นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 265 แนวหน้า ข้าเป็นหมอจะหนีมิได้
อุปกรณ์นี้แม้จะไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ก็สามารถฆ่าคนให้ตายได้ ระเบิดหนึ่งลูกทำให้ผู้คุ้มกันรอบกายหวังจิ่นหลิงได้รับบาดเจ็บ หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว คาดว่าหวังจิ่นหลิงก็คงจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
ในจิ่วโจวนี้ไม่เคยมีระเบิดเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นประกอบกับพลังโจมตีอันรุนแรง ทำให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนชาวบ้านหรือขุนนาง ณ ที่นั้นพากันตื่นตระหนก แต่ละคนวิ่งหนีอย่างสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าไปทางใดจึงจะปลอดภัย เจ้าผลักข้า ข้าผลักเจ้า กลิ้งกันไปจนเป็นกลม
“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่! อย่าเป็นอะไรไปนะ!” ผู้คนที่เดินทางออกมาส่งหวังจิ่นหลิงที่นอกเมืองมองเห็นสถานการณ์ภายในประตูเมืองโกลาหลดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งตรงเข้ามา จึงทำให้ที่ประตูเมืองวุ่นวายเข้าไปใหญ่
“อย่าเข้ามา!” หวังจิ่นหลิงตะโกนด้วยน้ำเสียงอันดัง แต่น้ำเสียงของเขานั้นถูกกลบไปด้วยเสียงระเบิด
ทุกคนผลักกันไปมาด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าวินาทีถัดไประเบิดนั้นจะระเบิดอยู่ที่ร่างของพวกเขาจนกระเด็นลอยบนท้องฟ้า ประตูเมืองโกลาหลขึ้น บัดนี้ ทหารคุ้มกันก็ไร้ประโยชน์เนื่องจากไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเสียงระเบิดนั้นจะระเบิดขึ้นอีกหรือไม่ หรือจะระเบิดขึ้นที่ตรงไหน
วินาทีนี้ทุกคนล้วนต้องการรักษาชีวิตตนเอง และคิดเพียงช่วยชีวิตตัวเองให้รอดรวมไปถึงเฟิ่งชิงเฉินด้วย นางมีความเมตตากรุณาเนื่องจากเป็นหมอ แต่นางก็มีความเห็นแก่ตัวดุจเช่นคนทั่วไป
วินาทีนี้ นางเพียงต้องการจะคุ้มกันตนเองและหวังจิ่นหลิง ท่าทางที่กระโดดลงมาจากหน้าต่างแม้จะดูรุนแรงไปหน่อย แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ตัดสินใจแล้วว่านางจะลงปลายเท้าไปที่ใด
หลังจากล้มลงมาทับหวังจิ่นหลิงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสองคนแทรกเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงคน เนื่องจากมีผู้คนมากมายรองไว้เป็นเช่นเบาะจึงทำให้ทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บ เฟิ่งชิงเฉินแทรกศีรษะของตนเข้าไปในอ้อมแขนของหวังจิ่นหลิง ส่วนมือนั้นยื่นออกมาปกป้องศีรษะของหวังจิ่นหลิงเอาไว้
“จิ่นหลิง ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจะเรียบร้อย!”
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ดังเท่าไรนัก แต่หวังจิ่นหลิงกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ข้าไม่เป็นกังวลหรอก เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ท่ามกลางความตื่นตระหนกเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกตามไปด้วย เขาเพียงรู้สึกตกใจเล็กน้อยตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกระโดดลงมาแต่ก็เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น
“พวกเรา……” ประโยคหลังจากนั้นเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันได้กล่าวออกมาก็มีสิ่งของสีดำบางอย่างลอยตรงเข้ามา
ตูม…… เสียงระเบิดดังขึ้นข้างกายทั้งสองคน
“ทุกคนระวังแล้วหมอบลง!” บรรดาผู้คนที่อยู่ที่นั่น ผู้ที่อ่อนไหวต่อระเบิดมากที่สุดก็คือเฟิ่งชิงเฉิน วินาทีที่ระเบิดพุ่งตรงเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็รีบกอดหวังจิ่นหลิงแล้วกลิ้งออกไป ขณะเดียวกันก็ตะโกนบอกคนรอบข้าง
อานุภาพทำลายล้างของระเบิดค่อนข้างกว้างขวาง โอกาสที่จะถูกรัศมีของระเบิดทำลายหากยืนอยู่ตรงนั้นค่อนข้างมาก ทุกคนในที่นั้นไม่มีใครเชื่อเฟิ่งชิงเฉิน มีแต่หลานจิ่วชิง
เดิมทีเขาพุ่งไปทางเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเฟิ่งชิงเฉินเขาก็รีบหมอบลงอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงอนุภาคของกระสุนระเบิดได้ ส่วนคนรอบข้างของเขาไม่ดีเท่าไรนัก ถูกแรงของระเบิดโจมตีเลือดไหลไปทั่ว หากแขนไม่ขาดใบหน้าก็เต็มไปด้วยเลือด
“นี่คืออะไรกัน น่าทึ่งยิ่งนัก?” หลานจิ่วชิงแววตาเป็นประกายด้วยความสงสัย
เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาที่มีวิทยายุทธสูงส่งเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ สิ่งนี้ไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์จะต่อต้านได้ หากว่าเขามีอาวุธเช่นนี้อยู่ในมือยังจำเป็นต้องทำสงครามอีกหรือ
ต้องบอกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธนี้ หลานจิ่วชิงรู้สึกตื่นเต้นใจสั่น!
