นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 284 ขอความช่วยเหลือ เส้นสายของเฟิ่งชิงเฉิน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินทำอาหารเช้าเสร็จ ตงหลิงจื่อลั่วก็มา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้นอนทั้งคืน
“เฟิ่ง ชิงเฉิน ข้าจะส่งคุณออกจากพระราชวัง” สีหน้าของเขาดูเฉยเมย มีกลิ่นอายของความรังเกียจ
เฟิ่งชิงเฉินกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้เขายังช่วยพูดดีเรื่องตนต่อหน้าฝ่าบาท เหตุใดตอนนี้จึงเย็นชาเช่นนี้ แต่ว่าตงหลิงจื่อลั่วแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้ใส่ใจ หลังจากคำนับแล้ว นางก็เดินไปทางข้างนอกตามตงหลิงจื่อลั่ว
รถม้าเตรียมเอาไว้แต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะภายในหรือนอก ล้วนดูดีมีราคาอย่างมาก บนรถม้าสลักคำว่า “ลั่ว” เอาไว้ นี่คงเป็นรถม้าสำหรับลั่วอ๋องโดยเฉพาะ
ทันทีที่เดินเข้าไปที่ด้านข้างของรถม้า ขันทีผู้แข็งแกร่งก็เดินเข้ามาและคุกเข่าข้างรถม้า รอให้ตงหลิง จื่อลั่วและเฟิ่งชิงเฉินเหยียบหลังของเขาเพื่อขึ้นรถม้าไป
ท่าทีของตงหลิงจื่อลั่วไม่แยแสดูเย็นชาอย่างมาก เขาไม่ได้สนใจเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ข้างหลังตนเลย เขาเดินตรงไปที่รถม้าและเหยียบบนหลังคนจากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป เฟิ่งชิงเฉินเหยียบหลังขันทีและขึ้นรถไปโดยไม่ลังเล แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก นางจึงเร่งก้าวขึ้นไปไวกว่าเดิมหลายเท่า
“รีบเช่นนี้เชียวหรือ?” หลังจากที่ตงหลิงจื่อลั่วได้รับคำสั่งสอนจากจักรพรรดิแล้ว เขาก็นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือเป็นเวลานาน ตงหลิงจื่อลั่วครุ่นคิดอยู่หลายๆ เรื่อง ในที่สุดเขาเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ต่างเกิดขึ้นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน
หากไม่มีเฟิ่งชิงเฉิน ถ้าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีสัญญาหมั้นกับเขา เหยาหวาก็คงไม่ทำเรื่องเช่นนั้นออกมา เสด็จพ่อก็คงไม่เกลียดชังเหยาหวา
เฟิ่ง ชิงเฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของตงหลิงจื่อลั่ว นางจึงพบเหตุผลที่เอาตัวรอดได้ว่า “ทูลท่านอ๋อง ชิงเฉินเร่งกลับไปเช็คอาการของซุนฮูหยิน หากว่าไม่มีเหตุอันใด วันนี้ซุนฮูหยินสามารถหลับจวนได้แล้ว”
“ฮึ……”
ตงหลิงจื่อลั่วเมินเฉยต่อเฟิ่งชิงเฉิน และมองออกไปนอกหน้าต่าง…
ตงหลิงจื่อลั่วไม่ได้พูดกระไร และเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีทางที่จะเอ่ยปากพูดคุยเอง อยู่ในบรรยากาศที่เงียบเช่นกัน แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินอยู่กับหวังจิ่นหลิง นางรู้สึกสบายใจ แต่เมื่ออยู่กับตงหลิงจื่อลั่ว นางกลับรู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก
บรรยากาศในรถม้านั้นแปลกมาก ยกเว้นเสียงลมหายใจเบาๆ แล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดเลย ตงหลิงจื่อลั่วจะส่งสายตาที่แปลกประหลาดมาบ้างครั้งคราว แต่แววตานั้นทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกขนลุก และรู้สึกว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่า ถนนจากพระราชวังไปยังจวนเฟิ่งนั้นไกลอย่างมาก นางนั่งอยู่ด้วยความกังวลใจอย่างมาก เมื่อรถม้าไปถึงจวนเฟิ่งยังไม่ทันหยุดรถสนิท เฟิ่งชิงเฉินก็เร่งลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว . . .
นี่คือความรีบที่แท้จริง!
