นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 322 ฆ่าเลย เสด็จอาเก้า ท่านเดาได้หรือไม่
ช่วงไม่กี่วันมานี้ ราชสำนักหาได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นไม่ นอกจากเรื่องของการลักลอบหรือการละเลยของขุนนางเล็ก ๆ บางคนเท่านั้น มีขุนนางสองสามคนที่ถูกจับส่งเข้าไปในองครักษ์เสื้อโลหิต ทว่า ลู่เส้าหลินหาได้รับร้อนในการเค้นเอาข้อมูลไม่ เพียงแค่จับตัวขังเอาไว้เฉย ๆ เท่านั้น ทั้งยังมิได้มีการทรมานอันใดอีก
วันพระราชสมภพของฝ่าบาทใกล้เข้ามาแล้ว ช่วงนี้จึงไม่ควรที่จะได้เห็นการนองเลือด อีกทั้งซีหลิง หนานหลิงและเป่ยหลิงก็ได้มารวมตัวกันที่นี่ หากในยามนี้มีข่าวลือเรื่องของคดีความถูกกระจายออกไป ถึงแม้ว่าจะเพียงแค่เรื่องอื้อฉาวธรรมกา ทว่า ฝ่าบาทย่อมไม่ต้องการให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่เฉลียวฉลาด ทำได้ทุกอย่าง หากสิ่งใดไม่อาจทำได้ ก็ย่อมบรรทัดฐานของตนเอง ทั้งยังไม่อาจข้ามเส้นขององค์จักรพรรดิไปได้อีก
เฟิ่งชิงเฉินรู้ข่าวนี้จากตี๋ตงหมิงว่า ขุนนางตัวเล็กตัวน้อยที่ถูกนำไปคุมขังนั้น ทั้งหกกระทรวงล้วนแต่ถูกส่งตัวไปคุมขังในองครักษ์เสื้อโลหิตกันหมด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทว่า มีความลับมากมายที่เกี่ยวโยงกันมากนัก
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า นี่เป็นการลงมือของตระกูลหวังและตระกูลเซี่ย เพียงเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ ทั้งยังเริ่มจากเรื่องที่มิค่อยมีผู้ใดสังเกตเห็นลงมือ ถึงจะทำให้อีกฝ่ายตามไม่ทัน ทีแรกนางเพียงแต่รบกวนหวังจิ่นหลิงเท่านั้น ทว่า เขาจะลงมือเช่นไรนั้น นางหาได้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงไม่ นางไม่ถนัดเรื่องการเมืองและการวางแผนมากนัก
หวังจิ่นหลิงและตระกูลเซี่ยย่อมไม่ยอมสะกิดปมใหญ่เช่นนี้ก่อนงานวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแน่นอน นั่นเพราะมันจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เนื่องจากว่า ในยามนี้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันงานพระราชสมภพของฝ่าบาทยิ่งนัก พวกเขาจึงค่อย ๆ หว่านแห ลงไป เมื่อได้โอกาสก็จะได้รวบแหขึ้นมาในทันที
ในที่สุด นางก็ได้ยินเรื่องดี ๆ ขึ้นมาเสียที ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินจึงแย้มยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข พร้อมทั้งเตรียมตัวเดินทางไปที่จวนของซุนเจิ้งเต้าในทันที เพื่อเป็นตัวแทนขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเขา อีกทั้งนางจะได้ไปตัดไหมให้กับซุนฮูหยินด้วย
ในช่วงที่เกิดข่าวลือเช่นนี้ นางได้แต่อุดอู้อยู่แต่ภายในจวน เฟิ่งชิงเฉินหาได้หวาดกลัวข่าวลือไม่ แต่นั่นมิได้หมายความว่า นางจะไม่เจ็บปวดกับเรื่องนี้ นางไม่อยากจะออกไปให้ใครต่อใครชี้หน้ามาที่นางได้ ทั้งยังมิต้องการให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอีกด้วย เพียงแค่หลบอยู่ภายในจวน เพื่อตระเตรียมสุสานฝังหมวกให้กับบิดามารดาของตนแทน
เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีผ่อนคลายลงแล้วนั้น ตี๋ตงหมิงพลันรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก เสมือนกับว่าเขาทำภารกิจที่หวังจิ่นหลิงมอบให้เสร็จแล้ว ทั้งยังปลอบใจเฟิ่งชิงเฉินได้แล้วด้วย
ช่วงนี้หวังจิ่นหลิงเป็นกังวลเรื่องของนางมากนัก ทว่า เป็นเพราะเรื่องของข่าวลือ หวังจิ่นหลิงจึงไม่อาจมาที่จวนเฟิ่งได้
หากพวกเขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงสนิทสนมกันนั้น ทั้งยังมีการไปมาหาสู่จวนเฟิ่งอีก เป็นไปได้ว่า วันที่สอง ย่อมต้องมีข่าวลือว่าเฟิ่งชิงเฉินล่อลวงเสด็จอาเก้ายังไม่พอ ยังมีการเกี้ยวหวังจิ่นหลิงอีกด้วย เช่นนี้ บุรุษที่มีชื่อเสียงในตงหลิงทั้งสองคนก็ตกอยู่ในข่าวลือของนางในทันที
หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ เฟิ่งชิงเฉินจักต้องตกเป็นเป้าหมายของสตรีที่อยู๋ทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน
คราวก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินโดนข่าวลือเรื่องสูญเสียพรรมจรรย์ก่อนงานแต่งนั้น ทุกคนก็แทบจะเข้ามารุมทึ่งนางแล้ว ทั้งยังกล่าววาจาดูถูกเฟิ่งชิงเฉินอีกด้วย ทว่า เหตุการณ์ในครานี้หาได้เหมือนกันไม่ ยามที่เสด็จอาเก้าพูดออกมาว่า “คืนก่อน เฟิ่งชิงเฉินอยู่กับเปิ่นหวาง” นั้น หากเรื่องนี้ถูกกระจายออกไปละก็ เฟิ่งชิงเฉินย่อมต้องถูกหมายหัวจากสตรีครึ่งเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าภูมิหลังของเฟิ่งชิงเฉินจะมิได้ดีนัก ทั้งชื่อเสียงที่ไม่ดีอีก สิ่งที่สำคัญคือนางเคยเป็นอดีตคู่หมั้นของลั่วอ๋อง เพียงเพราะสตรีนางเดียว นางถึงได้มาเข้าตาเสด็จอาเก้าได้ ทั้งยังทำให้เสด็จอาเก้าละเลยศีลธรรมอันดี ไม่สนเหตุผลต่าง ๆ พร้อมทั้งตกปากรับนางเป็นสตรีของตนเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วสตรีในเมืองหลวงจักไม่โกรธเกลียดเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร
ถ้าหากในยามนี้ ยังมีข่าวลือของคุณชายใหญ่หลุดออกมาอีกว่า เขาเข้าออกจวนเฟิ่งบ่อย ๆ นั่นอาจจะหมายถึงว่าคุณชายใหญ่หลงใหลในตัวเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เช่นนี้ นางย่อมตกเป็นเป้าหมายของสตรีทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน เนื่องจากว่า บุรุษทั้งสองคนต่างก็หลงใหลในตัวของนาง
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีขึ้นแล้วนั้น ตี๋ตงหมิงจึงได้เอ่ยเตือนขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง”ใช่แล้ว ท่านปู่ของข้า ให้ข้ามาถามเจ้าว่า เจ้าจะมีเวลาว่างเมื่อใด ให้เจ้าไปจวนซู่อ๋องด้วย อาการ”ปวดบนใบหน้า”ของพระองค์จะได้หายไปเสียที ”
“ได้ วันพรุ่งนี้ตอนบ่ายข้าจะไป” เฟิ่งชิงเฉินยังมิทันได้คิดอะไร นางก็ตกปากรับคำไปในทันที ก่อนหน้านั้น นางเคยเปิดอกพูดกับตี๋ตงหมิงแล้วว่า อาการป่วยบนใบหน้าของซู่ชินอ๋องนั้น หากการฝังเข็มมิอาจช่วยบรรเทาอาการได้แล้ว จำเป็นจักต้องทำการผ่าตัดที่ช่องปาก เพื่อจัดการเส้นประสาทที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดบนใบหน้าขึ้นมาแทน
หาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่ ในยามที่จะทำการลงมีดบนร่างกายของคนเรา ถึงแม้ว่าซู่ชินอ๋องจะทรมานเพราะบาดแผลมาทั้งชีวิต พระองค์ย่อมมิยินยอมให้มีรอยแผลลงมีดบนร่างกายของพระองค์เป็นแน่ มิใช่ผู้ใดจะมีความกล้าเฉกเช่นท่านหมอหลวงซุนและซุนฮูหยินนัก
เมื่อตี๋ตงหมิงได้ยินคำตอบรับเช่นนั้น เขาจึงมิจำเป็นต้องอยู่จวนเฟิ่งอีกต่อไป วันงานพระราชสมภพขององค์จักรพรรดิใกล้เข้ามาทุกที ผู้คนล้วนแต่หลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง เพื่อแสดงความยินดีต่อพระองค์มากมาย ช่วงนี้เขาจึงยุ่งวุ่นวายกับความปลอดภัยภายในเมืองหลวงมากนัก
ยามบ่ายของวัน เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ส่งเทียบเชิญไปที่ตระกูลซุน พร้อมทั้งเตรียมตัวนั่งรถม้าไปที่จวนตระกูลซุนในทันที มิทันได้ติดว่า เพียงแค่รถม้าเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่ในเมืองหลวงนั้น พลันถูกขอทานมากมายขัดขวางเส้นทางในทันที
ยามที่รถม้าหยุดลงนั้น พวกคนขอทานก็พลันวิ่งกรูเข้ามาล้อมรถม้าไว้ในทันที พลันทำให้พวกของเฟิ่งชิงเฉินมิอาจขยับไปที่ใดได้ อีกทั้งบนตัวของขอทานพวกนี้ เต็มไปด้วยนกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งนัก แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะนั่งอยู่ภายในรถม้า ก็ยังสามารถได้กลิ่นพวกนี้ได้
หลังจากที่ กลุ่มขอทานเข้ามาล้อมรถม้าของเฟิ่งชิงเฉินได้แล้วนั้น พวกเขาหาได้ลงมือทำอันใดไม่ เพียงแค่โห่ร้องทุบหมอข้าวทุบชามของตน ตะโกนส่งเสียงเยาะเย้นเฟิ่งชิงเฉินออกมา
เพื่อทำให้เฟิ่งชิงเฉินสูญเสียความบริสุทธิ์ในตัวเอง ทั้งยังทำให้นางรู้สึกอับอายจนไม่กล้ามีหน้าอยู่ในเมืองอีก
พลันป่าวประกาศว่า เฟิ่งชิงเฉินสูญเสียพรรมจรรย์ก่อนงานแต่งของตน ไม่เพียงแต่หน้าด้านอยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุรุษมากมาย นางไม่มีความละอายใจเลย ทั้งยังไร้การอบรมสั่งสอนสิ้นดี สตรีเช่นนางควรจะต้องถูกกำจัดไปเสีย จะได้ไม่อยู่ให้รกหูรกรกตาผู้อื่นอีก
ยามที่โห่ร้องทั้งทุบตีนั้น ใช้เวลาเพียงไม่นาน เรื่องราวก็พลันเกิดการชลมุลขึ้นมา เมื่อผู้คนได้ยินเสียงป่าวประกาศเช่นนี้ ก็เริ่มที่จะพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง
“คุณหนู?” สาวใช้ที่นั่งอยู่บนรถม้าทั้งสองนั้น พลันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะกลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะคิดมากเพราะเรื่องนี้
“ข้าไม่เป็นอันใด” สีหน้าที่สงบนิ่งของเฟิ่งชิงเฉิน พลันใช้สายตาที่เยือกเย็นมองมา ราวกับว่านางคาดเดาถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้
“ส่งคนไปที่กองปราบและจวนผู้ว่ามณฑลเสีย” เฟิ่งชิงเฉินหาได้คิดที่จะลงจากรถม้าไม่ นางมิใช่เฟิ่งชิงเฉินคนเดิมที่มิได้มีอำนาจอยู่ในมืออีกแล้ว ในยามนี้ นางสามารถลงมือทำได้ด้วยตัวเองทุกอย่างแล้ว
