นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 300 เหมาะสมกันยิ่ง หึงหวงไม่น้อย
เสี่ยวเอ้อไม่สนใจนางและเชิญเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับคนอื่นๆ มาที่ประตูของหอจู๋เฟิงก่อนจะกล่าวถึงกฎกติกาออกมาอย่างช้าๆ แล้วนำกลอนของหอจู๋เฟิงออกมา
“คุณหนูเฟิ่ง กลอนของเราบทแรกคือ สะพานสี่ทิศ ทิศทั้งสี่ของสะพาน ยืนอยู่ที่สะพานสี่ทิศมองไปทั้งสี่ทิศ สี่ทิศทิศทั้งสี่ทั้งสี่ทิศ”
กลอนบทนี้ชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเมื่อครู่ไม่อาจต่อมันออกมาได้ การที่เสี่ยวเอ้อทำเช่นนี้เพื่อต้องการจะบอกกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจนว่า พวกเขากระทำการการอย่างบริสุทธิ์ ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่พอใจและคับแค้นเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนใจกับกลอุบายเล็กๆ เหล่านั้น
เมื่อพบเข้ากับการท้าทายของเสี่ยวเอ้อ หญิงสาวที่นามว่าจิ้งเยวี่ยก็ทำใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ส่วนชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินนั้น นับว่าพอมีสติอยู่บ้าง เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนกำลังรอให้เฟิ่งชิงเฉินแต่งกลอนออกมา และดูเหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะต่อกลอนนี้เช่นไรดี
ด้วยดวงตาร้อนแรงแผดเผาโดยตรงเช่นนี้ ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่อยากเห็นก็คงไม่ได้
นี่มันเรื่องอะไรกัน นางมากินข้าวแท้ๆ กลับพบเจอเรื่องรำคาญใจได้ เมื่อมองไปพบว่าทั้งสองคนชายหนุ่มนั้นท่าทางกำยำ หญิงสาวท่าทางเย่อหยิ่ง มองไปไม่ธรรมดา เสื้อผ้าสวมใส่ดูหรูมีราคา บุคลิกที่แผ่ออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลูกหลานจากตระกูลธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องถามก็รู้ว่าพวกเขามีตัวตนซึ่งไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หากว่าในวันนี้นางไม่สามารถต่อกลอนนี้ได้สำเร็จก็ยังดี หากว่านางต่อกลอนนี้สำเร็จได้ สองคนนี้คาดว่าคงจะอยากเขมือบนางลงไปทั้งตัว เพราะนั่นหมายความว่านางกำลังตบหน้าพวกเขาทั้งสองอยู่หรือ
แต่ดูเหมือนว่านางมักจะตบหน้าผู้อื่นอยู่เป็นประจำนี่ ดังนั้นกลอนบทนี้นางจะต้องคิดให้ดี
เมื่อพบว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน ในใจของบ่าวรับใช้ทั้งสองก็รู้สึกร้อนรนกังวลยิ่ง หากว่าคุณหนูไม่อาจต่อกลอนได้ก็คงจะขายหน้า พวกนางอยากจะเข้าไปช่วยเหลือเกิน แต่ว่า……
กลอนบทนี้พวกนางก็ไม่อาจต่อได้เช่นกัน
“คุณหนูเจ้าคะ” สาวรับใช้กระซิบเตือนขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ หอจู๋เฟิงให้เวลาเพียงหนึ่งเล่มธูป บัดนี้ผ่านไปครึ่งเล่มธูปแล้ว หากยังไม่อาจต่อกลอนได้ก็ไม่อาจเข้าไปด้านในได้เช่นกัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพยายามรวบรวมสมาธิแล้วมองไปที่กลอนบทแรก นางเม้มปากแล้วเดินไป
กลอนบทนี้ต่อยากจริงๆ ……
“ท่านพี่ เห็นหรือไม่นางเองก็ไม่อาจต่อกลอนนี้ได้เช่นกัน ข้าบอกแล้วว่าคนของหอจู๋เฟิงตั้งใจจะทำให้พวกเราต้องอับอาย เดิมทีข้าคิดว่าสตรีที่เดินทางมารับประทานอาหารที่ห่อจู๋เฟิงล้วนเป็นผู้มีความสามารถเสียอีก ที่แท้ก็มีพวกรากหญ้าเหล่านี้เข้ามาปนอยู่ด้วย” สตรีชุดสีชมพูเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่อาจต่อกลอนได้จึงได้เยาะเย้ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
