นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 336 ครั้งแรก มาที่ห้องตอนกลางคืน
จักรพรรดิต้องการจะทำอะไรกันแน่ คงจะมีเพียงจักรพรรดิเองเท่านั้นที่รู้ ขันทีที่ออกมาต้อนรับหลี่ซุนก็ชัดเจนเลยว่าเป็นคนของฮองเฮา เขารู้ถึงเจตนาของจักรพรรดิ รู้ว่าจักรพรรดิจะกลับมาเมื่อไหร่ และจะไม่ให้คำตอบแก่หลี่ซุนแน่
ขันทีหัวเราะออกมาอย่างอวดดี นำนิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางมาบรรจบกัน “ธุระของฝ่าบาท พวกเราเป็นเพียงทาสรับใช้จะรู้ถึงจุดประสงค์ของฝ่าบาทได้อย่างไร ถ้าหากมีเรื่องก็ต้องไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่เรือนแยก ถ้าท่านหลี่มีเรื่องเร่งด่วนก็ต้องรีบไปทูลรายงานกับฝ่าบาทที่เรือนแยกหลีซาน คงจะเป็นการไม่ดีที่ต้องทำให้เสียเวลากิจการของชาติบ้านเมือง”
ขันทีเจาะจงไปที่คำว่า “กิจการของชาติบ้านเมือง” เพื่อตักเตือนหลี่ซุน ถ้าหากต้องไปที่เรือนแยกหลีซานเพื่อเรื่องเล็กๆอย่างเฟิ่งชิงเฉิน นั้นมีเพียงจะได้ความตายกลับมาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลี่ซุนตกตะลึงอยู่ที่เดิม ขันทีก็หัวเราะ “คิกคัก” หลังจากนั้นก็เดินออกไป
ที่เรือนแยกหลวงหลีซาน
จักรพรรดิกำลังอยู่ที่ห้องหนังสือ กำลังเขียนคำสั่งในบันทึกราชบัลลังก์ที่ส่งไปในวัง หลังจากเขียนออกคำสั่งเสร็จ ขันทีก็นำบันทึกราชบัลลังก์นั้นเก็บเข้าไปในหีบสีดำ ล็อกและตรวจสอบข้อผิดพลาดซ้ำอีกหลายครั้ง หลังจากนั้นจึงส่งให้กับองครักษ์ที่กำลังรออยู่
“บอกองค์รัชทายาทให้เร่งดำเนินการ อย่าให้เรื่องล่าช้า มีเรื่องที่เกี่ยวกับเจียงหนานให้รีบรายงานกับข้าในทันที” จักรพรรดิวางพู่กันลง และหันข้อมือที่ปวดเมื่อยมา ทันใดนั้นขันทีก็รีบก้าวออกมาข้างหน้าและช่วยจักรพรรดิลุกขึ้นยืน
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง” องครักษ์ยืนอยู่ที่กลางห้องโถง ถือกล่องเหล็กสีดำไว้ในมือทั้งสองข้าง คุกเข่าดังตุ้บ
จักรพรรดิโบกมือซ้าย แล้วองครักษ์ก็รีบออกไปทันที ขันทีที่นวดมือขวาให้กับจักรพรรดิเองก็ก้าวออกไปด้วย
ภายในห้องหนังสือ เหลือเพียงจักรพรรดิกับหัวหน้าขันที จักรพรรดิพิงที่บัลลังก์มังกร หลับตาลงทำสมาธิ ในห้องหนังสือก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเหมือนไม่มีใครอยู่ ผ่านไปเนิ่นนานจักรพรรดิถึงได้เอ่ยออกมา “จ้าวเต๋อ เจ้าคิดว่าเจ้าเก้านี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ข้ายิ่งเห็นยิ่งไม่เข้าใจ เขาไม่กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะต้องตายหรือ?”
ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนแปดต้นเดือนเก้า เหมาะแก่การชื่นชมใบเมเปิ้ล จักรพรรดิมาที่เรือนแยกหลวงนี้เป็นเพียงข้อแก้ตัว
เมื่อได้รับรู้ถึงข่าวที่เฟิ่งชิงเฉินป่วยจนแทบตาย จักรพรรดิตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้ทดสอบตงหลิงจิ่ว หรือเป็นการโจมตีตงหลิงจิ่วอย่างโหดเหี้ยม แต่ไม่คาดคิดว่าตงหลิงจิ่วกลับไม่ลงมืออะไรเลย ไม่เป็นกังวลเรื่องความเป็นความตายของเฟิ่งชิงเฉินเลยแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะคิดอะไรอยู่ก็ไม่อาจหนีไปจากการควบคุมของท่านได้ การทดสอบของท่านครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ตอนนี้เสด็จอาเก้าลงมือไปแล้วหรือ” จ้าวเต๋อกล่าวยกย่องจักรพรรดิในเวลาที่เหมาะสม
“ลงมือตอนนี้? น้องชายคนที่เก้าของข้าเป็นจิ้งจอก จะทำให้เขายอมลงมือได้ง่ายๆที่ไหนกันล่ะ คนที่ไม่มีแม่คอยสั่งสอน แต่ก็เป็นองค์ชายที่สามารถเติบโตขึ้นมาภายใต้สายตาของข้าได้ จะไม่ฉลาดหลักแหลมได้หรือ?” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่บนใบหน้าของจักรพรรดิก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
เขาเป็นราชา ราชาที่กษัตริย์ทั้งเก้าเคารพ บนโลกนี้ทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือของเขา
ขันทีหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท การที่เสด็จอาเก้าช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉินก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องง่ายๆไม่ยุ่งยาก เฟิ่งชิงเฉินนั้นเดิมก็ไม่ได้มีเรื่องที่ต้องกังวลในชีวิต แต่ในครั้งนี้นั้นแตกต่างออกไป เฟิ่งชิงเฉินที่มีสภาพแบบนั้น ถ้าหากยืดเวลาออกไปอีก ถ้าหากไม่เป็นไข้ตัวร้อนจนตาย ก็ต้องเป็นไข้จนต้องหมดสติไป
ถ้าหากว่าเสด็จอาเก้าไม่ลงมือ นั้นก็แสดงว่าเสด็จอาเก้านั้นไม่ได้มีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่เห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นเป้าซ้อมเท่านั้น ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสน หลังจากนี้หมากตัวนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แต่ถ้าหากว่าเสด็จอาเก้าเป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ ส่งหมอมาที่หน้าประตูโดยไม่สนใจคำสั่ง นั้นก็คือเป็นการฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกา มีโทษขั้นประหาร
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เสด็จอาเก้าก็แพ้ในเกมนี้แล้ว เสด็จอาเก้าไม่ช่วย เป้าซ้อมที่ถูกเอามาใช้งานอย่างหนักตัวนี้ก็จะไร้ประโยชน์แล้ว เสด็จอาเก้าช่วย ก็เป็นการขัดพระราชกฤษฎีกา ทุกอย่างนั้นล้วนอยู่ในการควบคุมของท่านแล้ว”
“เจ้าเฒ่าคนนี้ พูดมีเหตุผล เช่นนั้นซุปเม็ดบัวนี้ข้าจะยกให้เจ้าเป็นรางวัล” จักรพรรดิหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน สายตากวาดไปที่ซุปบนโต๊ะเตี้ย กล่าวขึ้นมาราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “คืนนี้ข้าจะไปค้างกับนางสนมชู”
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงนั่น?” ขันทีอาวุโสจ้าวเต๋อถามอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่เซี่ยกุ้ยเฟยมาถึงที่เรือนแยกก็บอกว่าไม่สบาย นั้นแสดงว่าต้องการให้จักรพรรดิพักอยู่กับนางที่นั่น
นางสนมทั้งสี่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะให้ความเคารพกับกุ้ยเฟย วันแรกที่มาถึงจักรพรรดิจะไปพักที่เรือนของใคร ก็ถือเป็นการให้เกียรติกับคนนั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการตบหน้าเซี่ยกุ้ยเฟย
“อืม ช่วงนี้ตระกูลเซี่ยมีความสุขกันมาก คิดว่าข้าตาบอดหรือ” สีหน้าของจักรพรรดิซีดลง นึกถึงเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ในจิตใจก็รู้สึกไม่ค่อยดี
ความรู้สึกที่ข้าราชบริพารไม่อยู่ในการควบคุมของตนเอง นั้นเป็นสิ่งที่แย่จริงๆ ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยต้องการรวมกัน จักรพรรดิจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกิจการบ้านเมืองให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
ถ้าหากกิจการภายในบ้านเมืองไม่มั่นคง จะส่งทหารออกไปสู้กับอีกสามเมืองที่เหลือได้อย่างไร
จักรพรรดิใช้เวลามากกว่ายี่สิบปีเพื่อทำแผนการเหล่านี้อย่างช้าๆ กิจการบ้านเมืองค่อยๆเข้ามาอยู่ในกำมือ ถ้าหากได้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้สำเร็จขึ้น คงไม่อาจเก็บความรู้สึกที่มีเอาไว้ได้