ตงหลิงจื่อลั่วไม่ได้ห้ามนาง แต่ก่อนจะจากไป เขาได้ทิ้งประโยคไว้ว่า “เฟิ่งชิงเฉินเจ้าชนะแล้ว ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายาลอง”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาให้สารถีขับรถม้ากลับไปที่จวนลั่วอ๋อง และทิ้งเฟิ่งชิงเฉินอยู่คนเดียวและไตร่ตรองกับคำพูดนี้
“หมายความว่าอย่างไร? ให้ข้าเป็นพระชายารองรึ? ก่อนหน้านี้ข้าปฏิเสธไปแล้วมิใช่หรือ? ไม่สิ ก่อนหน้านี้ตงหลิงจื่อลั่วไม่รู้สึกฝืนใจเลยเมื่อแจ้งว่าจะแต่งตั้งข้าเป็นพระชายารอง แต่ครั้งนี้เขาดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก หรือว่า….”
“งานแต่งงานระหว่างเขากับองค์หญิงเหยาหวามีปัญหาหรือ? หรือว่าจักรพรรดิต้องการให้เขาแต่งงานกับข้าและให้ข้าเป็นพระชายารอง? อย่างแรกที่กล่าวมายังพอเป็นไปได้ แต่อย่างที่สองคงเป็นไปไม่ได้กระมั้ง?”
นางเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่ชื่อเสียงอื้อฉาวดังไปทั่วหล้า และเรื่องราวที่นางสูญเสียความบริสุทธิ์ก็รู้กันทั้งแคว้น จักรพรรดิจะให้ตงหลิงจื่อลั่วแต่งตั้งนางเป็นพระชายารองได้อย่างไร
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้?” รถม้าของเซี่ยซานจอดอยู่อีกฝั่งและตะโกนเรียกเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาไม่เห็นนางตอบรับ จึงเดินเข้ามาและได้ยินที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าว จากนั้นเขาก็ตบไหล่นาง
“อ๊า…” เฟิ่งชิงเฉินตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนมานางก็โล่งใจ จากนั้นนางก็กล่าวพร้อมตบอกตัวเองเบาๆ “เจ้าทำข้าตกใจอย่างมาก เซี่ยซานเจ้าเรียกก่อนไม่เป็นหรือไง หากข้าตกใจตายจะทำอย่างไร?”
“ข้าเรียกเจ้าหลายทีแล้ว แต่เจ้าไม่ตอบรับข้า” เซี่ยซานดูเศร้าใจ
“โอ้ เป็นความผิดของข้าเอง ข้ากำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินสงบลงนางอมยิ้ม และปกปิดความจริงที่ตนเหม่อลอยเมื่อสักครู่นี้
แม้ว่าเซี่ยซานจะอยากรู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินยืนเหม่ออยู่กลางถนน แต่เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินดูไม่อยากจะบอก เขาจึงไม่ได้ถาม
“มี ข้ามาเป็นตัวแทนของตระกูลเซี่ยเพื่อขอบใจเจ้า”
“ขอบใจข้า? ฮูหยินรองตั้งครรภ์หรือ? เป็นไปไม่ได้” เฟิ่งชิงเฉินเชิญเซี่ยซานเจ้าจวนก่อนแล้วจึงคุยเรื่องนี้ แม้ว่าตอนนี้จะเช้ามาก แต่ก็ยังมีคนเดินไปมา หากทั้งสองยืนอยู่กลางถนน มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“ไม่ใช่เรื่องของป้ารอง” เซี่ยซานเรียกคนใช้ของจวนให้เอาของเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้ห้ามเอาไว้ หากว่านางไม่ยอมรับของขวัญที่ตระกูลเซี่ยนำมาส่งให้ เช่นนั้นเท่ากับว่านางได้สร้างปัญหากับตระกูลเซี่ยอย่างเปิดเผย
หลังจากฝ่าฟันในเมืองจักรพรรดิมานานกว่าครึ่งปี นางไม่มีความใจร้อนในตอนแรกแล้ว ไม่ว่าจะเกลียดชังตระกูลเซี่ยมากเพียงใด แต่นางก็จะไม่ทำให้เรื่องน่าเกลียดเสียจนเกินไป การสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งให้กับตนนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างมาก
