นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 327 เข้าวัง เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยปละละเลย
เฟิ่งชิงเฉินคิดว่านางมีสายตาที่มองผู้คนออกได้ นางสามารถเห็นได้ว่าความกังวลของซุนเจิ้งเต้านั้นไม่ใช่การเสแสร้ง และยังเห็นถึงความโศกเศร้าในดวงตาของซุนเจิ้งเต้า ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามซ่อนมันอย่างสุดความสามารถแต่นางก็ยังเห็นมันอยู่ดี
ความสัมพันธ์ของซุนเจิ้งเต้ากับพ่อและแม่ของนางคงจะดีไม่ใช่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินแอบคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้จะถามต่อ ยิ่งมีเรื่องที่รู้มากขึ้นเท่าไหร่ ภาระที่ต้องแบกรับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้นางปกป้องแค่เพียงตัวเองก็มีปัญหาแล้ว จะสามารถแบกรับสิ่งต่างๆพร้อมกันได้อย่างไร มีเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่อง ไม่สู้มีลดน้อยลงหนึ่งเรื่อง นอกจากนี้ถ้าหากซุนเจิ้งเต้าต้องการจะพูด เขาคงจะพูดออกมาเอง
“หมอหลวงซุน หลี่เซี่ยงเป็นอย่างไรบ้าง?” แทนที่จะคิดถึงเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จะดีกว่าที่จะจัดการปัญหาตรงหน้าทีละอย่าง
หลี่เซี่ยงเป็นเหมือนระเบิดเวลา ถ้าหากเรื่องหลี่เซี่ยงยังไม่ได้จัดการ นางคงไม่มีทางที่จิตใจจะสงบได้
หลี่เซี่ยง!
เมื่อพูดถึงคนคนนี้ ซุนเจิ้งเต้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง “จะเป็นอย่างไรได้ล่ะถ้าหากไม่ใช่แบบนั้น อยู่ในวังทุกๆวันปลูกโสมทำรังนก ไม่ยอมกินยา เอาแต่โวยวายว่ายาจีนอะไรขมจนคนกินไม่ได้ แล้วยังให้หาหมอตะวันตกมาเย็บบาดแผลให้เขาอีก วันวันเอาแต่ใช้เท้าวาดภาพตัวละครบนพื้นที่ไม่มีแขนและขา ผีที่ไหนก็ดูไม่ออกหรอก”
ซุนเจิ้งเต้าไม่เคยเจอผู้ป่วยที่ดูแลยากขนาดนี้ ไม่มีองค์ชายคนไหนอ่อนแอเท่าเขา วันวันเอาแต่พูดว่าพวกเขา “การแพทย์จีน” นั้นไม่มีประโยชน์ ทำได้แค่รักษาจนทำให้คนตายไปเท่านั้น
ซุนเจิ้งเต้าเป็นคนที่มีคุณสมบัติผู้ดี ไม่มีทางที่จะสบถด่า ไม่เช่นนั้นเขาก็คิดที่จะด่าบรรพบุรุษของทั้งเก้าชั่วอายุคนจริงๆ การแพทย์จีนคืออะไรเขาไม่รู้ แต่รักษาจนทำให้คนตายนั้นเขาเข้าใจดีว่า นี่มันเป็นการเหยียดหยามทักษะทางการแพทย์ของเขาชัดๆ
อะแฮ่ม เฟิ่งชิงเฉินขัดจังหวะการระบายความโกรธของซุนเจิ้งเต้า นางไม่ได้สนใจถึงสิ่งนี้ “การฟื้นตัวของอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกังวล
“ดีมาก ฝ่าบาทให้สำนักหมอหลวงให้ยาที่ดีที่สุดกับเขา อาการบาดเจ็บของเขาสาหัส แต่ไม่ได้บาดเจ็บถึงปอด ถึงแม้ว่าจะไม่กินยาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวมากนัก ตอนนี้สามารถพูดออกมาได้เบาๆแล้ว ถึงเขาจะพูดได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ของเจ้า” ทำให้คนบาดเจ็บสาหัสจนเกือบตาย แล้วยังสามารถทำให้คนอื่นๆจับจุดอ่อนไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินคนเดียวที่สามารถทำได้
อาชีพหมอมีอะไรที่ดีนักหนา
“ฟื้นตัวมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ดีนัก คนแบบนี้มีชีวิตอยู่ก็เป็นเหมือนกับหายนะอย่างหนึ่ง” เรื่องที่หลี่เซี่ยงแกล้งป่วย มีเพียงแค่ตัวเขาเองกับเสด็จอาเก้าที่รู้
หลี่เซี่ยงจะต้องบอกว่านางวางแผนร้ายกับเขา เช่นนั้นเรื่องที่เขาแกล้งป่วยก็คงปิดไว้ไม่มิดแล้ว การหลอกลวงต่อจักรพรรดิมีโทษที่ใหญ่หลวง การที่จักรพรรดิไม่ได้สืบหาในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าจักรพรรดิจะไม่สืบหาในภายหลัง