จ้าวเต๋อมีความต้องการที่จะพูดโน้มน้าว แต่คำมากมายเหล่านั้นติดอยู่ที่ปาก
ระเบิดเทียนเหล่ยสิ่งนี้กระตุ้นความทะเยอทะยานของจักรพรรดิถึงที่สุด จักรพรรดินั้นอายุไม่น้อยแล้ว เขาต้องการที่จะรวมแผ่นดินจิ่วโจวในช่วงชีวิตของเขา และเขาไม่ต้องการการชักจูงจากใคร
……
เมื่อเริ่มตกกลางคืน เฟิ่งชิงเฉินเป็นไข้มาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว สองสาวใช้คิดหาทุกหนทางแต่ไข้ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นก็ไม่ลดลงเลย และแม้แต่นางเองก็ยังไม่ได้สติ ในเวลาหนึ่งวันนี้สองสาวใช้ก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
หลังจากที่ราชองครักษ์ปฏิเสธในธุระของหลี่ซุนไปแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะยุ่งเรื่องการดูแลเฟิ่งชิงเฉินมากเกินไป และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหา แบบนี้ทำให้คนของจวนเฟิ่งลำบากแล้ว เพราะนอกจากอาหารที่ใช้กินในทุกๆวันแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้ส่งอะไรจากข้างนอกเข้ามาอีกเลย และไม่มีข่าวของพวกเขาออกมาเลย
นอกจากจักรพรรดิ ฮองเฮา ลั่วอ๋องและเสด็จอาเก้าแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินป่วย และยังป่วยหนักอีกด้วย
ที่ห้องเก็บเสบียงของจวนเฟิ่งนั้นมีของอย่างโสมและรังนกอยู่ สาวใช้นั้นตัดโสมเป็นชิ้นๆให้กับเฟิ่งชิงเฉิน เพราะไม่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นไข้หนักมากยิ่งขึ้น และป้อนรังนกให้นางแต่นางก็คายออกมา
สาวใช้ทั้งสองถึงแม้ว่าจะพอรู้เรื่องการรักษาง่ายๆอยู่บ้าง แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงที่จะทำเรื่องใดให้สำเร็จโดยปราศจากสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหมอ แต่ที่จวนเฟิ่งนั้นไม่มีแม้แต่ยารักษาประจำวัน นอกจากนี้ สถานการณ์ของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ก็ดูไม่ใช่อาการไข้ธรรมดา สาวใช้ทั้งสองเองก็ไม่กล้าจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า
“ทงจือ ข้าจะอยู่เฝ้าครึ่งคืนแรก เจ้าเฝ้าครึ่งคืนหลัง พวกเราต้องสลับการพักผ่อน ไม่เช่นนั้นพวกเราคงจะล้มกันไปก่อน ทั้งๆที่คุณหนูยังไม่ได้สติ” สาวใช้ทั้งสองของเฟิ่งชิงเฉิน ในตอนที่อยู่จวนหวัง คนหนึ่งชื่อทงเหยาอีกคนชื่อทงจือ
ด้วยเหตุที่ต้องมาที่จวนเฟิ่ง และนับถือเฟิ่งชิงเป็นเจ้านาย เฟิ่งชิงเฉินนั้นต้องการตั้งชื่อให้พวกนาง แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินนั้นจำเรื่องนี้ไม่ได้เลย จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด
สาวใช้ทั้งสองเคยได้ถามเฟิ่งชิงเฉินถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เฟิ่งชิงเฉินบอกว่าขอคิดดูก่อน จนทำให้นางลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ทงจือไปนอนแล้ว ในห้องของเฟิ่งชิงเฉินจึงเหลือเพียงทงเหยาเพียงคนเดียว องครักษ์เดิมที่อยู่ในจวนก็ถูกราชองครักษ์พาไปเรือนนอกแล้ว ภายในเรือนชั้นใน นอกจากพวกนางทั้งสามคน ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว
ทงเหยาที่เหนื่อยมาแล้วทั้งวัน เป็นกังวลมาทั้งวัน ในตอนที่จะเช็ดตัวให้เฟิ่งชิงเฉิน หลายครั้งที่นางไม่อาจต้านทานความง่วงได้ จนล้มไปด้านหน้า ทงเหยาหยิกที่ขาของตัวเองอย่างแรงหนึ่งครั้ง ภายใต้ความเจ็บปวดนั้น ทงเหยาก็ได้ตื่นตัวขึ้นมา ในที่สุดจึงได้สติกลับมาบ้าง
เมื่อเห็นว่าน้ำร้อนแล้ว ทงเหยาหยิบอ่างเพื่อเตรียมไปเปลี่ยนน้ำเย็นมา แต่ไม่คาดคิดว่าตอนที่นางพึ่งจะหยิบอ่างขึ้นมา ก็ถูกความง่วงโจมตี จู่ๆทงเหยาก็ล้มลงไปบนเก้าอี้ แล้วผล็อยหลับไปในทันที
“ในที่สุดก็เจอโอกาสสักที” ที่มุมมืด เสื้อผ้าสีดำเงินของหลานจิ่วชิงก็เดินออกมา เขาปิดประตูเบาๆ หันกลับมาเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่เสื้อผ้าถูกดึงออก และเปิดเผยผิวกายเป็นส่วนมาก ใบหูของเขาก็แดงขึ้นมา
“ไม่คิดเลยว่าข้าเองก็มีวันที่ต้องมากลายเป็นพวกโรคจิตด้วย แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องพวกนี้ การช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้ายังยืดเยื้อเวลานานกว่านี้เฟิ่งชิงเฉินต้องตายแน่ๆ”
หลานจิ่วชิงก้าวออกมาข้างหน้า นั่งลงที่ข้างๆเฟิ่งชิงเฉิน เขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่สีหน้าแดงก่ำและหายใจอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี……