นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 29 ดูถูก
หลังจากกล่าวคำนี้ออกไป เซี่ยซานก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนกล่าวสิ่งใดออกไป
เขาคิดว่าตนเองเป็นสุภาพบุรุษ และมิควรกล่าววาจาดูถูกสตรีง่ายๆ แต่เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้มีความสามารถที่จะทำลายคุณธรรมของเขาได้ง่ายจริงเชียว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล่าววาจามิดีต่อสตรี เซี่ยซานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาเหลือบมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างเงียบๆ และรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
แต่เขาที่หยิ่งทะนงจะยอมรับว่าตนผิดได้อย่างไร อีกอย่างเขาก็ไม่คิดว่าตนผิด เพียงแค่กล่าวในสิ่งที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
นอกจากนี้ หวังชีศัตรูตัวฉกาจของเขานั่งอยู่ที่นั่น ต่อให้ตายเขาก็มิยอมแพ้หรอก
ราวกับจะพิสูจน์ถึงความชอบธรรมของเขา เสียงของเซี่ยซานก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า “เฟิ่งชิงเฉิน บัดนี้ข้าให้โอกาสเจ้าในการชดใช้ความผิดของเจ้าแล้ว ใต้เท้าเว่ยกล่าวว่าเจ้ามีวิธีที่จะจัดการคดีของตระกูลหวังและตระกูลเซี่ย เพียงแค่ตอนนี้เจ้าไปกับข้า แล้วจัดการเรื่องนี้ให้ดี ข้าเองก็จะให้อภัยเจ้าและไม่ถือสาเจ้า”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มให้เซี่ยซาน “ใต้เท้าเว่ย? เขาบอกว่าข้ามีวิธีแก้ปัญหา ดังนั้นข้าจึงต้องแก้ไขปัญหาได้หรือ? ข้ามิได้คุ้นเคยกับเขาสักหน่อย”
นางมิได้ตั้งใจจะโมโห นางปฏิเสธเพียงเพราะเขามิต้องการเข้าไปพัวพันกับตระกูลหวังและตระกูลเซี่ย
เว่ยเสวียเหลียง ใต้เท้าเว่ยใช่หรือไม่?
ข้าเฟิ่งชิงเฉินจำเจ้าเอาไว้แล้ว
ข้าจะบอกเจ้าเองว่าการทำให้หมอขุ่นเคืองนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหมอหญิง
เจ้าควรอธิษฐานดีๆ ขออย่าให้ต้องมาตกอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน มิฉะนั้น ข้าจะจัดการเจ้าแน่
และบุตรชายของตระกูลทั้งสองนี่อีก ทางที่ดีควรจะภาวนาอย่าให้มายุ่งเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉินเลย
เฟิ่งชิงเฉินก้มศีรษะลงเล็กน้อย ซ่อนแสงเย็นวาบในดวงตาของตน
หมอเป็นอาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์ หมอที่ดีมิเพียงช่วยชีวิตเจ้าได้ แต่ยังรวมถึงสามารถกำหนดชะตากรรมของตระกูลหรือประเทศได้อีกด้วย
ส่วนนางก็มีความมั่นใจในทักษะทางการรักษาของตน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ามิไว้หน้าแม่แต่กับข้าหวังเซี่ย คุณชายตระกูลหวังงั้นหรือ?” หวังชีขมวดคิ้วด้วยความมิพอใจ
เขาและเซี่ยซานเดินทางมาเชิญนางพร้อมกัน แต่นางกล้าที่จะปฏิเสธเขา ในโลกนี้นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วยังมิมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้มาก่อน
อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเลย แม้แต่องค์รัชทายาทเอง เนื่องจากตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยค่อนข้างแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้จึงมิกล้าที่จะกล่าวว่า “ไม่” กับพวกเขาอย่างง่ายดาย
“มิใช่หรอก คุณชายเจ็ดเข้าใจผิดไปแล้ว ชิงเฉินจะกล้าหักหน้าของคุณชายหวังและคุณชายเซี่ยได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะชิงเฉินมิมีความสามารถพอต่างหาก”เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและสารภาพผิด
สมัยนี้มีคุณชายที่ทำตัวกร่างมากมายเหลือเกิน นี่คือการขอให้นางช่วยหรือ? เห็นได้ชัดว่าบังคับนางอยู่
“มิมีความสามารถงั้นหรือ? เจ้ามิแม้แต่จะชายตาดูด้วยซ้ำ รู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามิมีความสามารถนั้น เฟิ่งชิงเฉิน อย่าให้ข้าได้กล่าวเป็นครั้งที่สาม จงไปกับพวกเรา มิเช่นนั้นข้าจะส่งคนไปจับเจ้า” หวังชียืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฟิ่งชิงเฉินมิสามารถปฏิเสธได้
แน่นอนเซี่ยซานก็มิได้นั่งเฉย พวกเขาสองคนเดินทางมาด้วยตนเองในวันนี้ หากเฟิ่งชิงเฉินมิไป พวกเขาก็จะเสียหน้าเป็นแน่
ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยเพิ่งมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับนายหญิงที่ฆ่าบุตรชายคนโตของอนุภรรยาไป หากมีเรื่องอื้อฉาวว่าถูกเฟิ่งชิงเฉินเมินเฉยแพร่ออกไปอีก พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
