นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 349 ข่าวลือ สามารถทำร้ายคนและสามารถช่วยคนได้เช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นผู้หญิงที่อวดดี และไม่ใช่ผู้หญิงที่โง่ นางปฏิเสธความช่วยเหลือจากเสด็จอาเก้า และบอกว่านางจะแก้แค้นด้วยตัวนางเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะแก้แค้นด้วยตัวเองเพียงคนเดียว เพราะการทำเช่นนี้มันโง่จนเกินไป
แรงของคนเพียงผู้เดียวนั้นมันน้อยเกินไป นางมีทรัพยากรอยู่ในมือ เหตุใดจึงไม่ใช้มัน ก่อนหน้านี้นางอ้างตลอดว่าตนป่วยหนักและไม่ฟื้นสักที แต่เมื่อมีไฟไหม้ที่จวนเฟิ่ง นางกลับวิ่งออกมาจากกองไฟได้ หากว่าไม่มีเหตุผลที่ดี เช่นนั้นถือเป็นโทษหลอกลวงจักรพรรค และการหลอกลวงจักรพรรคนั้นต้องถูกประหารชีวิต
หลังจากได้รับคำตอบรับที่แน่ชัดของซุนเจิ้งเต้าแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เริ่มแก้ไขวิกฤติที่อยู่ตรงหน้า ในขณะเดียวกันนางก็วางแผนไปด้วย
ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากกาวิพากษ์วิจารณ์ เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจถึงพลังของข่าวลือเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าข่าวลือนั้นเป็นเครื่องมือที่ดี และเป็นผลดีต่อตนด้วย เฟิ่งชิงเฉินเร่งเตรียมกระดาษและพู่กัน เขียนจดหมายออกมาสองฉบับ ให้ตระกูลเซี่ยหนึ่งฉบับ ตระกูลหวังหนึ่งฉบับ
ในที่สุดตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยจะได้มารวมพลังกันอีกครั้งแล้ว!
หลังจากผ่านช่วงการฝึกฝนในช่วงที่ผ่านมา เฟิ่งชิงเฉินเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันออกมาได้ดียิ่งขึ้น ซุนเจิ้งเต้ายืนอยู่ข้างๆ มองดูสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการสื่อในจดหมาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
เฟิ่งชิงเฉินได้ขอให้ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยร่วมมือกัน ปล่อยข่าวเรื่ององค์หญิงเหยาหวาและองค์ชายชุนหยู จากนั้นขอให้ส่งคนไปกระจายข่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่ถูกปกป้องโดยเทพมังกร และเมื่อเทพมังกรปรากฏตัว เฟิ่งชิงเฉินก็จะหายดี
ไม่เพียงเท่านี้ แต่ยังต้องเชิญพระผู้ทรงคุณธรรมที่มีชื่อเสียงออกมากล่าวว่าไฟแห่งสวรรค์เผาจวนเฟิ่งไป เผาวิญญาณชั่วร้ายที่มีเจตนาฆ่าเฟิ่งชิงเฉินไป และได้ทำนายเอาไว้ว่าภายในสิบวันนี้ ไฟแห่งสวรรค์จะปรากฏอีกครั้ง คราวนี้ไฟจะเผาไหม้ในกลางวัน และจะเผาไหม้ร่างที่แท้จริงของผู้กระทำความผิด
“เจ้าไม่กลัวจักรพรรดิลงโทษหรือ? และคำทำนายที่ว่านี้ จะเป็นจริงหรือ?” ซุน เจิ้งเต้าชื่นชมเฟิ่งชิงเฉินอย่างมาก นางสามารถคิดหาวิธีแก้ดังกล่าวออกมาเพื่ออธิบายว่าตนหายดีจากอาการป่วยได้อย่างไร แต่วิธีนี้เสี่ยงมากจนเกินไป หากว่าภายในสิบวันนั้น “ไฟสวรรค์” ที่นางกล่าวไม่ปรากฏจะทำอย่างไร?
