาสิบตำลึง บอกให้คนเบื้องล่างปิดปากให้สนิท ช่วงนี้คุณหนูยุ่งมาก อย่าทำให้นางต้องกังวลเรื่องพวกนี้เลย” โจวสิงรับมือเสียจนเคยชินแล้วจึงจัดการได้ทันที
“นายน้อยโจว อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องแจ้งให้คุณหนูทราบ จวนเฟิ่งของเราไม่อาจถูกคนอื่นรังแกและนิ่งเงียบได้ ข้ารับใช้ของจวนเจิ้นกั๋วกงโอหังยิ่งนัก ยิ่งเรายอมให้ พวกเขาก็ยิ่งได้ใจ” ดวงตาของลุงจู้จื่อฉายแววอัปยศอดสู
“ข้ารู้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ปัจจุบันของคุณหนูในเมืองหลวงด้วย คุณชายใหญ่ไปเสียแล้ว หากพวกเราปะทะกับคนของเจิ้นกั๋วกงก็จะมีเพียงเราเท่านั้นที่ต้องทุกข์ทรมาน” โจวสิงถอนหายใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ เพียงแต่ว่า…
จวนเฟิ่งมีสตรีเป็นผู้นำตระกูลย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงการดูถูกจากคนอื่นๆ คงจะดีถ้ามีผู้ชายอยู่ในจวนเฟิ่งนี้สักคน
ลุงจู้จื่อตาแดง ถ้าหากแม่ทัพเฟิ่งยังอยู่ ไฉนเลยจะมีใครกล้ารังแกคุณหนูของพวกเขา” คุณชายโจว ตอนนี้พวกเราก็ไม่เป็นไรหรอกพวกเรามันหนังหนาอยู่แล้ว แต่หากมีวันใดที่พวกนั้นลงมือกับคุณหนูแล้วจะทำอย่างไร?”
นี่คือสิ่งที่ชาวจวนเฟิ่งเป็นห่วง
คิ้วของโจวสิงย่นเล็กน้อย นี่ก็เป็นสิ่งที่เขากังวลมากเช่นกัน “ข้าจะลองหาวิธีดู เจ้าไปก่อนเถอะ” บางทีอาจจะเขียนจดหมายถึงอวี่เหวินหยวนฮั่ว
ไอ้สารเลวนี้พลิกเมืองหลวงกลับหัวกลับหาง ตบตูดแล้วก็จากไป น่ารังเกียจยิ่งนัก
ลุงจู้จื่ออึกอัก แต่ในที่สุดก็พยักหน้าและเดินไปที่ทางห้องพักข้ารับใช้อย่างหงอยเหงา
เมื่อเห็นท่าทางที่ไร้หนทางและเศร้าสร้อยนั้น จมูกของเฟิ่งชิงเฉินก็แสบขึ้นมาทันที
ที่แท้นางเป็นเพียงแค่เสือกระดาษมาโดยตลอด ทันทีที่อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่อยู่ ใครๆ ก็รังแกนางได้
คิดดูแล้วก็จริง ถ้าไม่มีอวี่เหวินหยวนฮั่ว นางก็ไม่มีที่พึ่งเลยจริงๆ
เฮ้อ… หลังจากที่ลุงจู้จื่อไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เดินออกมาจากมุมห้อง
“ท่านพี่…” โจวสิงตกใจ เขาไม่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอยู่ที่นั่นและก็ไม่รู้ว่านางได้ยินมากแค่ไหน
“โจวสิง ระยะนี้ทำให้เจ้าเหนื่อยใจนัก ข้าต้องขอโทษด้วย” เฟิ่งชิงเฉินขอโทษโจวสิงอย่างจริงจัง
เนื่องจากความประมาทเลินเล่อของนาง คนในจวนเฟิ่งล้วนได้รับความคับข้องใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครออกหน้าเพื่อพวกเขาเลย
“ไม่ พวกเราไม่ได้คับข้องใจอะไร เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” โจวสิงโบกไม้โบกมือไปมา เมื่อเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่รู้ว่านางได้ยินมากแค่ไหน
“ท่านพี่ ท่านอย่าได้วู่วามไป”
เขากลัวว่าหากเฟิ่งชิงเฉินโกรธแล้วจะไปหาเรื่องคนของเจิ้นกั๋วกง เช่นนั้นต้องได้ไม่คุ้มเสียแน่ ก่อนหน้านี้อวี่เหวินหยวนฮั่วได้พลิกเมืองหลวงเสียจนกลับหัวกลับหาง นับว่าทำให้คนขุ่นเคืองใจไว้ไม่น้อย คนเหล่านั้นไม่กล้าหาเรื่องอวี่เหวินหยวนฮั่ว แน่นอนว่าย่อมเอาความโกรธมาลงกับเฟิ่งชิงเฉิน
ก่อนที่อวี่เหวินหยวนฮั่วจะจากไป เขาได้สั่งเฟิ่งชิงเฉินไว้ว่าระยะนี้อย่าออกไปไหน ให้รอจนพายุสงบลงเสียก่อน
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้”
เฟิ่งชิงเฉินหันหลังไปอย่างเงียบเชียบ นางได้ยินเสียงทักทายของข้ารับใช้ไปตลอดทางและเพียงเดินก้มหน้าไปยังห้องหนังสือเท่านั้น นางนั่งเงียบๆ อยู่ในนั้นกว่าครึ่งค่อนวันก่อนจะเดินออกมาด้วยสีหน้าเปี่ยมความมั่นใจ
“โจวสิง เตรียมตัวให้พร้อมข้าจะออกไปข้างนอก” ในเมื่อนางไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องจวนเฟิ่ง เช่นนั้นก็ขอยืมกำลังผู้อื่นก็แล้วกัน
แต่ก่อนกำลังที่นางยืมเป็นอวี่เหวินหยวนฮั่ว ส่วนตอนนี้น่ะหรือ?
มุมปากของเฟิ่งชิงเฉินมีรอยยิ้มชั่วร้าย
คิดจะรังแกนางงั้นหรือ ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก นางมีทรัพยากรในมือมากมาย
ใต้เท้าลู่เส้าหลิน ผู้บัญชาการใหญ่แห่งสำนักองครักษ์เสื้อโลหิต ยาเม็ดของเขาน่าจะหมดแล้ว ได้เวลาไปเยี่ยมเขาแล้ว และยังมีซู่ชินอ๋องที่เป็นโรคปวดประสาทใบหน้า น่าจะถึงเวลารักษาอีกครั้งแล้ว แค่พึ่งยาแก้ปวดไม่เพียงพอแน่นอน
คนเหล่านี้เห็นว่าการเก็บตัวในระยะนี้ขอนางเป็นความหวาดกลัวงั้นหรือ?
เฮอะ…
เจิ้นกั๋วกง ท่านออกตัวเร็วเกินไป
ทำให้หมอขุ่นเคืองใจไม่เป็นผลดีนักหรอก!
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินออกไปมักจะเดินด้วยสองเท้าของตนเอง ถนนในเมืองหลวงค่อนข้างแออัด นอกจากชนชั้นพิเศษแล้ว นอกนั้นความเร็วของรถม้าจะไม่เร็วเท่ากับที่นางเดิน
แต่วันนี้โจวสิงกลับยืนยันหนักแน่นให้นางนั่งรถม้า ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ยอมให้นางออกจากจวน เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าโจวสิงทำเพื่อนางจึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตกลง
แม้ว่าจะมีไม่กี่คนในจวนเฟิ่ง แต่ทุกคนล้วนมีความสามารถเหมือนคนสองคน คนขับรถม้าก็คือทหารชราที่แขนพิการ เขาพูดจาไม่มากนักแต่กลับหนักแน่นยิ่ง
เมื่อออกมาจากถนนสายหลัก รถม้าของเฟิ่งชิงเฉินก็ขับเข้าไปในถนนที่ไม่กว้างขวางนัก เฟิ่งชิงเฉินยังคงครุ่นคิดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถเผยแพร่ความสัมพันธ์อันดีของนางกับลู่เส้าหลินออกไปได้โดยไร้ร่องรอย
ไม่ว่าลู่เส้าหลินจะเป็นของตงหลิงจิ่วหรือคนของจักรพรรดิก็ตาม นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับนาง ตราบใดที่นางสามารถใช้ประโยชน์จากกำลังของเขาได้ก็พอแล้ว และนางเชื่อว่าลู่เส้าหลินก็เต็มใจที่จะอำนวยความสะดวกให้นางเช่นกัน
“กุบกับ…”
เสียงกีบเท้าม้าควบมาอย่างเร่งรีบทำลายสมาธิของเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
“จะชนคนตายแล้ว”
…
เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมา เฟิ่งชิงเฉินก็รีบเปิดหน้าต่างบานเล็กออกและเห็นม้าสีพุทราแดงตัวใหญ่วิ่งออกมาจากตรอกด้านข้าง
ดูเหมือนม้าจะกำลังตกใจวิ่งสะเปะสะปะไปตลอดทาง ไปชนแผงลอยมากมาย ผู้คนที่สัญจรไปมาทั้งสองข้างไม่น่าจะหลบหลีกได้ทัน บ้างถูกม้าชนล้มลงกับพื้น มีผู้มีฝีมือกล้าหาญบางคนคิดจะเข้าไปแล้วบ้างก็ถูกม้าเตะออก ม้าตัวนี้ไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เลย
บนหลังม้าไม่มีแส้และเชือก เมื่อมองดูลักษณะเกเรก็ดูเหมือนม้าป่า
ม้าป่า? ม้าป่ามาปรากฏขึ้นในเมืองได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจในชั่วพริบตาว่าม้าป่าตัวนี้ถูกส่งมาหานาง ไม่เช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร
ม้าที่กำลังตื่นตระหนกกำลังอาละวาด หากนางตกลงมาจากรถม้า ไม่ตายก็คงพิการ อีกทั้งยังจับตัวฆาตกรไม่ได้ด้วย
ดี เป็นอุบายที่แยบยลยิ่งนัก
“คุณหนู” คนขับดึงบังเหียนในขณะที่ม้าป่าวิ่งออกมา แต่ทว่า…
ระยะทางใกล้เกินไป ความเร็วของม้าป่าก็เร็วเกินไป หลบไม่ทันอย่างแน่นอน
“กระโดดลงจากรถม้า”
เมื่อเห็นว่าม้าป่ากำลังจะวิ่งเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คิดอะไรมากและไม่รอให้รถม้าหยุดวิ่ง นางเปิดประตูเหลือบมองไปในทิศทางที่จะหลบได้ นางเอามือกุมหัวไว้และเตรียมตัวที่จะกระโดดลงไป
“แม่นางผู้นี้ช่างกล้าหาญจริงๆ”
“แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน ถึงได้หยาบกระด้างถึงเพียงนี้”
…