นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 333 คลอดยาก เลือกแม่หรือลูก
เฟิ่งชิงเฉินยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายลงไม้ลงมือกันก็ได้รีบกล่าวว่า “หยุดก่อน!”
ปัญหาอันวุ่นวายใจของจวนเจิ้นกั๋วกงยังไม่ได้รับการจัดการเลย นางไม่อยากจะสร้างปัญหาให้แก่จวนหนิงกั๋วกงอีก ดูเหมือนความสามารถในการสร้างปัญหาของนาง จะไม่น้อยเลยทีเดียว……
ราชองครักษ์ชะงักลง ทำให้หนิงกั๋วกงซื่อจื่อฉวยโอกาสจากช่องโหว่แทรกตัวเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าโค้งคำนับเฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่ง ข้าเสียมารยาทไปหน่อย”
“ท่านซื่อจื่อ” เฟิ่งชิงเฉินลงจากรถม้าแล้วคำนับกลับอย่างมีมารยาท
หนิงกั๋วกงซื่อจื่อกังวลใจและเป็นห่วงภรรยาของตน โดยไม่ได้สังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินเลย เมื่อเขาพบเข้ากับเฟิ่งชิงเฉินก็ได้รีบกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่งขอรับ ภรรยาของข้าคลอดบุตรยาก บัดนี้หมอตำแยก็ไม่อาจช่วยได้ กล่าวว่าชีวิตกำลังอยู่ที่ปากเหว จิ้นหยางโหวฮูหยินเป็นพี่สาวของภรรยาข้า นางกล่าวว่าทักษะการรักษาของคุณหนูเฟิ่งยอดเยี่ยมนัก ในโลกนี้ผู้ที่สามารถช่วยภรรยาของข้าเอาไว้ได้ คงจะมีเพียงคุณหนูเฟิ่งเท่านั้น หากไม่ใช่คุณหนูเฟิ่งคงทำไม่ได้ ดังนั้นขอเชิญคุณหนูเฟิ่งรักษาชีวิตของภรรยาข้าเอาไว้ด้วยเถิด!”
เนื่องจากความรีบเร่งในจิตใจ ประโยคที่เขากล่าวออกมาจึงไม่ค่อยสอดคล้องเท่าไรนัก แต่โชคดีที่เขาอธิบายเรื่องราวได้อย่างชัดเจน
“คลอดยาก? เรื่องนี้เกรงว่าข้าไม่อาจช่วยได้ ข้าไม่ใช่หมอตำแย” เฟิ่งชิงเฉินยกมือขึ้นรูปหน้าผาก หน้าตานางดูเหมือนหมอ ตำแยหรือ? บนใบหน้าของนางเขียนไว้ว่านางเป็นหมอตำแยหรือไร?
นางทำคลอดไม่เป็น อีกอย่างนางก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นางเชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรม ด้านการศัลยกรรมต่างหาก!
หนิงกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ยินยอมจะช่วยเหลือ เขารู้สึกเป็นกังวลใจมากยิ่งขึ้น “หมอเฟิ่งโปรดเถิด โปรดช่วยภรรยาของข้าด้วย ข้าจะคุกเข่าบัดนี้ก็ย่อมได้”
เมื่อกล่าวจบเขาก็คุกเข่าลงไปจริง
“อย่าทำเช่นนี้เลย!” เฟิ่งชิงเฉินรีบหลีกเลี่ยงแล้วขยิบสายตาให้กับทหารซึ่งอยู่ด้านข้าง ทหารผู้นั้นเฉลียวฉลาดและเข้าไปลากเขาขึ้นมาทันที
ล้อเล่นหรืออย่างไร หากในวันนี้นางรับการคุกเข่าคารวะจากหนิงกั๋วกงซื่อจื่อ คาดว่าในอนาคตคงจะวุ่นวายน่าดู หากว่าภรรยาของเขามีชีวิตรอดมาได้ก็ดี แต่หากว่าสิ้นใจเพราะนางล่ะก็คงจะตำหนิมาถึงนางแน่นอน อย่างบัดนี้นางยังไม่ได้สัญญาว่าจะช่วย
วินาทีนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหมอหลวงในสำนักหมอหลวงแต่ละคนล้วนมีความชำนาญด้านการรักษา แต่กลับลังเลที่จะพุ่งกายไปข้างหน้า นั่นเป็นเพราะปืนจะยิงนกตัวที่โดดเด่นกว่าเสมอ
ให้ตายสิ การที่รักษาอาการป่วยให้แก่ตระกูลมั่งคั่ง ไม่ต่างอะไรกับการถือศีรษะเอาไว้ในมือ หากว่ารักษาหายก็ถือว่าเป็นหน้าที่อันสมควร แต่หากรักษาไม่หายล่ะก็คงต้องสูญเสียศีรษะของตน
