นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 236 พิสูจน์ นี่มิใช่มนต์ดำแต่เป็นเทคนิคทางการแพทย์
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาห้าพันปี และเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นสิ่งที่รับมือได้ยากที่สุด ” หมอหลวงซุน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ไม่มีกระไรที่ข้าสามารถช่วยได้เลย”
“ใช่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเป็นแค่ผู้หญิง จะช่วยกระไรได้บ้าง หมอหลวงซุนเจ้ากำลังป่วยเสียจนหาหมอรักษามั่วนะ” ตี๋ตงหมิงก้าวไปข้างหน้า เขาเกลียดเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาไม่อนุญาตให้คนอื่นรังแกนาง
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าหลายครั้ง ” หมอหลวงซุนกล่าวถูกต้องแล้ว ชิงเฉินเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา จะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร และอีกอย่างข้าไม่รู้เรื่องสมุนไพรมากเท่าไหร่นัก”
นี่คือความจริง แต่เมื่อนางกล่าวออกมาเอง กลับดูเหมือนถ่อมตนเสียมากกว่า
หยุนไห่ครุ่นคิด ตระกูลหยุนไม่ได้สนิทกับเฟิ่งชิงเฉินมากเท่าไหร่นัก เป็นเรื่องปกติที่เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ช่วยพวกเขา ซุนเจิ้งเต้าเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างลำบากเล็กน้อย แต่ว่า……….
“ชิงเฉิน กายวิภาคศาสตร์ไม่อาจมีใครเทียบได้ในโลกนี้ หยุนไห่มาพบข้าก็เพื่อหวังว่าข้าจะช่วยชันสูตรศพเหล่านี้ เพื่อหาจุดสงสัยจากศพ แต่เจ้าก็รู้ว่ากายวิภาคที่ข้าใช้เป็นนั้น มันไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งผิดปกติกระไรได้เลย ข้าจึงคิดอยากให้เจ้าช่วย”
“นี่เป็นงานของเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ เจ้ามาชอบให้ข้าช่วยก็ไม่มีประโยชน์อันใด” เฟิ่งชิงเฉินปวดหัว นางเป็นหมอ ไม่ใช่แพทย์นิติเวช ครั้งที่แล้วนางทำหน้าที่เป็นแพทย์นิติเวชชั่วคราวในจวนเซี่ย นั่นเป็นเพราะว่าถูกบีบบังคับ
“เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพได้ผ่าชันสูตรไปทั้งทั้งสามศพ แต่ไม่พบกระไร” หยุนไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “หมอเฟิ่ง สิ่งที่หมอมีต่อผู้ป่วยนั้นเหมือนดั่งความเป็นห่วงที่พ่อแม่มีต่อลูก แม้ว่าตระกูลหยุนจะมิใช่หมอ แต่ทำธุรกิจเรื่องยารักษา และคุณภาพของวัสดุยานั้นมีผลต่อชีวิตคน ตระกูลหยุนไม่ถือสาหากต้องชดใช้เงินทองหรือเสียชื่อเสียง แต่ตระกูลหยุนหวังว่าความผิดพลาดแบบเดียวกันจะไม่เกิดขึ้นอีกและจะไม่มีใครต้องตายเพราะยาของตระกูลหยุน”
ซุนเจิ้งเต้ากล่าวว่าแม้เฟิ่งชิงเฉินอายุยังน้อย แต่นางมีจิตใจที่เมตตาและห่วงใยผู้ป่วยเสมอ เขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะสร้างความประทับใจให้เฟิ่งชิงเฉิน
พ่อค้ายารักษาและหมอนั้นต่างกันอย่างมาก พ่อค้ายานั้นเป็นนักธุรกิจ และสำหรับนักธุรกิจแล้วผลประโยชน์จะต้องมาก่อนทุกสิ่ง คำพูดของหยุนไห่เชื่อไม่ได้ทั้งหมด แต่เขาพูดถูก หากหาเหตุผลไม่ได้ก็ยังต้องมีคนอีกมากมายที่เสียชีวิตเพราะยาของตระกูลหยุน ร้านขายยาตระกูลหยุนก็จะเสียชื่อเสียงไปด้วยเช่นกัน
แต่……
เรื่องบางเรื่องอาจไม่ง่ายอย่างที่เราคิด หากว่านางเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วถอนตัวออกมามิได้เช่นนั้นจะทำอย่างไร ยารักษาไม่มีปัญหา แต่คนพวกนี้กลับตายเพราะยาของตระกูลหยุน เห็นชัดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ
คราวนี้เฟิ่งชิงเฉินต้องไตร่ตรองครุ่นคิด ซูเหวินชิงและซูเหวินหาง หวังชี เซี่ยซานมาถึงพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ซูเหวินชิงถาม
“พี่เฟิ่ง พี่ไม่เป็นกระไรใช่หรือไม่?” ซูเหวินหางกล่าว
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าทำให้ใครขุ่นเคืองอีกแล้ว?” หวังชีกล่าว
เซี่ยซานมิได้กล่าวกระไร เพียงรอให้เฟิ่งชิงเฉินตอบ
เมื่อใต้เท้าเว่ยเห็นว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยและตระกูลหวัง เขาจึงเร่งคำนับและกล่าวเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาฟัง จากนั้นก็เน้นย้ำว่าตระกูลหยุนทำเช่นนี้ก็เพื่อชาวบ้าน
ดูเหมือนว่าตระกูลหยุนให้เงินแก่ใต้เท้าเว่ยไปไม่น้อย
“ชิงเฉิน เจ้าคิดอย่างไร หากไม่สามารถช่วยได้ ก็ไปกันเถอะ ข้าจะคอยรู้ว่าใครกล้าทำให้เจ้าลำบากใจ” หวังชีออกตัวและมองดูหยุนไห่
ร้านขายยาตระกูลหยุนนั้นตั้งอยู่ทั่วแผ่นดิน และที่สำคัญที่สุดคือมีหยุนเฉิงอยู่เบื้องหลังตระกูลหยุน แต่แล้วอย่างไร ตระกูลหวังไม่เกรงกลัวหรอก
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวจริงๆ เพียงแต่นางให้เกียรติซุนเจิ้งเต้า อีกอย่างหากว่าสืบออกมามิได้ เช่นนี้ผู้เสียหายจะเพิ่มมากขึ้น
ขณะลังเล ซูเหวินหางก็แทรกขึ้นทันที “พี่เฟิ่ง ข้าเชื่อในตัวพี่ พี่ทำได้แน่นอน”
ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความมั่นใจและความภาคภูมิใจ “พี่เฟิ่ง พี่เก่งกาจเช่นนี้ ไม่มีกระไรที่พี่ทำมิได้อย่างแน่นอน เหวินหางเชื่อว่าพี่เฟิ่งพลังมากสามารถช่วยได้อย่างแน่นอน อีกเรื่องหนึ่งพี่เฟิ่ง ยาที่พี่ให้ข้า ข้ากินแล้วหายเจ็บท้องทันที”
ซูเหวินหางยืนข้างซูเหวินชิง โบกมือเล็กๆ ของเขาเพื่อให้กำลังใจเฟิ่งชิงเฉิน: “พี่เฟิ่ง สู้ๆ!”
เจ้าเด็กคนนี้…
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูเหวินหางขณะที่มีสติอยู่ ไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่กลัวคนแปลกหน้า
แต่ทว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อซูเหวินหางอย่างมาก เพราะเจ้าเด็กนี่และตนนั้นมีดวงต่อกันอย่างมาก ไปถึงสถานเก็บศพแล้วยังสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้ ถือเป็นเด็กที่มีบุญหนาเลยทีเดียว
“ดีเลย ในเมื่อเหวินหางพูดเช่นนี้ พี่เฟิ่งจะลิงดู”
“จริงหรือ? พี่เฟิ่ง เหวินหางสามารถดูได้หรือไม่ว่ากายวิภาคศาสตร์คือกระไร?” ดวงตาของซูเหวินหางเป็นประกาย และเขามองทุกคนอย่างภาคภูมิใจ ราวกับว่าเฟิ่งชิงเฉินเห็นด้วยเป็นเพราะเขาขอร้อง
“ได้ หากว่าเจ้าใจกล้าพอก็ย่อมได้” นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีเลย นางจะได้ใช้โอกาสนี้เพื่อพิสูจน์กายวิภาคศาสตร์นี้
กายวิภาคศาสตร์เป็นเทคนิคทางการแพทย์ ไม่ใช่มนต์ดำ ต่อไปหากเห็นนางเปิดช่องท้องคนไข้ คนเหล่านี้จะได้ยอมรับมากขึ้น
“เยี่ยมมาก ขอบใจคุณหนูเฟิ่ง สำหรับบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของคุณหนูเฟิ่งนั้น ตระกูลหยุนจะไม่มีวันลืม” หยุนไห่ที่สงบนิ่งมาตลอดอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาในขณะนั้น
เรื่องนี้กวนใจเขามาเกินครึ่งปีแล้ว ก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายวันที่ผ่านมานี้มันเกินขึ้นมากจนเกินไป และวันนี้กลับตายทีเดียวห้าคนพร้อมกัน
“อย่าขอบใจข้าเร็วเกินไป ข้าอาจจะไม่สามารถค้นหาปัญหานี้ได้ เพราะข้ามิใช่มืออาชีพ” แพทย์นิติเวชเองก็อาจไม่สามารถค้นหาปัญหาจากทุกศพได้เหมือนกัน นับประสากระไรกับนางที่เป็น ศัลยแพทย์ธรรมดา