รากหญ้า? ความหมายของแม่นางผู้นี้ก็คือผู้ใดที่ไม่อาจต่อกลอนได้ก็คือพวกรากหญ้าอย่างงั้นหรือ แล้วพวกเขาทั้งสองคนเล่า? เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าแล้วแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเป็นคนจากจวนใดกันที่อบรมเลี้ยงดูบุตรหลานได้โง่เง่าเพียงนี้
“จิ้งเยวี่ย อย่าได้กล่าวไร้สาระไป” ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินตะคอกออกมา แต่ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงเข้าไปพิจารณามองดูสองพี่น้องคู่นี้ พบว่าทั้งสองคนรูปร่างสูงเพรียว ดวงตาทั้งคู่ลึกล้ำจมูกโด่ง มองดู คาดว่าไม่ใช่คนจากทางราชวงศ์ตงหลิงอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหันมายิ้มให้กับเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางขอโทษ แต่สตรีผู้เย่อหยิ่งนั้นกลับหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ทว่าเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ถือสา นางยิ้มแล้วหันกลับไป นางไม่อยากหาเรื่องและไม่อยากจะสนทนากับทั้งสองคนนี้อีก
แต่บ่าวรับใช้สองคนที่ตามหลังเฟิ่งชิงเฉินมากลับรู้สึกไม่พออกพอใจ พวกนางก้าวไปด้านหน้า ตั้งใจจะตำหนิออกมาแต่กลับถูกเฟิ่งชิงเฉินรั้งเอาไว้ “ข้าต่อกลอนได้แล้ว”
“คุณหนูเจ้าคะ ต่อกลอนได้แล้วหรือ?” บ่าวรับใช้ทั้งสองนางได้ยินดังนั้นก็ดีอกดีใจแล้วนำเรื่องจะตำหนิสองพี่น้องเมื่อครู่ สลัดทิ้งไป
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า เสี่ยวเอ้อรีบนำพู่กันและกระดาษมาให้ “เชิญคุณหนู”
“เอ่อ……” เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่พู่กันและกระดาษ นางตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน
ดูเหมือนว่าตัวอักษรของนางจะน่าเกลียดจนแทบทนไม่ไหว จดหมายที่นางเขียนไปให้กับหวังจิ่นหลิง นางให้คนอื่นเขียนแทน ส่วนนี่…… หากนางจะเขียนตัวหนังสือออกมาและแทบไม่เป็นระเบียบ คาดว่าคงจะอับอายขายหน้าพอควร
“ต่อกลอนได้แล้วไม่ใช่หรือ รีบเขียนเร็วเข้าสิ!” จิ้งเยวี่ยเห็นเฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน นางจึงได้รบเร้า บ่าวรับใช้ทั้งสองคนของเฟิ่งชิงเฉินหันไปเหลือบจ้องมองนางทันควัน
เสี่ยวเอ้อไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพราะถึงอย่างไรเวลาหนึ่งเล่มธูปที่ให้ก็ยังไม่ครบกำหนด
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังสับสนอยู่ว่าจะเขียนตัวอักษรลงไปดีหรือไม่ น้ำเสียงของหวังจิ่นหลิงก็ดังขึ้นจากด้านหลังว่า “ชิงเฉินเจ้ากล่าวออกมาก็พอ แล้วข้าจะช่วยเจ้าเขียนเอง”
เมื่อกล่าวจบ หวังจิ่นหลิงก็เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางสง่างาม เขาถือพู่กันจุ่มน้ำหมึก ใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณชายใหญ่!” เสี่ยวเอ้อรีบเข้าไปทำความเคารพ
“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่มาที่นี่!”
“คุณชายใหญ่จริงๆ คุณชายใหญ่เดินทางมาที่หอจู๋เฟิง เร็วๆ รีบออกไปดู!” เมื่อคนในหอจู๋เฟิงได้ยินเสียงของเสี่ยวเอ้อ แต่ละคนก็พากันตะโกนออกมาแล้วรีบวิ่งไปด้านหน้า ทันใดนั้นที่ปากประตูของหอจู๋เฟิงก็เต็มไปด้วยผู้คน เบียดเสียดสองพี่น้องเมื่อครูให้ไปอยู่ด้านข้าง
“สวัสดีขอรับคุณชายใหญ่!”
“คารวะคุณชายใหญ่!”