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับเขา? ถ้าหากเจ้าอยากให้เขาตาย ข้าก็สามารถลงมือได้วันนี้เลย” ซุนเจิ้งเต้าไม่ได้พูดเล่น เขามองออกว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นต้องการจะฆ่าหลี่เซี่ยง
“ไม่ต้อง ถึงแม้ว่าข้าต้องการจะฆ่าหลี่เซี่ยง แต่ก็ไม่อาจให้ท่านลงมือได้ ชีวิตของท่านมีคุณค่ามากกว่าเขาเยอะ” ถ้าหากซุนเจิ้งเต้าลงมือ จักรพรรดิจะต้องตรวจสอบได้แน่ นางไม่เข้าใจว่านี่เป็นความสนิทสนมแบบไหนกันแน่ ที่ซุนเจิ้งเต้าทุ่มเททำงานให้นางอย่างสุดความสามารถได้ แต่นางไม่มีทางทำแบบนั้นได้
“ข้าคิดผิดไปเอง ข้าเพียงกังวลว่าคนคนนี้จะเล่นอุบายสกปรกกับเจ้า ถ้าหากว่าเขาพูดอะไรที่ไม่ควรออกมาต่อหน้าฝ่าบาท เกิดพูดอะไรขึ้นมาเพียงนิดเดียว แล้วสร้างความสงสัยให้กับฝ่าบาทก็คงจะไม่เป็นการดี” ซุนเจิ้งเต้าก็ไม่รู้ตัวเองว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ตอนที่เพิ่งจะรู้จักกับเฟิ่งชิงเฉิน แค่เห็นว่านางมีสถานะเป็นทายาทของตระกูลเฟิ่งหลี อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย แต่เมื่อผ่านไปก็ค่อยๆสนิทสนมกันมากขึ้น และเขาก็ค่อยๆเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งเจ้านายไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินเคาะโต๊ะเบา ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หลี่เซี่ยงเป็นคนที่ต้องจัดการให้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเสียสละโดยไม่จำเป็นเพราะคนเช่นนี้ ข้าจะคิดหาวิธีการที่สมบูรณ์แบบที่สุดเอง”
เสด็จอาเก้าใช้หลี่เซี่ยงในการคุกคามนาง ถ้าหากนางสามารถกำจัดหลี่เซี่ยงไปได้ก่อน เสด็จอาเก้าก็ไม่มีอะไรที่จะใช้คุกคามนางได้
ระเบิดเทียนเหล่ย นางไม่อยากที่จะลงมือทำมันจริงๆ
ซุนเจิ้งเต้าไม่ได้พูดอะไร เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินมีแผนของตนเองอยู่ในใจ
น่าเสียดาย ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วแต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่สามารถคิดหาวิธีการดีๆได้ จึงวางเรื่องนี้ลงก่อนและกำชับกับซุนเจิ้งเต้าเอาไว้ว่า พยายามให้มากที่สุดไม่ให้อาการป่วยของหลี่เซี่ยงหายไวเกินไป นางยังต้องการเวลาเพื่อการวางแผนให้ดี
ซุนเจิ้งเต้าตอบรับอย่างเต็มปาก
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เห็นว่าไม่เหมาะที่จะอยู่ที่จวนซุนนานเกินไป นางพูดคุยกับซุนซือสิงเพียงไม่กี่ประโยค ก็พาซุนซือสิงไปตัดไหมให้กับซุนฮูหยิน นำรายละเอียดและรายการสำคัญต่างๆสอนให้กับซุนซือสิง
การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่น แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบในการสอนและให้ความรู้ ในตอนที่จะกลับไป ซุนซือสิงก็ต้องการที่จะกลับจวนไปกับเฟิ่งชิงเฉินด้วย
เขาไม่ใช่คนงี่เง่า เมื่อได้เห็นท่าทีองครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาจึงได้ส่งคนออกไปสืบข่าว และได้รับรู้ถึงเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินฆ่าคนบนท้องถนน เมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน จึงไม่สบายใจที่จะให้เฟิ่งชิงเฉินกลับจวนเฟิ่งเพียงคนเดียว จึงตัดสินใจที่จะไปด้วย
จวนเฟิ่งไม่มีแม้แต่ผู้ชายสักที่สามารถเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาก็มีเพียงแต่ผู้หญิงที่อ่อนแออย่างเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวที่ต้องออกหน้า แน่นอนว่ามันเหนื่อยมาก
“วางใจเถอะ อาจารย์ไม่มีทางเป็นอะไร” เฟิ่งชิงเฉินตบไปที่ไหลของซุนซือสิง ในใจนางรู้สึกอบอุ่น