“คุณหนูเฟิ่งเต็มใจที่จะช่วย เพียงเท่านี้ข้าก็ซึ้งใจอย่างมากแล้ว” สมกับที่เป็นนักธุรกิจ คำพูดของหยุนไห่ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจอย่างมาก
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ หวังชีและเซี่ยซานรู้ว่าแม้เฟิ่งชิงเฉินจะหาสาเหตุใดๆไม่พบเลย ตระกูลหยุนก็จะไม่หาเรื่องนาง และหากหาสาเหตุพบ ตระกูลหยุนก็จะปกป้องเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ห้ามอีกต่อไป
นอกจากนี้ พวกเขาเองก็สงสัยมากเช่นกันว่าสิ่งใดคือกายวิภาคศาสตร์
“ทุกคนออกไปเถอะ ห้องนี้เล็กเกินไปและมืดเกินไป หากใต้เท้าเว่ยสะดวก ก็ยกศพออกมาข้างนอกหนึ่งศพ เราไปข้างนอกกันเถิด”
ในเวลานี้ถึงแม้แดดจะแรงมาก แต่ก็ยังมีจุดร่มเงาอยู่หน้าห้องเก็บศพ การไปยืนชันสูตรศพตรงนั้นสะดวกกว่าที่นี่ เพราะนางไม่อยากจะทำงานท่ามกลางศพจำนวนมากจริงๆ เพราะนางไม่ใช่แพทย์นิติเวชที่จะคุ้นชินกับศพเพราะได้เจออยู่ทุกวัน
“คุณหนูเฟิ่ง ใต้เท้าเว่ยมิต้องทำกระไร หยุนไห่จะสั่งให้คนเตรียมให้เรียบร้อยทันที”
“ตี๋ซื่อจื่อ การรักษาความปลอดภัยในพระราชวังนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปเสียที” หวังชีพูดกับตี๋ตงหมิงที่อยู่ข้างๆ ขณะเดินออกไป
คิดจะไล่เขาออกไปหรือ? ไม่มีทาง “มิต้องรีบร้อน หลังจากเกิดการลอบสังหารองค์รัชทายาทแคว้นซีหลิงแล้ว การคุ้มกันเมืองจักรพรรดิก็เข้มงวดขึ้น แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่นั่นสักพักก็ไม่มีปัญหาใดหรอก แต่คุณชายเจ็ดนี่สิ นักปราชญ์ที่อ่อนแอ อย่าเป็นลมเพราะเห็นเลือดล่ะ”
“ตลกเสียจริง ข้าหวังจิ่นหานจะเป็นลมเพราะเห็นเลือดงั้นหรือ? ตี๋ซื่อจื่อนี่สิ อย่าตกใจจนหมดสติเอาล่ะ ข้าได้ยินจากซุนซือสิงว่า กระบวนการชันสูตรศพของชิงเฉินนั้นน่ากลัวยิ่งนัก” แน่นอนว่าหวังชีไม่รู้เรื่องรายละเอียด เพียงแต่เขาไปที่จวนเฟิ่งบ่อยครั้ง จึงสนิทกับซุนซื่อสิง
เมื่อซูเหวินชิงได้ยินเช่นนี้ จึงนึกขึ้นมาได้ว่าน้องชายของตนยังเด็กอยู่ “เหวินหางเจ้ากลัวหรือไม่? เรากลับกันก่อนดีหรือไม่?”
“พี่ใหญ่ เหวินชิงไม่กลัว เหวินชิงอยากเห็น พี่เฟิ่งรับปากแล้ว” ซูเหวินหางยืดอก เจ้าเด็กนี่ก็แปลก ยืนอยู่ห้องเก็บศพแต่ก็ยังพูดคุยยิ้มแย้มเป็นปกติ หากว่ารุ่นพี่ของเฟิ่งชิงเฉินที่เรียนนิติเวชอยู่ที่นี่ นางคงชมแล้วว่า “นี่เป็นนักเรียนด้านนิติเวชชั้นดี!”
ทุกอย่างพร้อมแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สวมชุดหมอสมัยใหม่ แต่นางสวมเสื้อกาวน์สีขาวที่ให้สะใภ้เถี่ยเย็บให้ หน้าตาคล้ายกับชุดของหมอ เพียงแต่ว่าใช้ผ้าฝ้ายที่ยุคนี้มี ทั้งหน้ากากอนามัยและหมวกสะใภ้เถี่ยก็เป็นคนเย็บ แม้ว่าจะแปลกแต่ไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัย สิ่งเดียวที่พิเศษคือถุงมือที่มือของนาง และมีดผ่าตัดในกล่องผ่าตัด
เอ๊ะ… เมื่อออกไป ซุนเจิ้งเต้าเตือนนางให้เตรียมมีดในการผ่าตัดให้พร้อม นางรู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเป็นแน่
“เฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะน่าเชื่อถือนะ” ตี๋ตงหมิงสนใจอย่างมาก เขาสงสัยเช่นกันว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีความสามารถมากเพียงใดเชียว
ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เขามักจะพบจุดประกายในตัวผู้หญิงคนนี้
แต่ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ไม่ทราบว่าการชันสูตรศพในที่สาธารณะของเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ จะทำให้นางได้รับตำแหน่งพิเศษในวงการหมอของแผ่นดินนี้ และกลายเป็น “นวัตกรรมใหม่” ของวงการหมอ