เป่าให้แห้ง และเก็บกลับไป ” เจ้ามิต้องกังวล คนที่จะต้องขายหน้าคือราชวงศ์ซีหลิง จักรพรรดิจะไม่สนใจอย่างแน่นอน อีกอย่างท่านไม่มีเวลาว่างไปยุ่งเรื่องเหล่านี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้หลี่เซี่ยงตายโดยไม่ดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง หลี่เซี่ยงเป็นคนสำคัญของฝ่าบาท การตายของเขาจะต้องเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น มิเช่นนั้น จักรพรรดิจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆอย่างแน่นอน
“เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือ?” ซุนเจิ้งเต้ายังคงกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจแล้ว และซุนเจิ้งเต้าไม่ได้เกลี้ยกล่อมนางต่อ
ยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ ข้าคิดมาตลอดว่าจะตอบโต้กลับไปอย่างไร นี่เป็นโอกาส หากพวกเขาเผาข้าจนตายจริง ๆ พวกเขาก็โชคดีไป แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ตาย ในเมื่อข้ายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นหายนะของพวกเขาก็จะมาถึงแล้ว” เฟิ่งชิงเฉิน
“ใต้เท้าซุน ข้าไม่ชอบทะเลาะกับใคร ข้าเกลียดปัญหา ตราบใดที่มันไม่กระทบกระเทือนจิตใจ ข้าก็สามารถเพิกเฉยต่อมันได้ แต่ครั้งนี้พวกเขาได้เข้ามาท้าทายกับขีดเส้นตายของข้า
หลานชายหลวงข้าไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นก็เอาหลี่เซี่ยงออกมาเชือกไก่ให้ลิงดู ข้าต้องการให้คนที่วางแผนต่อต้านข้าอยู่เบื้องหลังได้ทราบว่า รังแกข้าได้ แต่พวกเขาจะต้องมั่นใจว่าจะไม่มีวันที่พวกเขาจะจบในมือข้า” หลี่เซี่ยงไม่มีรากเหง้า ไม่มีใครสามารถยืนหยัดเพื่อเขาได้หลังเขาตาย นอกจากความโกรธของจักรพรรดิเท่านั้น ฉะนั้นเฟิ่งชิงเฉินไม่กังวลเลย
ฆ่าคนก็จะต้องทำอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง นางมีพันวิธีที่จะทำให้คนเป็นๆ ตายจากอุบัติเหตุ
“จดหมายทั้งสองฉบับนี้ ข้าจะให้ซือสิงเป็นคนไปส่งด้วยตนเอง” ซุนเจิ้งเต้ารับจดหมายมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่ก้าวเดียว หากอีกฝ่ายได้โอกาสที่ดีกว่า และกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินทำผิดเรื่องหลอกลวงจักรพรรดิ เช่นนั้นจะถึงวันตายของเฟิ่งชิงเฉินทันที
จะต้องจู่โจมก่อนจึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ เวลานี้ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด
“เดี๋ยวก่อน” เฟิ่งชิงเฉินหยิบปากกาขึ้นมาและเขียนต่อ และปิดผนึกจดหมายถึงตระกูลหวัง “จดหมายนี้ต้องส่งมอบให้กับลูกชายคนโตของตระกูลหวังกับมือเท่านั้น”
“ได้เลย” ซุนเจิ้งเต้าไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเขียนอะไรลงไป แต่ปู้จิงหยุนและหลานจิ่วชิงมองเห็นอย่างชัดเจน
เฟิ่งชิงเฉินน่าทึ่งมาก นางใช้ประโยชน์จากเด็กในครรภ์ของกุ้ยเฟยไปด้วย เด็กคนนี้ช่างเลอค่าเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิดมาดูโลกก็ถูกคนมากมายหมายปองแล้ว
“ข้าอยากพบซูเหวินชิง เจ้าส่งคนไปเชิญเขามา แล้วก็ช่วยข้าหาบ้านที่อยู่นอกเมืองสักหลัง ยิ่งกันดารยิ่งดี” นางกำลังจะเริ่มลงมือทำอาวุธที่ฆ่าคน
“ได้เลย ข้าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเที่ยง” ซุนเจิ้งเต้าตอบรับ ท่าทีของเขาดูเหมือนลูกน้องที่ซื่อสัตย์ ซุนเจิ้งเต้าไม่คิดว่ามันมีอะไร และเฟิ่งชิงเฉินเองก็ดูไม่รู้สึกอึดอัด ทำเอาชายทั้งสองที่อยู่บนหลังคามึนงงอย่างมาก