นางเป็นถึงคนของจวนขุนนางภักดี เรื่องเช่นนี้ นางมิจำเป็นจะต้องไปจัดการด้วยตนเองอีกต่อไป ทั้งยังมิต้องเผชิญกับความอับอายอีกแล้ว ฝ่าบาทต้องการจะรังแกนางเช่นนี้ นางก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก หากพวกเขาต้องการที่จะรังแกนางนั้น หาใช่เรื่องง่ายดายนัก
อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของนางในยามนี้ ย่ำแย่ถึงกับเข้าขั้นวิกฤตไปแล้ว เพียงเพิ่มเรื่องที่น่าเลวร้ายเข้าไปอีก นางก็หาได้สนใจไม่
“เพคะ” สาวใช้ทั้งสองหาได้ถามไถ่อันใดอีกไม่ เพียงแค่ทำตามคำสั่งของนางเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินที่นำองครักษ์ออกมาด้วยนั้น ล้วนแต่เป็นองครักษ์ที่จวนของซู่ชินอ๋องฝึกปรือมาเป็นอย่างดี ถึงกระนั้น องครักษ์พวกนี้หาได้เคยควบคุมฝูงชนไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเข้ามาปรึกษากับเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง
“ฆ่าเสีย ผู้ใดกล้าขวางทาง ฆ่าทิ้งให้หมด หากมีเรื่องอันใดเกิดขึั้น ข้าจะรับผิดชอบเอง” คิ้วของเฟิ่งชิงเฉินหาได้ย่นลงไม่
เรื่องราวในวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนจัดฉากทำให้เกิดขึ้น มีการวางแผนขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้วอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินมิรู้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวในวันนี้เป็นผู้ใดกันแน่ แต่นั่นมิได้สำคัญ นางสามารถเชือดไก่ให้ลิงดูได้ เสด็จอาเก้ามิได้บอกให้นางเชื่อในตัวเขางั้นหรือ นางในยามนี้เชื่อเสด็จอาเก้าแล้ว แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะฆ่าคนอยู่กลางถนนใหญ่ เสด็จอาเก้าก็ต้องเข้ามาปกป้องนางอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า หากปกป้องนางไม่ได้ก็หาได้เป็นอันใดไม่ นางสามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองได้
แต่มิรู้ว่า เสด็จอาเก้าได้คิดถึงเรื่องนี้ไว้หรือไม่ ว่านางจะต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าคงพอจะคาดเดาได้บ้าง แม้แต่นางยังพอจะเดาเรื่องราวได้ มีหรือเสด็จอาเก้าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้
“แต่ทว่า?” องครักษ์มีสีหน้าลำบากใจยิ่งนัก ฆ่าคนกลางถนนใหญ่เช่นนี้ แม้แต่เชื้อพระวงศ์เองก็ยังมิกล้าลงมือเช่นนี้เลย
“แต่อันใดกัน อย่าได้ลืมว่าฝ่าบาทเป็นคนพระราชทานนามของบุตรีจวนขุนนางภักดีให้กับข้าเอง ราษฎรที่ก่อกวน ทั้งยังกล่าววาจาดูถูกลูกสาวของขุนนางเช่นนี้ หากข้าจักฆ่าพวกเขา ก็หาได้มีผู้ใดกล้าทำอันใดกับข้าได้ ” นี่คือประโยชน์ของอำนาจ การที่ราษฎรมาก่อกวนหรือทำการละลายเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางนั้น ย่อมมีโทษถึงตาย
ถึงแม้ว่าจวนขุนนางภักดีจะมิใช่ตระกูลผู้สูงศักดิ์ แต่เป็นเพราะฝ่าบาทมอบขุนนางตำแหน่งขั้นรองให้นางเช่นนี้ เป็นรองแต่เพียง พวกจวนกั๋วกงทั้งสี่เท่านั้น แม้ว่าจวนตระกูลเฟิ่งกำลังจะอ่อนแอหรือไม่มีอำนาจมากมายเนัก แม้ว่าจะเหลือแต่เพียงตำแหน่งเท่านั้น ทว่า ขอแค่มีตำแหน่งนี้อยู่ นางจะฆ่าผู้ใด อย่างมากก็คงถูกเรียกไปตักเตือนเท่านั้น