ลูกศิษย์ของนางคนนี้ช่างทึ่มจริงๆ ไม่รู้ว่าจิ้งจอกอย่างซุนเจิ้งเต้าเลี้ยงดูลูกชายอย่างไรให้ซื่อตรงได้ขนาดนี้ รู้อยู่ว่ามีอันตรายแต่ก็ยังจะเข้าไปใกล้ ไม่รู้จักหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายๆเลยสักนิด
ซุนซือสิงยืนยันที่จะตามไป จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินแสดงการดุว่าที่น่าเกรงขาม ซุนซือสิงถึงจะถอยกลับไปได้
ท่ามกลางแสงจันทร์ ขณะนั่งรถม้ากลับจวนเฟิ่ง มองเห็นจวนเฟิ่งที่อยู่ไกลๆ ถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพทหารอยู่หลายชั้น
คนขับรถม้าจึงรีบขับรถเข้าไปในตรอกหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ดีใจอย่างยิ่งที่คุณหนูเฟิ่งยังไปไม่ถึง หลังจากนั้นจึงให้องครักษ์ทั้งสิบหกคนกลับไปที่จวนซู่ชินอ๋อง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดินทางอยู่ตามท้องถนนแต่ก็ไม่ได้สร้างความสนใจให้กับผู้อื่นมากนัก
“คุณหนู จวนเฟิ่งถูกทหารจากวังล้อมเอาไว้แล้ว” คนใช้หญิงก็ถือว่ามีความกล้าหาญ เมื่อได้ฉากแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้ตื่นตระหนก
“ไปสืบข่าวมา ใครเป็นผู้ที่นำกองทัพทหารมา” เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร ถ้าหากไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นต่างหากถึงจะน่าตกใจ
“เจ้าค่ะ”
การรอคอยคือความทรมานอย่างหนึ่ง คำพูดนี้ใช้ได้กับแค่คนอื่น แต่ใช้กับเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินหาวเล็กๆ รออย่างใจจดใจจ่อ สิบห้านาทีผ่านไปคนใช้หญิงนั้นก็วิ่งกลับมา “คุณหนู เป็นแม่ทัพเว่ย จวนเฟิ่งไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล”
“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าเข้ามาแล้วแต่งตัวให้ข้าใหม่” แม่ทัพเว่ยมาเพื่อพานางเข้าไปในวัง เฝ้ารออยู่ที่จวนเฟิ่งคงหวังไม่ให้นางได้เข้าไป
เมื่อเข้าไปในวังต้องไม่เสียมารยาท นอกจากนี้ วันนี้นางจะไม่ได้เข้าไปในวังเพื่อบ่นเรื่องความคับข้องใจ และการทำให้ตัวเองสมเพชมีแต่จะทำให้จักรพรรดิขุ่นเคือง
สาวใช้ทั้งสองคนทำการอย่างรวดเร็ว เมื่อรถม้ามาถึงที่ประตูใหญ่ของจวนเฟิ่ง สองสาวใช้ก็ได้ทำมวยผมสูงให้กับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางบางๆ ภายใต้แสงของเทียนทำให้นางดูสวยงามสดใส
เมื่อรถม้าหยุดลง ก็ถูกล้อมรอบด้วยกองทหาร แม่ทัพเว่ยเดินนำหน้ามา และพูดกับเฟิ่งชิงเฉินอย่างสุภาพว่า “คุณหนูเฟิ่ง”
นี่ไม่ใช่ทัศนคติที่มีต่อนักโทษโดยสิ้นเชิง ทำให้ทหารที่อยู่เบื้องหลังของเขาเข้าใจขึ้นมาว่าคุณหนูเฟิ่งคนนี้ไม่ธรรมดา
“ไม่ทราบว่าแม่ทัพเว่ยมาพบชิงเฉินมีเรื่องอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้แสดงออกถึงการสร้างสัมพันธ์ กฎเกณฑ์ที่มีสว่างและมืดสองแบบ ที่เปลือกนอกของนางไม่จำเป็นที่จะต้องญาติดีกับแม่ทัพเว่ย แต่แบบนี้ช่วยให้แม่ทัพเว่ยดูแลจวนเฟิ่งและคนของจวนเฟิ่งที่เหลือ
“ข้าได้รับพระราชโองการจากจักรพรรดิให้เชิญคุณหนูเฟิ่งไปที่วัง” การส่งเขามาที่นี่เป็นผลมาจากการประลองไหวพริบของทั้งสองฝ่าย การส่งเขามาหนึ่งคือเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ถูกทำร้าย สองคือเขาจะสามารถเชิญเฟิ่งชิงเฉินได้แน่นอน
ในพระราชวังมึนไม่น้อยที่กังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะถือโอกาสหนีไป ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ทำผิดอย่างร้ายแรง แต่ไม่คาดคิดว่า เฟิ่งชิงเฉินนั้นจะมีความกล้ามากเสียจริง
นางมั่นใจมากขนาดนี้ แล้วจะไม่เกิดเรื่องกับตนเองแน่หรือ?