อีกอย่าง ตัวนางยังมีความผิดอยู่ ต่อให้นางยินดีจะเดินทางไปช่วยฮูหยินของหนิงกั๋วกงซื่อจื่อ ก็สั่งเป็นจะต้องผ่านราชองครักษ์เหล่านี้
เป็นไปตามที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเอาไว้ เหล่าราชองครักษ์ไม่ยินยอม กล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะต้องปิดประตูอยู่ในจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือนตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิและไม่ให้เดินทางออกไปที่ใด
เฟิ่งชิงเฉินได้ยินการปฏิเสธจากผู้บัญชาการราชองครักษ์ นางไม่ได้โล่งอก แต่กลับรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น
ที่จริงนางอยากจะช่วยชีวิตคน นางไม่ต้องการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจของผู้มีอำนาจทั้งหลาย สถานการณ์ของฮูหยินหนิงก๋วกงซื่อจื่อบัดนี้เป็นอย่างไรไม่รู้ แต่นางก็ไม่ใช่หมอที่เก่งในเรื่องของนรีเวชวิทยา หากนางเดินทางไปก็ไม่แน่ใจว่าจะช่วยเหลือได้หรือไม่ อีกอย่างการช่วยเหลือคนหากทำไม่ดีอาจจะทำให้ต้องขุ่นเคืองใจก็ย่อมได้
หากว่านางเดินทางไปแล้วฮูหยินของหนิงกั๋วกงซื่อจื่อเกิดเรื่องขึ้นละก็ หนิงกั๋วกงซื่อจื่อคาดว่าคงจะเกลียดนางยิ่งนัก
เฮ้อ……การเป็นหมอนั้นยากยิ่ง การเป็นหมอที่จะรักษาตระกูลมั่งคั่งยากยิ่งกว่า
แม้จะกล่าวว่า หากไม่ช่วยเขา ความตายของฮูหยินคงมารออยู่ตรงหน้า แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ นางกล่าวขอโทษหนิงกั๋วกงซื่อจื่อว่า “ท่านซื่อจื่อ ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ วันนี้ชิงเฉินมีความผิดอยู่กับตัว ชิงเฉินไม่อาจทำสิ่งใดได้ ขอท่านซื่อจื่อโปรดให้อภัยด้วย”
นางรู้ดีว่าหมอผู้มีความสามารถมากมายในราชวงศ์ตงหลิง แต่การคลอดยาก อาการเช่นนี้หมอผู้ชายโดยมากคงไม่สะดวก ต่อให้สามารถช่วยชีวิตคนเอาไว้ได้ แต่สตรีนางนั้นก็คงจะแย่ในเรื่องชื่อเสียง
“คุณหนูเฟิ่ง ถือว่าข้าขอร้องได้หรือไม่ หากว่าไม่อาจช่วยเด็กได้ ได้โปรดช่วยภรรยาของข้าไว้ก็ยังดี คุณหนูเฟิ่ง ข้าไม่อาจอยู่ได้โดยไร้นาง……” หนิงกั๋วกงซื่อจื่อดวงตาแดงเรื่อ น้ำตาไหลรินจากดวงตา
ชายหนุ่มที่มีความเข้มแข็งกลับน้ำตาไหลรินในบัดนี้ อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉิน แม้แต่ราชองครักษ์ร่างใหญ่กำยำที่ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นเข้าก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
หนิงกั๋วกงและผู้หญิงของเขามีความสัมพันธ์รักใคร่อันดีเพียงใดคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี อย่าว่าแต่ตระกูลผู้สูงส่งอย่างจวน กั๋วกงเลย เพียงแค่เป็นขุนนางตำแหน่งต่ำต้อยก็มีภรรยาและอนุภรรยามากมาย ทว่ากั๋วกงซื่อจื่อกลับมีฮูหยินของเขาเพียงแค่คนเดียว ต่อให้แต่งงานกันมาถึงห้าปีนางก็ไม่ได้ตั้งครรภ์ขึ้น ทว่าหนิงกั๋วกงซื่อจื่อก็ไม่ยอมละทิ้งนางไปไหน
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดิ้นรนอยู่ในใจ ศีลธรรมของหมอทำให้นางไม่อาจยืนนิ่งดูดายได้ เพราะบางทีอาจจะทำให้สองชีวิตต้องสูญเสีย
แม้ว่ามือของนางทั้งสองข้างจะเปื้อนเลือด สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา แต่นางก็ไม่ได้เห็นว่าชีวิตของมนุษย์เป็นดุจดั่งใบหญ้า นางจะฆ่าเฉพาะคนที่สมควรตาย เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ป่วยนางเป็นหมอที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี
เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน หนิงกั๋วกงซื่อจื่อก็ได้เอ่ยขอร้องอ้อนวอนอีกครั้งว่า “คุณหนูเฟิ่ง ข้าขอร้องเถิด เพียงแค่ภรรยาของข้ามีชีวิตอยู่ เพียงแค่ช่วยนางได้ ท่านอยากให้ข้าทำสิ่งใดข้าล้วนยินดี”
หัวใจของเขามอบไปให้ใครคนหนึ่งแล้ว และจะไม่พรากจากกันอย่างแน่นอน
ฮูหยินของหนิงกั๋วกงซื่อจื่อเป็นสตรีที่มีบุญมากเหลือเกิน นางยินดีที่จะเห็นคนอื่นมีความสุขเช่นนี้
“ตกลง ข้าจะไป” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น และไม่สนใจต่อราชองครักษ์ที่เข้ามากีดขวางนาง นางคว้าม้ามาตัวหนึ่งแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังมัน “เหล่าทหารราชองครักษ์โปรดวางใจ ข้าจะไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน เพียงแค่ฮูหยินของหนิงกั๋วกงซื่อจื่อปลอดภัยดีแล้ว ข้าก็จะรีบกลับจวนอย่างเร็วรี่ ฝ่าบาทกล่าวว่าให้ข้ากักตัวอยู่ในจวนเพื่อคุณคิดไตร่ตรองเป็นเวลาหนึ่งเดือน นั่นคือนับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปต่างหาก บัดนี้ข้ายังไม่ได้เข้าไปในจวนเฟิ่งเสียด้วยซ้ำ ไม่นับว่าข้าขัดกับพระประสงค์ของฝ่าบาท”
หัวหน้าราชองครักษ์เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เข้าไปบังคับนาง แต่กล่าวว่า “พวกข้าจะเดินทางไปส่งคุณหนูเฟิ่งเอง” หากว่าองค์จักรพรรดิรู้เขาเรื่องที่คุณหนูเฟิ่งกลับจวนช้าเนื่องจากไปช่วยผู้คน คาดว่าเขาก็คงจะไม่ถูกลงโทษ
หนิงกั๋วกงมีหน้ามีตาต่อหน้าองค์จักรพรรดิอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าจะทำให้หนิงก๋วกงซื่อจื่อจึงต้องขุ่นเคืองใจ หากว่าฝ่าบาททรงลงโทษ นั่นก็เป็นเรื่องของหนิงกั๋วกง
“ขอบใจ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำท่าทางอ้อมค้อม นางรีบยกแส้ขึ้นแล้วบังคับม้ามุ่งหน้าไปยังค่ำคืนอันมืดมน
หากไปถึงเร็วก็อาจมีโอกาสมากขึ้น ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็ควรจะทำให้ดีที่สุด
หนิงกั๋วกงซื่อจื่อเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา เขารีบเข้าไปขอบคุณราชองครักษ์ทั้งหลายแล้วกระโดดขึ้นขี่ม้าติดตามเฟิ่งชิงเฉินกลับไปที่จวนหนิงกั๋วกงอย่างรวดเร็ว
ในจวนหนิงกั๋วกงมีไฟสว่างไสว เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในจวนก็พบเข้ากับจิ้นหยางโหวฮูหยิน เมื่อนางพบว่าเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาแล้ว จิ้นหยางโหวฮูหยินทำท่าทางราวกับว่าค้นพบแสงสว่าง “ชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ซินโหรวมีโอกาสรอดแล้ว”
“ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเวลามาเอ่ยทักทายกับจิ้นหยางโหวฮูหยิน นางส่งสัญญาณมือให้พาตนเข้าไปในห้องคลอด นางเดินเข้าไปพลางเอ่ยถามอาการของผู้ป่วย
“ย่ำแย่ทีเดียว ซื่อจื่อฮูหยินเดิมทีสภาพร่างกายก็อ่อนแอ ประกอบกับนางตั้งครรภ์ลูกแฝด บัดนี้น้ำคร่ำแทบจะแห้งอยู่แล้ว นางเองก็ไร้เรี่ยวแรง ไม่ว่าอย่างไรทารกก็ไม่คลอดออกมาสักที บัดนี้นางมีอาการเจ็บปวดอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” การที่สตรีคลอดบุตรกล่าวได้ว่าก้าวขาเข้าไปในประตูนรก จิ้นหยางโหวฮูหยินได้รับบาดเจ็บระหว่างการคลอดบุตร เป็นเวลาเนิ่นนานหลายปีนางก็ยังไม่ฟื้นตัว
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “มีเลือดไหลหรือไม่ ทารกในครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีเลือดดูเหมือนว่าทารกในครรภ์ยังมีลมหายใจ แต่ทว่าก็ค่อนข้างจะอันตรายเหลือเกิน”
“ข้าเข้าใจแล้ว จงสั่งให้คนรับใช้เตรียมน้ำสะอาดและสุราแรง นำเสื้อผ้าสะอาดมาให้ข้าหนึ่งชุด ข้าจะเปลี่ยนชุดใหม่” เมื่อครู่นางขี่ม้ามาอย่างว่องไว เสื้อผ้าล้วนแปดเปื้อน มองสถานการณ์ดูแล้วซื่อจื่อฮูหยินคงจะต้องผ่าตัดคลอด……
“ข้าจะให้คนไปเตรียมบัดเดี๋ยวนี้” ทันใดนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงพบว่ามีสตรีอายุราวสี่สิบปียืนอยู่ข้างๆ จิ้นหยางโหวฮูหยิน มองจากท่าทางการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นหนิงกั๋วกงฮูหยิน เฟิ่งชิงเฉินจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปกล่าวว่า “กั๋วกงฮูหยิน ชิงเฉินไม่ทันได้มอง เสียมารยาทไปหน่อย”
“คุณหนูเฟิ่งอย่าได้เกรงใจเลย ดึกดื่นเช่นนี้เชิญท่านมาที่นี่ จวนกั๋วกงของเราต่างหากที่เป็นผู้รบกวน” กั๋วกงฮูหยินเป็นสตรีที่จิตใจโอบอ้อมอารี ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดีด้วยไม่น้อย
การที่สามารถเลี้ยงดูบุตรชายให้เป็นผู้รักเดียวใจเดียวได้เช่นนั้น คาดว่าหนิงกั๋วกงฮูหยินคงไม่เลว
หากมีภรรยาที่ดี ก็จะมีบุตรที่ดีอีกถึงสามรุ่น การที่มีภรรยาดีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ส่วนเจิ้นกั๋วกงฮูหยินจบสิ้นก็เพราะว่าฮูหยินไร้การศึกษามารยาท
“ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว บัดนี้ช่วยเหลือคนเป็นสิ่งสำคัญกว่า ขออภัยและโปรดยกโทษเฟิ่งชิงเฉินที่ไร้มารยาทด้วย” เฟิ่งชิงเฉินทำสีหน้าเครียดแล้วหันไปพยักหน้าให้หนิงกั๋วกงฮูหยิน ก่อนจะเดินทางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดกับบ่าวรับใช้ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่านางมัดแขนเสื้อของตนเองเอาไว้ ชายกระโปรงถูกฉีกขาดนางมัดผมขึ้นเป็นเกลียว
“หากทำเช่นนี้จะสะดวกกว่า” เฟิ่งชิงเฉินอธิบายขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องคลอด
“ฮูหยิน ออกแรงเข้า! ออกแรงอีก!”
“ฮูหยิน อย่าได้หลับไป คุณชายน้อยยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลก ช่วยอดทนอีกสักหน่อยเถิด!”