“จิ่นหลิง อย่าลุกขึ้น รีบหมอบลงไป” ท่าทางของทั้งสองมองไปอาจจะดูอึดอัดเล็กน้อย หวังจิ่นหลิงนอนอยู่บนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน และน้ำหนักตัวทั้งหมดของเขาทิ้งไปที่ร่างของเฟิ่งชิงเฉิน
“ชิงเฉิน บาดแผลของเจ้า……” หวังจิ่นหลิงเกรงว่าจะไปทำให้เฟิ่งชิงเฉินบาดเจ็บขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันตอบ
เดิมทีมันไม่เป็นไรแล้ว แต่เมื่อถูกระเบิดเมื่อครู่แม้จะเป็นรัศมีจางๆ แต่คาดว่าคงจะผิดปกติแน่นอน แม้ว่าทั้งนางและหวังจิ่นหลิงจะหลบเลี่ยงระเบิดได้ แต่พลังอานุภาพที่ตามมาก็เป็นอันตรายมากเช่นกัน ร่างกายนั้นถูกโจมตีไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังดีกว่าจะต้องแขนขาดขาขาดและสูญเสียชีวิตไป
แสงประกายลุกโชนไปทุกหนแห่ง กลิ่นของดินปืนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถนนซึ่งเมื่อครู่ดูครึกครื้น บัดนี้กลับกลายเป็นนรกไปทันที ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้และโหยหวน
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินดังนั้น นางมองไปด้านข้างรู้สึกว่าตนได้ย้อนกลับไปที่สนามรบในช่วงที่สงครามกำลังดุเดือด ยุคที่ตนเดินถือกล่องยาผ่านท่ามกลางกระสุนดุจดั่งลูกเห็บและสายฝน
“หรือจะมีคนเช่นเดียวกับเราที่เดินทางข้ามเวลามา เเละคนคนนั้นสร้างระเบิดขึ้น? เขาไม่รู้หรือไงว่าการที่ผลิตสิ่งของเช่นนี้ออกมามีแต่จะทำให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน มีแต่จะทำให้โลกเกิดความโกลาหล ในยุคของอาวุธเย็น ดินปืนยังคงมีอยู่ สิ่งนี้จะละเมิดกฎและส่งผลเสียตามมา” เมื่อชาติก่อนสถานที่ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินชอบอยู่มากที่สุดก็คือสนามรบ สถานที่ที่เธอรังเกียจมากที่สุดก็คือสนามรบอีกเช่นกัน เพราะในสนามรบนี้ชีวิตช่างเปราะบางเหลือเกิน
ในวันนี้นางได้กลับมาเห็นภาพนั้นอีกครั้ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าระเบิด ชีวิตช่างเปราะบางเหลือเกิน เดิมทีทุกคนดูสนุกสนาน แต่วินาทีต่อมากลับมีคนต้องสูญเสียกระทั่งชีวิต พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วย แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้น คนที่โชคร้ายก็จะเป็นชาวบ้านเหล่านี้
น้ำตาของเฟิ่งชิงเฉินนองหน้า
“ชิงเฉิน เจ้าว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เบามาก อีกทั้งหวังจิ่นหลิงอยู่ไกล จะไม่ได้ยินได้อย่างไร เมื่อตอนที่หวังจิ่นหลิงเผชิญหน้ากับระเบิดยังไม่รู้สึกเกรงกลัว แต่วินาทีนี้เขาตื่นตระหนกมากจริงๆ
ข้ามเวลามา มีระเบิด ยุคอาวุธเย็น สิ่งเหล่านี้เหตุใดเขาจึงไม่เข้าใจเลย?
จู่ๆ หวังจิ่นหลิงก็พบว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่ห่างไกลจากเขา เขาตื่นตระหนกแล้วกอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้แน่น “ชิงเฉิน อย่าทำให้ข้าต้องตกใจ!”
หลานจิ่วชิงที่ก้าวมาด้านหน้าหยุดลง มองไปยังเฟิ่งชิงเฉินที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ตรงมุมอย่างไม่น่าเชื่อ
ระเบิด? เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ามันคืออะไร ข้ามเวลามา? นางคือใครกันแน่ นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพเฟิ่งจริงหรือ? ดูไม่เหมือนเลย……
สำหรับเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินรู้จักดินปืน หลานจิ่วชิงพอจะเข้าใจได้ เนื่องจากอาวุธลับที่เฟิ่งชิงเฉินใช้เป็นสิ่งพิเศษเช่นกัน บางทีทั้งสองอย่างนี้อาจจะคล้ายคลึงกัน
แต่คำว่าข้ามเวลาทำให้หลานจิ่วชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จนเขาลืมคิดไปเลยว่าการที่เฟิ่งชิงเฉินรู้จักเจ้าสิ่งนี้นั่นหมายความว่านางทำมันเป็นด้วยใช่หรือไม่?
เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงแล้วเงยหน้าขึ้นดูดวงตาของหวังจิ่นหลิงที่รู้สึกสงสัย สายตาของทั้งคู่ประสานกัน เฟิ่งชิงเฉินพบความกังวลใจความไม่สบายใจและความสงสัยจากแววตาของหวังจิ่นหลิง จึงได้รู้ว่านางพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว
หวังจิ่นหลิงตื่นตระหนก แต่นางตื่นตระหนกกว่า แต่กลับพบว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดนางก็ตัดสินใจกล่าวถึงเรื่องของระเบิด ทันใดนั้นเองตี๋ตงหมิงและซุนซือสิงที่ลงมาตามหาพวกเขา เมื่อพบเข้ากับทั้งสองก็รีบตรงเข้ามา
“ชิงเฉิน จิ่นหลิง พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ข้าตกใจแทบแย่!”
ตี๋ตงหมิงและซุนซือสิงรีบวิ่งเข้าไป ทันใดนั้นเองก็มีลูกกระสุนสีดำหลายลูกลอยมา
“รีบหมอบเร็ว!”
ตูม!
ตูม!
ระเบิดถูกโยนเข้าไปท่ามกลางฝูงชน เฟิ่งชิงเฉินหวังจิ่นหลิง หลานจิ่วชิงหลบอยู่ที่มุมจึงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก เมื่อหลานจิ่วชิงพบว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องให้ตนไปช่วย ไม่เพียงเท่านั้นนางยังมีความสามารถเพียงพอในการช่วยเหลือหวังจิ่นหลิง หลานจิ่วชิงจึงไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างเงียบๆ
หลังจากคลื่นระเบิดหยุดลง ตี๋ตงหมิงและซุนซือสิงก็ล้มลุกคลุกคลานเข้าไปรวมตัวกับเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิง
“นี่มันอะไรกัน ทำให้ข้าตกใจกลัวแทบแย่ จิ่นหลิง ชิงเฉิน พวกเราไปกันเถิด ที่นี่ไม่ปลอดภัย!” ตี๋ตงหมิงรีบดึงทั้งสองให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
“ไม่ได้ ตี๋ตงหมิง ข้าไปไม่ได้! ที่นี่มีผู้คนได้รับบาดเจ็บมากเหลือเกิน ข้าเป็นหมอ ข้าควรจะอยู่ที่นี่!” เฟิ่งชิงเฉินวิ่งออกไปก้าวหนึ่งแล้วสะบัดมือของตี๋ตงหมิงกล่าวด้วยใบหน้าอันแน่วแน่
เมื่อสงครามรุนแรงขึ้น นางสามารถปกป้องตนเองอย่างเห็นแก่ตัวได้ นั่นเพราะนางไม่มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่น
แต่หากนางรอดชีวิตมาได้นางก็ไม่ลืมที่จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน นางเป็นหมอทหาร หลังจากที่รักษาชีวิตของตนเองได้แล้วนางก็จะต้องพยายามรักษาผู้อื่น ทั้งพลเรือนและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
นี่คือหน้าที่ของนาง!
ในฐานะหมอ นางสามารถช่วยผู้คนให้รอดชีวิตได้มากมาย แต่การวิ่งหนีไปอย่างโง่เขลานางอาจช่วยชีวิตคนได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น……