……
เสียงเอ่ยทักทายเริ่มดังขึ้น หวังจิ่นหลิงมีมารยาทและสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เขาหันไปตอบทีละคนจนกระทั่งรอบกายเต็มไปด้วยผู้คน แต่เมื่อหวังจิ่นหลิงส่งสายตามองไปมักจะให้ความรู้สึกว่าในตาของเขามีแต่อีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นเพียงผู้เดียว ต่อให้หวังจิ่นหลิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดมาแม้แต่คำเดียว ก็ไม่มีใครสักคนรู้สึกว่าพวกเขาถูกละเลย
หวังจิ่นหลิงดูเหมือนจะเหมาะสมยิ่งนักที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ หากว่าเขายินดีล่ะก็แม้แต่องค์ชายหรือต่ำต้อยถึงพวกกบฏ ล้วนยินดีอยากจะเป็นมิตรกับเขา
“ท่านพี่ คนนี้คือหวังจิ่นหลิงหรือ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังน่ะหรือ?” จิ้งเยวี่ยพยายามเบียดเสียดกับฝูงชนเข้าไป ดวงตาทั้งคู่ของนางมองไปที่หวังจิ่นหลิงอย่างไม่ลดละ
“ได้ยินพวกเขาเรียกเช่นนั้น คาดว่าคงไม่ผิดเพี้ยน นอกเสียจากคุณชายใหญ่ตระกูลหวังแล้วไม่มีผู้ใดจะสง่างามเทียบเท่าในใต้หล้า” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีน้ำเงินมองไปด้วยสายตาชื่นชม
หวังจิ่นหลิง เป็นชายหนุ่มรูปงาม มากไปด้วยความสามารถอย่างไม่มีใครเหมือน
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินได้แต่ถอนหายใจออกมากับตนเอง เมื่อตอนที่หวังจิ่นหลิงออกเดินทางไปเรียนรู้ที่โลกภายนอก เหตุใดจึงไปไม่ถึงที่อยู่ของพวกเขากัน แม้จะห่างไกลไปหน่อยแต่ก็อยู่ที่จิ่วโจวไม่ใช่หรือ หากว่าหวังจิ่นหลิงไปในถิ่นของเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะผูกมิตรกับหวังจิ่นหลิง
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าท่านซูเหยียนมีความสามารถไม่เท่ากับคุณชายใหญ่ หากพวกเราสามารถเชิญคุณชายใหญ่ไปได้ก็คงดี” ดวงตาของจิ้งเยวี่ยแทบจะผลิเป็นดอกไม้เบ่งบานออกมา แก้มทั้งสองของนางแดงเรื่อ คิ้วคู่นั้นไม่ได้โมโหอีกต่อไปแต่เต็มไปด้วยความชื่นชอบ
“น้องโง่ เจ้าคิดว่าข้าไม่ต้องการเช่นนั้นหรือ? แต่เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง จะเดินทางไปที่ของพวกเราแห่งนั้นได้อย่างไร?” ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเคาะไปที่ศีรษะของจิ้งเยวี่ยเบาๆ
ผู้คนที่อยู่ในหอจู๋เฟิงล้วนพากันเดินออกมา ทำให้ที่ปากประตูหอจู๋เฟิงแห่งนั้นครึกครื้นขึ้นมาทันใด หลงจู๊แห่งหอจู๋เฟิงก็รีบพากันเดินออกมาเพื่อจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้
แต่คนที่สามารถเข้าไปในหอจู๋เฟิงได้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาจะไปสนใจคำโน้มน้าวของหลงจู๊เหล่านี้หรือ จนกระทั่งหวังจิ่นหลิงเป็นผู้เอ่ยปากด้วยตนเอง พวกเขาเหล่านี้จึงได้สงบลงแล้วพากันทยอยจากไป มีบางคนยืนอยู่ด้านข้างเพื่อรอดูเฟิ่งชิงเฉินต่อกลอนนั้น สองพี่น้องจิ้งเยวี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ฝูงชนทยอยกลับไฟได้พอประมาณ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้อ้าปากเอ่ยขึ้นว่า “ในวันนี้ข้าเพิ่งจะรู้ว่าการเชิญคุณชายมารับประทานอาหารเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ข้าควรจะเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารที่จวน”
เพียงแต่ว่า ที่จวนของนางบัดนี้ช่างอึกทึกครึกโครมเหลือเกิน ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการสนทนาเรื่องการงาน
เปรียบเทียบกันแล้ว หอจู๋เฟิงช่างสง่างามและปลอดภัยกว่า อีกอย่างบัดนี้ไม่ใช่เมื่อก่อน การที่นางเป็นสตรีจะเชิญหวังจิ่นหลิงไปที่จวนคาดว่าคงจะถูกติฉินนินทา
“ครั้งหน้าเปลี่ยนสถานที่ใหม่ก็พอแล้ว” หวังจิ่นหลิงไม่ได้สนใจสิ่งใด ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างจริงใจ “ชิงเฉิน เจ้าบอกกลอนท่อนล่างกับข้ามาเถิด ธูปเล่มนั้นถูกจุดจนหมดแล้ว”
“หา…… จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้!” เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองดูธูปที่ดับไปแล้วเนิ่นนานก่อนจะหันไปถามเสี่ยวเอ้อว่า “นี่นับว่าเป็นกรณีพิเศษ ควรจะจัดการอย่างพิเศษด้วยใช่หรือไม่?”