น้ำเสียงของหมอตำแยค่อนข้างดัง ส่วนน้ำเสียงของผู้ป่วยเบาราวกับเสียงยุงแทบไม่ได้ยินเลย ไม่ต้องดูเฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าบัดนี้อาการของผู้เป็นแม่ย่ำแย่เพียงใด
ภายในห้องคลอดเต็มไปด้วยหมอตำแยและบ่าวรับใช้ซึ่งทำให้อากาศอุดอู้ อับชื้นและอบอ้าว ประกอบกับกลิ่นเลือดที่แผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้ห้องคลอดนี้ไม่แตกต่างอันใดกับคุกเลย
เฟิ่งชิงเฉินบิดเบือนใบหน้าไปทางอื่นด้วยความไม่พอใจ นี่เป็นสัญชาตญาณของหมอ
“ถอยไป” เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือไปออกแรงผลักคนด้านหน้า หมอตำแยและบ่าวรับใช้ตอนแรกไม่ยอมหลีกทางให้นาง โชคดีที่กั๋วกงฮูหยินสั่งให้บ่าวรับใช้ข้างกายเดินทางเข้ามาแล้วกล่าวว่า “นางคือคุณหนูเฟิ่ง ท่านซื่อจื่อเดินทางไปเชิญมาด้วยตนเอง เจ้าทุกคนจงฟังตามที่คุณหนูเฟิ่งจัดการ”
หมอตำแยและบ่าวรับใช้จึงได้รีบพยักหน้า ซื่อจื่อฮูหยินเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงวิกฤต บัดนี้เมื่อมีคนเข้ามารับช่วงต่อเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน มีใครเข้ามารับโทษแทนแล้ว
หมอตำแยคิดเช่นไรเฟิ่งชิงเฉินจะไม่รู้เชียวหรือ เพียงแต่นางไม่อยากจะไปใส่ใจ หลังจากที่ตรวจสอบดูรูม่านตาและอาการเต้นของหัวใจ เฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพียงแค่ยังมีลมหายใจอยู่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ใช่หมอสูติ แต่ความรู้พื้นฐานด้านสูติวิทยานางก็พอจะรู้บ้างเล็กน้อย หลังจากที่กำชับให้หมอตำแย ออกไปแล้ว นางก็ได้ทำการตรวจสอบช่องคลอดอีกครั้ง
แม้นปากมดลูกจะเปิดแล้วถึงสิบเซนติเมตร แต่ร่างกายของซื่อจื่อฮูหยินค่อนข้างเล็กและบอบบาง ประกอบกับเด็กตัวโตจนเกินไปทำให้ไม่อาจคลอดออกมาได้ สิ่งที่ทำให้ลำบากใจที่สุดนั่นก็คือในท้องนางมีลูกอยู่ถึงสองคน
“ฟู่……” เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังท้องที่ใหญ่โตจนน่าประหลาดใจของซื่อจื่อฮูหยิน นางคิดอยู่ในใจว่า “ซื่อจื่อฮูหยินกินมากเสียจนเกินไปก่อนที่จะคลอด นางคงจะได้รับอาหารบำรุงไม่น้อย ลูกในครรภ์ดูดซึมเข้าไปทำให้เด็กตัวโตกว่ามาตรฐานและยากที่จะคลอด”
การที่ทารกในครรภ์ตัวใหญ่เป็นอันตรายยิ่งสำหรับมารดา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงมารดาที่เดิมทีร่างกายบอบบาง ในเวลานี้นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผ่าท้อง เพียงแต่ซื่อจื่อฮูหยินยังหายใจด้วยท่าทางอ่อนรวย ไม่รู้ว่าร่างของนางจะรับได้หรือไม่
“พวกเจ้าจงออกไปก่อน” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือให้หมอตำแยและบ่าวรับใช้ทุกคนออกไป เหลือไว้เพียงบ่าวรับใช้ข้างกายของกั๋วกงฮูหยิน “จงไปถามฮูหยินของพวกเจ้าว่าจะปกป้องแม่หรือปกป้องลูก”
บัดนี้น้ำคร่ำแทบจะเหือดแห้งแล้ว การที่เลือกรักษาไว้ทั้งแม่และลูกเป็นเรื่องยากเหลือเกิน แต่ไม่ยากจนเกินไปหากจะรักษาชีวิตไว้เแค่ใครคนใดคนหนึ่ง
ปล่อยวาง ปล่อยวาง
หมอไม่อาจทำได้ทุกอย่าง
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ทำสีหน้าเย็นชาและนิ่งสงบ
สถานการณ์เช่นนี้ทุกคนล้วนเข้าใจดี การที่สามารถรักษาชีวิตใครคนใดคนหนึ่งเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว