นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 331 เสียโฉม เด็กร้องไห้มักมีขนมกิน
บาดแผลยังคงมีเลือดหยดไหลลงมา แต่เฟิ่งชิงเฉินพยายามทำท่าทางเข้มแข็งไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าอย่างไรร่างกายนางก็ไม่ได้ทำขึ้นจากเหล็ก เพียงไม่นานร่างของนางก็สั่นคลอน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่เอ่ยร้องออกมา ได้แต่กัดฟันแทบไม่กล้าหายใจ
เสด็จอาเก้าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เอาเถอะ เขาแพ้แล้ว แพ้ให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกสงสารตนเอง แต่เขาก็ปวดใจแทน
เขาวางโคมไฟไว้ข้างกาย เสด็จอาเก้าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผ่องออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปเช็ดหน้าให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินหลบหลีกเขา แต่กลับถูกเสด็จอาเก้าลากตัวเข้าไป เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลง นางไม่อยากมองเสด็จอาเก้าแม้แต่วินาทีเดียว
ท่าทางของเสด็จอาเก้าช่างอ่อนโยน ราวกับนำขนนกบางๆ ปัดผ่านไปที่หน้าของนาง เฟิ่งชิงเฉินตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย ร่างกายของนางเกร็งขึ้นทันที ไม่นานต่อมาเสด็จอาเก้าก็ได้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินจนสิ้น
เสด็จอาเก้าไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้ เขาทำการเช็ดเลือดบนศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินต่อไป เพื่อต้องการมองให้ชัดเจนว่านาง บาดเจ็บส่วนไหนของศีรษะ
การกระทำของฝ่าบาททั้งรวดเร็วและหนักหน่วง เสด็จอาเก้ารู้เพียงว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ แต่ไม่รู้ว่าร้ายแรงเพียงใด บัดนี้เมื่อทำการเช็ดเลือดอยู่เนิ่นนานแต่ไม่เห็นว่าดีขึ้น จิตใจก็เริ่มรู้สึกรีบร้อนเป็นกังวล มือที่ใช้เช็ดจึงได้รีบเร่งเร็วกว่าเดิม
“ซี๊ด……” เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับแอบด่าในใจว่า เสด็จอาเก้ามาแก้แค้นนางหรืออย่างไร?
เสด็จอาเก้ารีบชักมือกลับ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ยิ่งโมโหจึงอดไม่ได้ที่จะเคาะไปบนศีรษะด้านข้างของเฟิ่งชิงเฉินเบาๆ “เด็กโง่ หากเจ็บก็ให้พูดออกมา!”
นางถูกองค์จักรพรรดิทำร้ายเสียจนบาดเจ็บที่ศีรษะเลือดออกมากมายแต่กลับไม่กล่าวสิ่งใดสักคำ ใครที่ไม่รู้คงคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินร่างกายทำด้วยเหล็ก
“ให้ข้ากล่าวออกมาแล้วอย่างไร? คิดว่าฝ่าบาทจะปลอบโยนข้า? บาดแผลนี้จะจางหาย?” บางทีอาจเป็นเพราะว่านางโกรธมากจริงๆ ประโยคของเฟิ่งชิงเฉินเหล่านี้ช่างหาเรื่องเสียเหลือเกิน โชคดีที่นี่คือเสด็จอาเก้า หากเป็นคนอื่นล่ะก็คงจะโมโหหงุดหงิดตายเสียก่อน
“หากเจ้ากล่าวออกมาอย่างน้อยก็มีคนรู้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวด บางทีพวกเขาอาจจะสงสารเจ้าบ้าง เด็กที่ร้องไห้งอแงจะมีขนมกิน หากพวกเขาดื้อรั้นจนเกินไปก็จะไม่เป็นที่ชื่นชอบ” น้ำเสียงของเสด็จอาเก้าดูคลุมเครือเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขากำลังมองมาที่เฟิ่งชิงเฉิน แต่ดูเหมือนดวงตาจะไม่ได้จับจ้องไปที่นาง
การที่ร้องไห้เรียกหา รู้ถึงวิธีระบายความคับข้องใจ แน่นอนว่าจะเป็นที่โปรดปรานกว่า แต่ว่า……
พวกเขาจะร้องไห้ให้ใครเห็น จะเรียกร้องต่อผู้ใดเล่า? เฟิ่งชิงเฉินและเขาล้วนเหมือนกัน ไม่มีพ่อแม่
“เสด็จอาเก้ารู้ด้วยหรือว่าเด็กที่ร้องไห้งอแงจะมีขนมกิน แต่ข้าจะร้องไห้ให้ผู้ใดเห็น? ต่อให้ข้าร้องไห้จนตายฝ่าบาทก็ไม่ได้ส่งสารข้าแม้แต่น้อย ในเมื่อน้ำตาของข้าไม่มีใครต้องการเห็นมัน ดังนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ หากว่าเสด็จอาเก้าไม่มีเรื่องอื่นใดแล้วละก็ ชิงเฉินขอตัวลาก่อน” เฟิ่งชิงเฉินถอยหลังออกไปเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองคน แล้วเดินผ่านร่างกายของเสด็จอาเก้าออกไปยังนอกพระราชวัง
เสด็จอาเก้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม เฟิ่งชิงเฉินเดินผ่านเข้าไปชายกระโปรงของนางลอยขึ้นมาสัมผัสกับชายเสื้อของเสด็จอาเก้าโดยที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกอันใด
เสด็จอาเก้าหันหลังไปเห็นเข้ากับฉากนี้ เขาจึงเอื้อมมือออกไปร่างเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ตามสัญชาตญาณ “ที่ศีรษะของเจ้ามีบาดแผล ข้าจะให้คนทำแผลให้เจ้า”
เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว เฟิ่งชิงเฉินสตรีผู้นี้มีวิธีมากมายที่จะทำให้ผู้คนมองข้ามความน่าอับอายและน่าสมเพชของนาง ทำให้ลืมร่างกายอันบาดเจ็บของนางไปได้ ไม่ว่านางจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เฟิ่งชิงเฉินก็มักจะนิ่งสงบได้เสมอ
“ขอบพระคุณเสด็จอาเก้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่จำเป็น” เฟิ่งชิงเฉินพยายามดึงมือของนางกลับไป แต่คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะจับเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“บาดแผลของเจ้าจำเป็นต้องได้รับการรักษา” บัดนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ผมดำขลับของนางเปื้อนเลือดเป็นก้อนๆ เขาจึงมองไม่เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บบริเวณใด ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เฟิ่งชิงเฉินปิดประตูจวนไม่รับแขกเพื่อไตร่ตรองตนเองเป็นเวลาหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนนี้ตัวเขาก็ยุ่งมากเช่นกัน ดังนั้นเรื่องเขาจึงไม่มีเวลาใส่ใจ
“ชิงเฉินเองก็เป็นหมอ อาการบาดเจ็บเท่านี้ชิงเฉินสามารถรักษาเองได้” แต่อาการบาดเจ็บของนางอยู่ที่ศีรษะ นางคงจะต้องตัดผมทิ้งจำนวนมากจึงจะสามารถใส่ยาได้ ร่างกายและผมเป็นสิ่งที่บิดามารดามอบมาให้ จะทำลายไม่ได้เด็ดขาด
หากว่าให้หมอคนอื่นมาทำแผลให้ก็คงไม่ปล่อยให้นางทำเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อตอนที่เฟิ่งชิงเฉินออกมา จึงไม่ได้ขอร้องให้ขันทีพานางไปทำแผล
“บาดแผลของเจ้าอยู่ที่ศีรษะ เจ้าจะจัดการมันเช่นไร เรื่องนี้ตกลงตามนี้ เจ้าจงตามข้ามา” เมื่อกล่าวจบเขาก็ไม่ให้โอกาสเฟิ่งชิงเฉินในการปฏิเสธ แต่พาเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปที่ตำหนัก
“นี่คือตำหนักของข้าเอง จักรพรรดิพระองค์ก่อนประธานให้ ก่อนหน้าที่ข้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ บัดนี้ยังคงรักษาเอาไว้” เสด็จอาเก้าไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอยากฟังเรื่องราวเหล่านี้หรือไม่ เขากล่าวมันออกมาด้วยตนเอง
“ในตอนนั้น ที่ข้ายังอยู่ในพระราชวังเคยได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพระมารดาขององค์รัชทายาท พระมารดาองค์รัชทายาทเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนยิ่งนัก แต่นางไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในพระราชวังนี้จึงจากไปในเวลาอันสั้น” และนี่คือเหตุผลที่เสด็จอาเก้าปฏิบัติต่อองค์รัชทายาทอย่างกว้างขวาง
เฟิ่งชิงเฉินเพียงแต่นั่งฟัง นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา หลังจากนั้นไม่นานก็มีนางในเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าหน้าบีบหมาดๆ ยื่นให้เฟิ่งชิงเฉินทำความสะอาดใบหน้า ความจริงแล้วเสด็จอาเก้าควรจะหลบเลี่ยงไปในเวลาเช่นนี้ แต่ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะเพิกเฉยทำเป็นไม่รู้เรื่องนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหากเสด็จอาเก้าตัดสินใจทำเรื่องได้แล้วไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเขาได้ นางจึงเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดที่อยู่บนใบหน้าและมือของนางจนสะอาด
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าตนไม่อาจเดินทางออกไปจากที่นี่ได้ในเวลาอันสั้น จึงก้มลงมองดูร่างกายอันเหนียวเหนอะหนะประกอบกับบาดแผลที่ศีรษะจำเป็นต้องได้รับการดูแล จึงเอ่ยกับเสด็จอาเก้าว่า “เสด็จอาเก้า ชิงเฉินอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ประโยคนี้ของนางแฝงไปด้วยความหมายก็คือต้องการอาบน้ำ
“พาคุณหนูเฟิ่งไปอาบน้ำ” เสด็จอาเก้าค่อนข้างตรงไปตรงมา ก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะจากไป เขาได้กำชับขึ้นอีกว่า “รับใช้นางด้วยความระมัดระวัง อย่าให้บาดแผลถูกน้ำ”
เฟิ่งชิงเฉินชะงักฝีเท้าลง เสด็จอาเก้าลืมไปแล้วหรือไรว่านางเป็นหมอ? เรื่องราวเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้เขามาคอยกำชับ
แม้จะเรียกว่าเป็นอ่างอาบน้ำ แต่ที่จริงแล้วเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าอ่างอาบน้ำของเสด็จอาเก้าไม่เล็กไปกว่าสระว่ายน้ำเลย ภายในสระน้ำมีควันสีขาวลอยกรุ่น ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
มีอำนาจมีตำแหน่ง ช่างดีเหลือเกิน
“คุณหนูเจ้าคะ น้ำในอ่างนี้เป็นบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติซึ่งดีต่อร่างกายยิ่งนัก คุณหนูเชิญแช่ตามสบายเถิด มีประโยชน์ต่อร่างกายยิ่ง” นางในในตำหนักของเสด็จอาเก้าไม่ต่างไปจากเขาเลย นางไม่ค่อยกล่าวให้มากความและน้ำเสียงที่กล่าวออกมาก็ช่างเย็นชา
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คิดจะเอ่ยถามถึงความคิดของเสด็จอาเก้า นางเปลื้องผ้าแล้วลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ จากการช่วยเหลือของนางใน ทำให้สามารถสระผมยาวของนางอย่างระมัดระวังจนเสร็จสิ้น ในที่สุดก็สามารถกำจัดกลิ่นคาวเลือดอันไม่พึงประสงค์ไปได้สักที เฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยท่าทางสดชื่น
บัดนี้เสด็จอาเก้าไม่ได้อยู่ในตำหนัก ทว่าหมอหลวงและหมอหญิงได้รออยู่ที่ห้องโถงเป็นเวลานานแล้ว หมอหลวงดูหน้าของเฟิ่งชิงเฉินแล้วรู้สึกไม่คุ้นตา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทำสิ่งใดมากความ เขานั่งอยู่ตรงนั้นรอให้หมอหญิงลงมือ
บาดแผลที่ศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินมีขนาดใหญ่เพียงเท่ากับเหรียญทองแดง แต่มันลึกมากยิ่งนัก เรียกได้ว่าบนศีรษะมีรูเลือด หมอหลวงยังไม่เท่าไหร่แต่เมื่อหมอหญิงนางนั้นเห็นชัดว่าอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น จังหวะเดียวกันเสด็จอาเก้าก็ปรากฏกายขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงอันเยือกเย็นเอ่ยถาม ทำให้หมอหลวงตกใจและกระแทกเข้าให้ในรูเลือด
“โอ๊ย!” เฟิ่งชิงเฉินร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
นางยืนกรานได้อีกครั้งว่าเสด็จอาเก้าต้องการจะแก้แค้นนาง แก้แค้นที่นางหลอกใช้เขาก่อนหน้า!
เสด็จอาเก้ารีบก้าวเข้าไปด้านหน้าแล้วดึงหมอหลวงออกมา “เหตุใดบาดแผลจึงลึกเช่นนี้!”
เมื่อเห็นบาดแผล เสด็จอาเก้าก็ตกใจยิ่งนัก ชิ้นเนื้อที่ศีรษะเรียกได้ว่าถูกลอกออกไป สามารถนำนิ้วแทงเข้าไปได้เสียด้วยซ้ำ
เฟิ่งชิงเฉินไม่กังวลเกี่ยวกับการตัดผมของนาง เนื่องด้วยผมที่บริเวณบาดแผลได้หลุดร่วงไปก่อนหน้าแล้ว ในอนาคตผมจะงอกขึ้นมาใหม่หรือไม่ก็ยังไม่รู้
บาดแผลเช่นนี้หากเกิดขึ้นกับผู้ชายก็เรียกได้ว่าเสียโฉมแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสตรี บาดแผลบนศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินต่อให้หายแล้ว หากว่าศีรษะของนางโล้นเล่า จะทำอย่างไรในอนาคต?
ดวงตาของเสด็จอาเก้าเปล่งประกายความอาฆาตแค้นออกมา……