หากว่าหวังจิ่นหลิงไม่อาจเข้าไปที่หอจู๋เฟิงได้เพราะนาง ก็คงจะอับอายขายหน้ามากทีเดียว ……
เสี่ยวเอ้อเดินตรงเข้ามายิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชาย ซูเหยียนกล่าวแล้วว่าเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อครู่เขาพอจะเข้าใจได้ แต่พวกท่านมากันสองคน ดังนั้นจะต้องต่อกลอนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบท บัดนี้เชิญคุณหนูเฟิ่งกล่าวกลอนท่อนล่างออกมาเถิด ประเดี๋ยวท่านซูเหยียน จะต่อกลอนออกมาอีกบทหนึ่ง”
“ท่านซูเหยียนไม่เคยจะลืมเรื่องที่ทำให้คนอื่นคับข้องใจแม้แต่ชั่ววินาทีเดียว” หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ถูกคุณชายซูเหยียนหาเรื่องหนักใจมาให้ไม่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจจะจัดการกับกลอนที่อยู่ตรงหน้านี้ให้เสร็จเสียที เพราะต่อจากนี้หวังจิ่นหลิงจะเข้ามารับผิดชอบแทนเอง “กลอนบทแรกคือ สะพานสี่ทิศ ทิศทั้งสี่ของสะพาน ยืนอยู่ที่สะพานสี่ทิศมองไปทั้งสี่ทิศ สี่ทิศทิศทั้งสี่ทั้งสี่ทิศ กลอนต่อของข้าคือ ท่านเย่ว์หมื่นปี หมื่นปีท่านเย่ว์ คุกเข่าคารวะท่านเย่ว์ สรรเสริญหมื่นปี หมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
“เยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” ผู้ที่มุงดูอยู่ต่างพากันเอ่ยชมไม่ขาดปาก
“เหมาะสมยิ่งนัก” ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหรือพี่ชายของจิ้งเยวี่ยผู้นั้นหันไปมองดูเฟิ่งชิงเฉินแฝงด้วยความชื่นชม ก่อนจะเอ่ยถามผู้คนที่อยู่ด้านข้างว่า “แม่นางผู้นี้คือใครกัน มองดูแล้วนางสนิทสนมกับคุณชายใหญ่มากทีเดียว”
จิ้งเยวี่ยได้ยินดังนั้นก็รีบเงี่ยหูฟังเพราะนางค่อนข้างเป็นปรปักษ์ต่อเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เรื่องเสียด้วยซ้ำว่าแม่นางน้อยผู้นี้เห็นตนเป็นศัตรูทางหัวใจไปเสียแล้ว
“เฟิ่งชิงเฉิน คุณหนูเฟิ่ง พวกท่านไม่รู้จักหรือ?” คนด้านข้างที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองมายังสองพี่น้องคู่นี้ด้วยท่าทางประหลาดใจ และเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะดูถูกทั้งสอง
“ในเมืองหลวงนี้มีผู้ใดอีกเล่าที่ไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉิน?”
