นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 213 ข่าวลือเกิดขึ้น คำเชิญจากจวนเจิ้นกั๋วกง
ในสายตาของพวกเขาแล้ว ความคับข้องใจของผู้หญิงคนนี้กับศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล แน่นอนว่าอย่างหลังนั้นสำคัญกว่า เมื่อถึงเวลาพวกเขาหาเหตุผลที่ฟังดูดี ให้คุณหนูเจียงหยู่เข้าจวนในฐานะอนุภรรยา และจัดการเรื่องนี้จนเสร็จ
คุณหนูเจียงหยู่ไม่ได้เสียความอัปลักษณ์ไปมากมาย เมื่อได้เข้าไปอยู่ในจวนก็ได้เป็นที่โปรดปรานของจิ้นหยางโหวแล้วยังมีลูกอีกด้วย ฮูหยินจิ้นหยางโหวใช้ชีวิตอย่างเป็นทุกข์ใจ และนางเองก็ถูกวางยาพิษด้วย
ฮูหยินจิ้นหยางโหวไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถปกป้องตำแหน่งของนางได้
และหลังจากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ค้นพบว่า นางดูถูกผู้หญิงหลังบ้านมากเกินไป ฮูหยินจิ้นหยางโหวมอบของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้เธอ ก็เพื่อที่ต้องการบางอย่าง
เพราะเรื่องพิษนี้เอง ฮูหยินจิ้นหยางโหวจึงไม่อยากที่จะเชื่อใจหมอคนไหน แม้แต่หมอหลวง เมื่อร่างกายไม่สบายก็ยืนยันที่จะฝืนไปที่จวนเฟิ่ง เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินรักษา แน่นอนว่าเรื่องสุขภาพร่างกายของลูกนางเองก็ยกให้เฟิ่งชิงเฉินดูแลเช่นกัน
หลังจากทั้งสองคนเริ่มคุ้นเคยกัน ฮูหยินจิ้นหยางโหวก็พูดกึ่งจริงจังกึ่งเล่นว่า “ชิงเฉิน ที่บ้านของข้าช่างเงียบเหลือเกิน ถ้ามีโอกาสก็ช่วยหาผู้หญิงให้ข้าหน่อยสิ แต่ข้าไม่ต้องการผู้หญิงที่มีครอบครัวที่ดีนะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ตกตะลึง หลังจากนั้นน้ำตาแทบจะไหลเต็มหน้า นางเป็นพวกคนลักพาตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เรื่องของจิ้นหยางโหวถึงแม้ว่าจะวุ่นวายมาก ไม่นานนักข่าวอื้อฉาวนั้นก็เงียบหายไป แต่เพราะตัวตนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้จึงแพร่กระจายเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง ไม่เหมือนกับเฟิ่งชิงเฉินที่เกิดเรื่องขึ้นมาก็วุ่นวายไปจนถึงพระราชวัง เป็นที่รู้กันตั้งแต่องค์ชายไปจนถึงชาวบ้านสามัญชนทั่วไป
นี่คือระยะห่างของฐานะ คนธรรมดาทั่วไปได้กินอิ่มก็พอแล้ว จะไปกล้าพูดถึงเรื่องของจวนโหวนั้นได้อย่างไร เรื่องของจวนจิ้นหยางโหว ไม่เกินห้าวันก็กลายเป็นละอองฝุ่นไปแล้ว ข่าวลือเงียบหาย ทุกคนต่างทำได้เพียงพูดลับหลังไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ทุกอย่างกลับมาสงบสุขอีกครั้ง และอาการบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินก็ใกล้จะหายดีแล้ว เฟิ่งชิงเฉินคิดถึงเรื่องที่ยังติดอยู่ในหัว ตัดสินใจไปที่จวนซุน เพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของคุณแม่ของซุนซือสิง เตรียมการผ่าตัดเปิดทรวงอกให้เธอ
“ซือสิง การผ่าตัดให้แม่เจ้าครั้งนี้ เจ้าจะเป็นผู้ช่วยในการผ่าตัด ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องผ่าตัดเอง แต่ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ในขณะเดียวกันก็ยังต้องใช้คำพูดนั้น ข้าอยู่ที่นี้ ไม่ว่าเจ้าจะเห็นอะไรอย่าได้ตกใจ ยิ่งไปกว่านั้นอย่านำเรื่องนี้ไปบอกที่จวนของข้า” ต้องระมัดระวังอย่างมาก ถึงแม้ว่าการผ่าตัดเปิดทรวงอกไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แค่ต้องมีฝีมือที่ดีพอ ก็สามารถใช้เครื่องมือในสมัยโบราณในการผ่าตัดได้ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้หวังให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเช่นกัน