“คุณหนู”
“คุณชายเซี่ย”
ทหารของจวนเฟิ่งทั้งหมดตี๋ตงหมิงเป็นคนมอบให้ และคนใช้ครึ่งหนึ่งซูเหวินชิงเป็นคนมอบให้ ทุกคนอย่างผ่านมาฝึกฝนที่มีคุณภาพมาแล้ว พวกเขาดูแลจวนเฟิ่งได้ดีและเป็นระเบียบอย่างมาก
“ในที่สุดจวนของเจ้าก็ดีขึ้นอย่างมาก” เซี่ยซานจำได้ว่าเมื่อเขามาที่จวนเฟิ่งครั้งแรก จวนเฟิ่งไม่มีแม้แต่คนยกน้ำมาให้แขก มีกลิ่นอายของความสิ้นหวังและความเสื่อมโทรมอยู่ทุกหนทุกแห่งในจวน เขาไม่คาดคิดว่าเวลาหนึ่งปี จวนเฟิ่งจะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้
อย่างที่เขาว่าก็จริงรังแกชายชรายังดีกว่ารังแกชายหนุ่มที่ยากจน
“เป็นแค่ผิวหน้าเท่านั้นแหละ ข้าเคยชินกับความจนแล้ว” ครอบครัวของขุนนางที่แท้จริงนั้น เรื่องระเบียบมารยาทเคร่งขรึมอย่างมาก มิใช่เรื่องที่สามารถสร้างออกมาได้ภายในเวลาอันสั้น ในสายตาของคนพวกนั้น จวนเฟิ่งเป็นแค่จวนธรรมดา
และนางไม่มีโชคชะตาของเหล่าผู้สูงส่ง และเหตุใดจึงต้องเอามาตรฐานของเหล่าตระกูลผู้ดีมาวัดกับตัวด้วย
“เจ้าเคยจนมาตอนไหน เจ้าแค่ไม่รู้จักพักผ่อนและเพลิดเพลินกับชีวิต” กลิ่นอายของตระกูลผู้ดีมิใช่แค่สวมใส่เสื้อผ้าสวยหรูหรือตำแหน่งก็จะสามารถเป็นผู้ดีได้ แต่กลิ่นอายของผู้ดีนั้นจะอยู่ที่บุคลิกและรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆ
เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่ขัดแย้งกันมาก ถ้าจะพูดในแง่ร้าย จวนเฟิ่งนั้นมิได้ดูหรูหราเลย โดยปกติลูกหลานของตระกูลเช่นนี้ไม่หยาบคายก็ถือว่าดีเยี่ยมมากแล้ว อย่าว่าแต่จะฝึกฝนลูกสาวที่ดูผู้ดีเลย
แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับมีบุคลิกที่สูงส่งเป็นผู้ดี แต่น่าเสียดายที่ปกติแล้วเฟิ่งชิงเฉินนั้นทำงานเคลื่อนไหวค่อนข้างช้าและหยาบคาย มิได้แสดงกลิ่นอายความสูงส่งนั้นออกมา
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงตามลำดับแล้ว สาวใช้ก็นำชามาให้และถอยออกไปเงียบๆ ” ยากนักที่จะดื่มชาดีๆ แบบนี้ในจวนเจ้า” ด้วยสถานะของเซี่ยซาน เขาดื่มชาดีมานับไม่ถ้วนแล้ว แต่เขากล่าวเช่นนี้แค่เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองเท่านั้น
“ลูกศิษย์ของข้านำมามอบให้ข้าเอง” เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนไม่เก่งเรื่องเพลิดเพลินกับชีวิตจริงๆ ทั้ง อาหารการกินเสื้อผ้าสวมใส่ที่อยู่อาศัย นางมิเคยต้องการความประณีต นางขอเพียงสบายก็พอ
“ที่แท้แล้วของดีในจวนเจ้าเป็นของขวัญจากคนอื่นๆ ดีที่ข้านั้นได้ก็นำของดีมากอยู่มาก หากมีเวลาเจ้าก็ลองไปเปิดดู”
ของขวัญจากตระกูลเซี่ยนั้นหนักอัดแน่นอย่างแน่นอน เซี่ยซานเอ่ยถึงอีกครั้ง แสดงว่าเขามีความต้องการบางอย่าง เฟิ่งชิงเฉินหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและจิบ ” เจ้ามาที่นี่เพื่อเรื่องของเซี่ยกุ้ยเฟยหรือ?”
“ใช่” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาโดยตรง หากเซี่ยซานอ้อมค้อมอีก มันจะดูเป็นการเสแสร้ง
“ข้าช่วยเรื่องเซี่ยกุ้ยเฟยมิได้” นี่คือความจริง เซี่ยกุ้ยเฟยไม่ป่วย นางจะทำอะไรได้