“ซุนเจิ้งเต้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เหตุใดข้าจึงอ่านไม่ออก” ซุนเจิ้งเต้าเพิ่งออกไป หลานจิ่วชิงและปู้จิงหยุนก็ไปเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง พวกเขาจึงไม่รู้จะรอดูกระไร
“เขาอาจจะเป็นผู้ติดตามราชวงศ์เฟิ่งหลีที่ซื่อสัตย์อย่างมาก” หลานจิ่วชิงหลบซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง ซ่อนร่างกายของตนเอาไว้ เขาคุ้นชินกับการอยู่ในที่มืดโดยไม่ให้ใครเห็นแล้ว
“ทำไมถึงมีคนรอดพ้นเยอะเช่นนี้ ข้าบอกแล้วว่าคนในพระราชวังทำงานไม่ได้เรื่อง” ปู้จิงหยุนหาโอกาสต่อว่าพูดอย่างประชดประชัน
หลานจิ่วชิงจ้องไปที่ปู้จิงหยุนด้วยแววตาที่โกรธเคือง ตระกูลหลานและตระกูลเฟิ่งต่างก็ยังไม่จบสิ้น เช่นนั้นผู้ติดตามของพวกเขาจะตายหมดได้อย่างไร หลายจิ่วชิงไม่อยากจะสนใจปู้จิงหยุน เงาร่างของเขาเดินไปทางฝั่งตรงข้าม
“จิ่วชิง เจ้าจะไปไหน เจ้าจะกลับไปมิใช่หรือ?” ปู้จิงหยุนงุนงงและเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือทางออกจากเมืองหลวง จิ่วชิงเจ้าจะออกเมืองไปเพื่อการใด”
“วิหารหวงเจวี๋ย” ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขาส่งเสียงดังมากจน หลานจิ่วชิงต้องพูดสามคำเพื่อส่งเขาไป เขาค่อยๆตามหลานจิ่วชิงไป มองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา จู่ๆก็นึกถึง “จิ่วชิง เจ้าไปวิหารหวงเจวี๋ยคงมิได้เพราะจะไปหาชายหัวโล้นแก่ใช่หรือไม่?”
“แล้วอย่างไร” หลานจิ่วชิงหยุดและเหลือบมองปู้จิงหยุน ราวกับกำลังถามว่ามันแปลกหรืออย่างไร?
“อย่าบอกนะว่า เจ้าไปหาชายหัวล้านคนนั้นเพื่อมาช่วยเฟิ่งชิงเฉิน” ปู้จิงหยุนทำท่าทีราวกับว่าเขารู้ทุกอย่าง หลานจิ่วชิงไม่สนใจนาง เขาเร่งวิ่งออกนอกเมืองไป ปู้จิงหยุนรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก
“จิ่วชิง เห็นได้ชัดว่านางไม่ยอมรับความหวังดีของเจ้า แล้วเจ้าจะพยายามเข้าไปยุ่งเพื่อกระไร? อีกอย่างเจ้าทำเพื่อนางมากเช่นนี้แล้วอย่างไร นางไม่รู้ว่าเจ้าทำเสียหน่อย เจ้าทำไปก็เสียเปล่า หากเจ้าเอาความตั้งใจนี้ใช้กับเป่าเอ๋อ เป่าเอ๋อก็คงไม่โกรธจนเมินเฉยใส่เจ้า”
“เป่าเอ๋อ นางเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก นางไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้” เพราะเขาคือปู้จิงหยุน มิเช่นนั้นหลานจิ่วชิงไม่อยากจะอธิบายกระไรหรอก
ไม่รู้เพราะเหตุใด ปู้จิงหยุนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่แล้วเขาก็นึกถึงตัวตนของทั้งสองและปู้จิงหยุนก็กล่าวอย่างกังวลว่า ” จิ่วชิง เป่าเอ๋อไม่ได้ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เช่นกัน ข้างกายของคนตระกูลหลานไม่เคยมีหญิงสาวของตระกูลเฟิ่งหลีมายืน เมื่อเรากลับมาเป็นแคว้นอีกครั้ง หากว่าเฟิ่งชิงเฉินยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นนางจะเป็นเฟิ่งหลีอ๋องที่ทรงเกียรติอย่างหาที่เปรียบมิได้ นางจะไม่มีวันเป็นผู้หญิงของเจ้า จิ่วชิง……”
หลานจิ่วชิงหยุดลงครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้พูดอะไร…
กว่าจะกลับมาเป็นแคว้น ระยะทางยังอีกไกล!
เขาพยายามอยู่ตลอด!
ผู้หญิงในตระกูลเฟิ่งหลีไม่มีทางยืนข้างกายจักรพรรดิตระกูลหลานอย่างแน่นอน แต่อ๋องเฟิ่งหลีทำได้!