ในวันนี้ ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ต้องไป แม้นมิเต็มใจก็ต้องไป
เฮ้อ……
เฟิ่งชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึก นางรู้ว่านางมิมีทางเลือกใด นางจึงกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “คุณชายทั้งสองโปรดเมตตา ชิงเฉินกลับมองมิเห็นมันได้อย่างไร เชิญคุณชายทั้งสองนำทางเถิด”
เมื่อเห็นว่าเปิดศาลขึ้นในจวนเซี่ย มองดูแล้วตระกูลเซี่ยนั้นแข็งแกร่งน่าดู
เอาเถอะ หากมิอาจขัดขืนได้ ก็อย่าได้ขัดขืนเสียดีกว่า
“ควรทำเช่นนี้ตั้งนานแล้ว” เซี่ยซานเดินผ่านเฟิ่งชิงเฉินและตำหนิออกมาด้วยเสียงต่ำทุ้ม “มิใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
เมื่อกล่าวเสร็จเขาก็เดินออกไป
ด้านนอกจวนเฟิ่ง รถม้าของเซี่ยซานและหวังชีกำลังรออยู่ ทั้งสองเดินออกมาขึ้นนั่งไปบนรถ จากนั้นโบกมือให้สารถีขับออกไป โดยมิมีเจตนาที่จะเชิญเฟิ่งชิงเฉิน
รถม้าวิ่งตรงไปข้างหน้า “กุบกับๆ” โดยปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินยืนข้างหลังคนเดียว
“คุณหนูเฟิ่ง?” เจ้าหน้าที่ทั้งสองดูตะลึงอย่างทำตัวไม่ถูก
พวกเขาเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร คุณชายทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยรถม้า ส่วนคนอย่างตนไปไหนมาไหนด้วยสองขา
ถึงอย่างไรคุณหนูเฟิ่งก็เป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่ แม้จะถูกเหยียบจนจมแล้ว แต่ถึงอย่างไรการที่คุณชายเซี่ยและคุณชายหวังทำเช่นนี้ก็เกินไปเสียจริง
เฟิ่งชิงเฉินมิได้สนใจ นางโบกมือขึ้นว่า “มิเป็นไร เราเดินเรื่อยๆ”
นางอยู่ในโลกนี้มาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากครั้งสุดท้ายที่นางไปนอกเรือนขุนนางแล้ว นางมิได้ออกไปไหนมากนัก เป็นการดีที่จะได้ชมพระราชวังที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้
บนถนนที่ปูด้วยหิน บ้านเรือนที่ทำด้วยไม้เหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนคุ้นเคยดี แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับมองด้วยความเพลิดเพลิน ดวงตาของนางแสดงถึงความชื่นชมและยกย่องออกมาโดยมิรู้ตัว
เมื่อเดินไปตามถนนในเมืองเก่าที่แปลกตาแห่งนี้ ได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่ มองดูผู้คนที่สัญจรไปมา ทำให้อารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินเริ่มสงบขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิต ก็เพียงเท่านี้
เมื่อพยายามวิ่งเพื่อสู้ชีวิต ก็จะต้องอดทนต่อแรงกดดันของชีวิตที่เข้ามา แรงกดดันนี้อาจทำให้เราแทบขาดใจ แต่จะให้หลังของตนหักลงมิได้
พวกเขาทั้งสามเดินไปช้าๆ ตลอดทาง นางได้ลิ้มรสชีวิตของคนธรรมดาในสมัยโบราณ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาถึงจวนเซี่ย อารมณ์หงุดหงิดเมื่อครู่ต่อคุณชายทั้งสองก็จางหายไปสิ้น
เจ้าหน้าที่ทั้งสองก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมรายงานชื่อของพวกเขา คนเฝ้าประตูของจวนเซี่ยมองพวกเขาจากหัวจรดเท้าก่อนจะเปิดประตู
“เจ้าคือเฟิ่งชิงเฉินที่คุณชายของข้าเดินทางไปเชิญมาด้วยตนเองใช่หรือไม่? ก็งั้นๆ” เมื่อทิ้งประโยคนี้เอาไว้ ผู้เฝ้าประตูก็ได้หันหลังเดินนำทางโดยมิให้เฟิ่งชิงเฉินมีโอกาสกล่าวสิ่งใดเลย ฝีเท้าของเขาทั้งยาวและรีบเร่ง เห็นได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมิได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
“คุณหนูเฟิ่ง……” ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ทั้งสองดูมิน่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ
ขุนนางผู้เฝ้าประตูของอัครมหาเสนาบดีเป็นขุนนางระดับเจ็ด ส่วนผู้เฝ้าประตูของตระกูลเซี่ยก็มิได้แย่ไปกว่ากัน ดังนั้นต่อให้พวกเขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกดูหมิ่นแต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้เลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงขอให้เฟิ่งชิงเฉินเปิดใจกว้าง
“มิเป็นไรหรอก ทำธุระเป็นเรื่องสำคัญกว่า” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและเดินไป
หากโดนสุนัขกัด จะให้กัดตอบหรือ?
หากเจ้าต้องการให้คนอื่นเคารพเจ้า เจ้าเองก็ต้องมีความสามารถนั้นเสียก่อน
“เชิญขอรับคุณหนูเฟิ่ง เชิญทางนี้” เจ้าหน้าที่ทั้งสองถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และกล่าวในใจอย่างลับๆ ว่าการวางตัวของคุณหนูเฟิ่งนี้ดียิ่งนักคนธรรมดาทั่วไปมิอาจเป็นเช่นนี้ได้
คนเช่นนี้ ควบคู่ไปกับทักษะทางการรักษาของนาง ความสำเร็จในอนาคตคงประเมินค่ามิได้อย่างแน่นอน หากพวกเขาติดตาม คุณหนูเฟิ่งอย่างใกล้ชิดในเวลานี้ พวกเขาอาจมีโชคดีในอนาคตก็ได้
เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองหน้าและพยักหน้าให้กัน
พวกเขาเป็นเพียงตัวละครเล็กๆ แต่ตัวละครเล็กก็มีประโยชน์เช่นกัน
ระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ทั้งสองรู้สึกเคารพเฟิ่งชิงเฉินมากขึ้นเรื่อยๆ และมิได้แม้แต่คิดจะดูถูกเฟิ่งชิงเฉินเลย
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้มิอาจหนีจากสายตาของเฟิ่งชิงเฉินได้ นางยิ้มเบาๆ แต่มิได้ใส่ใจ
ข้าเฟิ่งชิงเฉิน บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ
ใครที่ให้ข้ามาหนึ่งส่วน ข้าจะตอบแทนให้สามส่วน ผู้ใดที่ทำร้ายข้ามาเศษเสี้ยว ข้าจะแก้คืนกลับไปสามส่วนเช่นกัน ผู้ใดติดหนี้ข้าไว้ ข้าจะเอาคืนให้สาสม
เมื่อนางล้มลง นางจะจดจำคนที่ดึงนางขึ้นมาเอาไว้อย่างแน่นอน คนที่ดูหมิ่นนาง นางจะมิมีวันลืมคนที่ดูถูกหรือเคารพนางเด็ดขาด
เช่นเดียวกับเสด็จอาเก้า เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่สองคนนี้
ขนาดพื้นที่ของจวนเซี่ยใหญ่เกินจินตนาการของเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อเดินผ่านห้องโถงไปถึงลานเฉลียง เลี้ยวบริเวณทางเดินอีกหลายแห่ง จากนั้นเดินผ่านลานไปเจ็ดแห่ง พวกเขายังคงไปมิถึงที่หมาย
หากมิมีคนนำทาง นางคงจะหลงทางแน่นอน
เรือนแห่งหนึ่ง ภูเขาจำลอง สระน้ำ สวนดอกไม้และศาลา มีทุกอย่างที่นั่น
หลังจากที่เดินทางมาที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เข้าใจว่าความมั่งคั่งจริงๆ คืออะไร
จวนเล็กๆ ของนางที่มีทางเข้าสามทางและทางออกสามทางนั้นยังมิใหญ่เท่ากับลานที่เล็กที่สุดในตระกูลเซี่ยเลย
อนิจจา คนเราแข่งกันไปมาอาจถึงตาย
พวกเขาเดินเพียงสิบห้านาทีจากจวนเฟิ่งมายังจวนเซี่ย แต่จากประตูใหญ่ของจวนเซี่ยไปยังภายในเรือนรอง พวกเขาใช้เวลาเดินถึงครึ่งชั่วโมง
ปัญหาก็คือ พวกเขายังเดินไปมิถึง……
ทางเช่นนี้ นับประสาอะไรกับสตรีเช่นนาง แม้แต่ชายหนุ่มยังเดินจนเหนื่อยหอบแทบตาย
คนที่อยู่ในจวนเซี่ยนี้ มิมีผู้ใดขาดทุนจริงๆ
บทที่ 28 น้ำลาย
บทที่ 30 ยุติคดี