“นางมีชื่อเสียงมากงั้นหรือ” พี่ชายของจิ้งเยวี่ยเอ่ยด้วยความอยากรู้
“ไม่เพียงแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น นางเป็นผู้ที่โด่งดังไปทั้งสามประเทศ” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าหยิ่งผยอง
“ข้าน้อยเพิ่งจะเดินทางมาที่เมืองหลวงจึงไม่รู้จริงๆ ขอพี่ชายโปรดอธิบายให้หายข้องใจเถิด” พี่ชายของจิ้งเยวี่ยทำท่าทาง จริงจัง ชายผู้เอ่ยประโยคนั้นออกมาเมื่อครู่หันมาเหลือบมอง จากนั้นจึงได้เล่าเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินช่วยหวังจิ่นหลิงซึ่งบาดเจ็บที่หน้าประตูเมืองให้ฟัง จากนั้นช่วยเหลือชาวบ้านมากมายที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้กล่าวออกมาเช่นกัน อีกทั้งเหล่าเรื่องที่ตนเองได้ยินมาว่าเฟิ่งชิงเฉินเอาชนะการแข่งขันกับองค์หญิงเหยาหวาและคุณหนูซูที่โรงสัตว์หลวงออกมาด้วยเช่นกัน
“คุณหนูเฟิ่งไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตางดงามและจิตใจดี มีความสามารถทางด้านวรรณกรรมและการต่อสู้ ม้าดำชางชานม้าเหงื่อโลหิตแล้วอย่างไรเล่า ถูกคุณหนูเฟิ่งของเราสั่งสอนเสียจนยอมฟังว่าง่าย”
“คุณหนูเฟิ่งเป็นสตรีที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก” พี่ชายของจิ้งเยวี่ย เอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชมแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน สายตาคู่นั้นไม่ต่างกันกับที่จิ้งเยวี่ยมองไปทางหวังจิ่นหลิง
“แน่นอน บุตรสาวของแม่ทัพเฟิ่งจะไม่เก่งได้อย่างไร” ชายหนุ่มผู้ยุ่งเรื่องของชาวบ้านคนนั้นกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่งภาคภูมิใจ ขณะเดียวกันในใจของเขาก็ได้กล่าวว่า ขอโทษที ซึ่งข้าไม่ได้เล่าเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินสูญเสียพรหมจรรย์ไปก่อนแต่งงาน อีกทั้งยังถูกยกเลิกถอนหมั้นออกมาให้ฟัง
เรื่องนี้…… อย่าไปกล่าวถึงเป็นดี
พี่ชายของจิ้งเยวี่ยพยักหน้าแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินกับหวังจิ่นหลิงซึ่งสวมชุดสีขาวและสีแดงยืนอยู่ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “คุณชายใหญ่และเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้ช่างเหมาะสมกันเสียเหลือเกิน ในโลกใบนี้สตรีซึ่งคู่ควรกับคุณชายใหญ่ คงจะเป็นสตรีผู้โดดเด่นและสูงส่งเช่นเฟิ่งชิงเฉินผู้นี้”
เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกไป ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนคิดว่าหากไม่มีเรื่องราวก่อนหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเหล่านั้นล่ะก็ สองคนนี้ยืนอยู่ด้วยกันช่างเหมาะสมกันจริงๆ
แน่นอนว่ามีบางคนก็ทำสีหน้ามืดมน เช่นจิ้งเยวี่ย
“เหมาะสมกันอย่างงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้ามองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกหอจู๋เฟิงตั้งแต่ต้น เดิมทีใบหน้าของเขาก็ค่อนข้างมืดมน หลังจากที่ได้ยินประโยคนี้แล้วกลับดูมืดมนมากยิ่งขึ้น
ฮือๆ…… ขันทีที่อยู่ด้านนอกรถม้าและสารถี แม้แต่ม้าทั้งสองตัวนั้นก็กระทืบเท้าด้วยท่าทางอันกระสับกระส่าย
อากาศในเดือนเจ็ดเช่นนี้ ช่างเยือกเย็นเหลือเกิน!
“นายท่าน?” น้ำเสียงสั่นคลอนของขันทีเอ่ยถาม
ก็ว่าอยู่ เขาประหลาดใจเหลือเกิน เหตุใดจู่ๆ เสด็จอาเก้าจึงได้เปลี่ยนคำสั่งเล่า ที่แท้คุณหนูเฟิ่งอยู่ที่นี่นี่เอง เดิมทีคิดว่าหากเสด็จอาเก้าได้พบกับคุณหนูเฟิ่งแล้วจะอารมณ์ดีเสียอีก คิดไม่ถึงว่า……
ฮือๆ เป็นพวกเขาอีกแล้วที่โชคร้าย ไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าจะเป็นดังเมื่อครั้งก่อนหรือไม่ ที่ให้พ่อครัวเตรียมผักดองไว้มากมาย เมื่อนึกถึงผักดองเหล่านั้นที่เปรี้ยวเสียจนเข็ดฟัน ขันทีทั้งหลายก็ได้แต่น้ำตานองหน้า
“ไปเถิด” เสด็จอาเก้าปิดผ้าม่านลงดูเหมือนกับไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของขันทีดูขมขื่นขึ้นกว่าเดิม เขาหวังเหลือเกินว่าจะให้เสด็จอาเก้าลงจากรถ ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเขาในฐานะบ่าวรับใช้จะได้ไม่ต้องรับโทษ ……