“ตกลง ตกลง ตกลง” แววตาทั้งสองของซุนซือสิงเป็นประกาย รีบพยักหน้าและกำมือทั้งสองแน่น เขาเกรงว่าตนเองจะดีใจเกินไปจนกระโดดโลดเต้นและทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกใจ
ในช่วงนี้เขาใช้สัตว์ในการทดลองผ่าตัด ฝึกวิธีการลงมีด ฝึกการคำนวณการเปิดปากแผล แน่นอนว่ามีการเย็บปิดบาดแผลด้วย เรื่องพวกนี้เขาต่างคุ้นชินแล้ว และอยากให้มีคนไข้มาให้เขาได้ทดลองทำจริงตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาส
ครั้งนี้ถึงแม้ไม่สามารถให้เขาลงมือได้ แต่ก็สามารถให้ดูได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเช่นกัน และนี้เป็นครั้งแรกของเขา ครั้งแรกที่เขาได้เห็นการใช้มีดผ่าตัดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่นึกถึงเรื่องการรักษาก็ไม่ได้ลืมว่าคนคนนั้นคือแม่ของตนเอง เขาเองก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัยของแม่ตนเองเช่นกัน
“เด็กโง่” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอายุน้อยกว่าซุนซือสิง แต่เมื่อพูดคำนี้ออกมากลับไม่รู้สึกถึงความอ่อนน้อมเลยสักนิด
“ไปเถอะ ไปดูว่าแม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากสภาพร่างกายพร้อมล่ะก็ วันพรุ่งนี้ก็สามารถทำการผ่าตัดได้เลย” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปกับทั้งสองมือที่ว่างเปล่า ส่วนเรื่องอุปกรณ์การแพทย์? ที่นี่ก็มีอยู่กับซุนซือสิงแล้วไม่ใช่หรือ
ลูกศิษย์ต้องทำอะไร? แน่นอนว่าต้องเป็นงานทั่วๆไป
ตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์ สภาพร่างกายของซุนฮูหยินนั้นดีมาก สามารถทำการผ่าตัดได้ทุกเวลา ไม่มีปัญหาสำหรับการตรียมการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้
ก่อนการผ่าตัด คนไข้จะเกิดอาการตื่นเต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วยิ่งเป็นในยุคสมัยนี้ ชาวบ้านนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องการผ่าตัด คิดว่าการเปิดอกผ่าท้องเช่นนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แน่นอนว่าต้องรู้สึกไม่สงบสุขและประหม่า
เฟิ่งชิงเฉินตรวจเรียบร้อยแล้ว กำลังจะพูดให้ซุนฮูหยินเกิดความสบายใจได้สักหน่อย นางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล และไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ซุนฮูหยินก็ขัดจังหวะตอนที่นางกำลังจะพูด
“หมอเฟิ่ง เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย ข้าได้ยินมาจากสามีว่าทักษะการรักษาของเจ้านั้นยอดเยี่ยม หลังจากที่ผ่าเปิดร่างศพแล้ว ไม่ไปทำให้อวัยวะข้างในศพเสียหายเลย และหลังจากเย็บแผลแล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกประการ
ทักษะการรักษาแบบนี้เป็นที่หาได้ยาก สามีของข้าพูดแล้วว่า ทักษะการรักษาของเจ้านั้นเหนือกว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเสียอีก มีเจ้าเป็นคนผ่าตัดให้ ข้าไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีอันตราย
ซือสิงของบ้านเราถึงแม้ได้ไปอยู่กับท่านไม่นาน แต่หลังจากที่กลับมาก็เอาแต่พูดว่านึกถึงเจ้า พูดเสมอว่าฝีมือการรักษาของหมอเฟิ่งนั้นล้ำเลิศ สามารถวิเคราะห์อาการป่วยได้อย่างเชี่ยวชาญ และยังทันสมัยมาก ตอนนี้คนที่เขาชื่นชมก็คงจะเป็นเจ้าแล้วล่ะ
หมอเฟิ่งเจ้าสบายใจได้ ข้าเชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของเจ้า ข้าไม่เป็นกังวลเรื่องวันพรุ่งนี้แม้แต่นิดเดียว แล้วยังไม่ประหม่าอีกด้วย เป็นกังวลก็แค่ซือสิง ข้ากลัวว่าวันพรุ่งนี้เขาจะตกใจกลัว เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องขออภัยหมอเฟิ่งด้วยแล้วกัน”
หัวอกของคนเป็นพ่อแม่ ในความกังวลและเป็นห่วงในใจของซุนฮูหยินผู้นี้ไม่ใช่เรื่องการผ่าตัดสำเร็จหรือไม่ แต่กลับเป็นซุนซือสิง
เมื่อได้เห็นคุณแม่ซุนที่เป็นห่วงซุนซือสิง เวลาพูดถึงซุนซือสิงดวงตาก็แสดงออกมาถึงความภูมิใจและรักลูกมาก ในใจของเฟิ่งชิงเฉินมีคำพูดที่รู้สึกอิจฉาจนแทบทนไม่ไหว
ซุนซือสิงนั้นมีความสุขแล้ว มีพ่อที่ทำเพื่อเขาได้โดยไม่ห่วงหน้าตา มีแม่ที่ทำเพื่อเขาได้โดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง
ชีวิตทั้งสองของนางไม่เคยได้รับความรักและทะนุถนอมจากพ่อแม่ นางแทบจะไม่มีความสัมพันธ์ฉันพ่อแม่ เฟิ่งชิงเฉินยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไรยิ่งเจ็บปวดใจมากนั้น แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับสดใสมากยิ่งขึ้น และพูดออกมาเบาๆว่า “ซุนฮูหยิน ท่านวางใจได้ ซือสิงเขาเป็นคนเก่งมาก วันนี้ข้าจะให้เขาอยู่ที่นี้ เป็นเพื่อนคุยให้ท่าน ”
นางไม่มีโอกาสได้รับความสุขจากความผูกพันของครอบครัว แต่ลูกศิษย์ของนางได้รับมันไปนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินออกไป เห็นซุนซือสิงที่นั่งอยู่ข้างๆซุนฮูหยิน มีรอยยิ้มที่สดใส กำลังทุ่มเทเพื่อให้ซุนฮูหยินมีความสุข ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความอิจฉา
ถ้าหากมีชีวิตแบบนี้ได้ในสักวัน นางคงจะพอใจแล้ว แต่นี่คงเป็นความหวังที่มากเกินตัว
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกลับมาที่จวนเฟิ่ง อารมณ์ของนางยังคงดำดิ่งมาก โจวสิงเห็นเช่นนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เขากำลังลังเลว่าจะส่งกระดาษในมือให้นางดีหรือไม่
“โจวสิง มีเรื่องอะไรไหม?” สำหรับโจวสิงแล้ว นางเตรียมใจและไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร นางรู้ว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่พูดออกมาแล้วก็ไม่วันหวนคืนคำได้
ในใจของนางนับว่าโจวสิงเป็นน้องชายจริงๆ แต่เป็นเพราะแบบนี้นางถึงได้ไม่สบายใจ
“พี่สาว คนของจวนเจิ้นกั๋วกงส่งข้อความนี้มา บอกว่าฮูหยินอาวุโสของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่สบาย ขอให้ท่านไปดูอาการให้” โจวสิงรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ชอบใจคนเหล่านี้ แต่คนเหล่านี้คงจะไม่สามารถปฏิเสธได้
“จวนเจิ้นกั๋วกง?” เฟิ่งชิงเฉินเปิดกระดาษข้อความ และหัวเราะเยาะออกมา
มืดมนจนไม่อาจมีส่องสว่างได้ คนของจวนเจิ้นกั๋วกงนี่ช่างน่าสนใจจริงๆ เชิญให้นางไปที่จวน ไม่กลัวว่านางจะไปสร้างเรื่องราวความขัดแย้งให้หรือ?
ดูเหมือนว่าบทเรียนของจวนจิ้นหยางโหวจะยังเล็กน้อยเกินไป คนเหล่านี้คิดจริงๆหรือว่านางเป็นคนประเภทเรียบร้อยเชื่อฟังง่าย