นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 351 จูบ กดเจ้าให้ลงมาอยู่ภายใต้ร่างกาย
เป็นการฆ่าคนไม่ผิดแน่ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ใช่คนงี่เง่าถึงขนาดจะใช้กระจกในการฆ่า ถึงแม้ว่าสิ่งนี้ก็สามารถใช้ฆ่าคนได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่แอบแฝงอยู่มาก เรื่องที่นางไปหาซูเหวินชิงเพื่อขอให้ทำกระจกให้ก็ไม่ใช่ความลับ ใครที่สนใจก็สามารถรับรู้ได้แน่นอน นางต้องการฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้คิดอยากจะชักภัยเข้าหาตัว
การฆ่าคนของนางต้องวางแผนอย่างลับๆ สิ่งของนางได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว เหลือเพียงแค่รอให้โอกาสมาถึง
ตกกลางคืน เฟิ่งชิงเฉินที่ใส่ชุดสีดำทั้งตัวเดินออกมาจากจวนซุน และได้มาถึงยังสถานที่ที่ได้นัดเอาไว้กับเซี่ยหวงกุ้ยเฟย หลังจากที่ใช้รหัสลับเพื่อยืนยันตัวตนแล้ว นางก็ขึ้นไปบนรถม้า เตรียมที่จะแอบเข้าไปในวังผ่านเส้นทางลัด
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หลังจากที่ได้ขึ้นมาบนรถม้า เฟิ่งชิงเฉินก็พบว่าจู่ๆในรถม้าคันนี้ก็มีคนอยู่ เฟิ่งชิงเฉินตกใจแต่นั่งลงไปทันทีทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
นางไม่ใช่คุณหนูที่ไม่เคยมีประสบการณ์ การที่พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ การเอะอะโวยวายนั้นไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ถ้าหากอีกฝ่ายต้องการฆ่านาง ก็คงลงมือไปตั้งนานแล้ว
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมาที่นี่เพราะอะไร เขาเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมในรถม้าและไม่ขยับตัวใดๆ เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ด้วยแสงของดวงจันทร์ ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร
“เสด็จอาเก้า?” เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงความเป็นไปได้เป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็ไม่มีเลยสักอันที่คนในรถม้าคันนี้จะเป็นเสด็จอาเก้า เรื่องนี้ทำให้นางตกมากจริงๆ
นางกับเซี่ยหวงกุ้ยเฟยเตรียมการนี้เรื่องด้วยกันอย่างลับๆ แต่จู่ๆก็ถูกเสด็จอาเก้ารับรู้ได้ นี่มันหมายความว่าอะไร? นี่หมายความว่าคนที่อยู่ข้างกายของเซี่ยหวงกุ้ยเฟยหรือคนที่อยู่ข้างกายของนางนั้นเป็นคนที่เสด็จอาเก้าส่งมาก่อนแล้ว ทุกๆการกระทำของพวกนางล้วนตกอยู่ภายใต้สายตาของเสด็จอาเก้า
แค่คิด เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกกลัวแล้ว
นางไม่เคยประเมินคนสมัยก่อนต่ำไป ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นผู้ข้ามเวลาตัวน้อยที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีปัจจัยภายนอกอื่นๆ นางใช้ชีวิตในทุกๆวันและรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
แต่เสด็จอาเก้าคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ชู่!” เสด็จอาเก้ายื่นนิ้วชี้ขวาออกมา เขาไม่ได้วางลงบนริมฝีปากของตนเอง แต่เอนตัวไปข้างหน้าแล้ววางลงบนริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉิน
“ไม่ต้องเป็นกังวล นอกจากตัวข้าแล้วไม่มีบุคคลที่สามที่รู้เรื่องนี้” คนที่รู้เรื่องนี้ต่างถูกเขากวาดล้างไปหมดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินคิดจริงๆหรือว่าเพียงอาศัยแค่นางกับตระกูลหวังเซี่ยทั้งสอง จะสามารถจัดการเรื่องนี้อย่างไร้ร่องรอยได้ จะสามารถแอบเข้าไปในวังอย่างไร้ร่องรอยได้?
ถ้าพระราชวังเข้าไปได้ง่ายๆเช่นนั้น จักรพรรดิคงจะตายไปตั้งนานแล้ว
เห้อ……เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ
ริมฝีปากที่อบอุ่น นิ้วที่ร้อน ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร แต่ตอนนี้……เฟิ่งชิงเฉินที่เปิดปากขึ้นเพื่อจะพูด แต่ไม่คาดคิดว่าปลายลิ้นของนางจะเลื่อนผ่านนิ้วของเสด็จอาเก้า ทั้งสองตกตะลึงจนค้างไปพร้อมๆกัน เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต
ความรู้สึกชาวาบขึ้นมาจากเท้าของนาง เฟิ่งชิงเฉินมองดูใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงกันข้าม และในตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินถึงจะคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านมาที่นี่ทำไม?
เสด็จอาเก้าไม่ได้ตอบ นัยน์ตาสีดำของเขาฉายแสงที่ไม่อาจคาดเดาได้ เขาเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่ปกติคนหนึ่ง ถึงแม้จะรักสะอาดและไม่ชอบให้ผู้หญิงแตะต้อง แต่เขาไม่รังเกียจการสัมผัสจากเฟิ่งชิงเฉิน
ภายใต้การกระตุ้นของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้ารู้สึกเพียงปากที่แห้ง ในใจราวกับมีไฟลุกไหม้ขึ้นมา ในสมองมีความคิดที่ไม่หวั่นไหวอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือทำให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ภายใต้ร่างของตนเอง
อะแฮ่ม……ความมืดของราตรีเป็นสิ่งที่ปิดบังได้ดีที่สุด เสด็จอาเก้ากะพริบตาเล็กน้อยด้วยความลำบากใจ และระงับความคิดที่ค่อนข้างจะสกปรกโสมมนี้เอาไว้
ที่จริงแล้ว ตอนที่ลิ้นสีชมพูของเฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนผ่านนิ้วมือของเขา เสด็จอาเก้าได้ตัดสินใจที่จะทำสิ่งสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือโอบกอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ในอ้อมแขน และจูบลงที่ปากสีแดงนั้นให้ดี
ไม่สามารถที่จะกดนางให้มาอยู่ภายใต้ร่างกายได้ เช่นนั้นก็ลิ้มรสความหวานกันก่อนสักหน่อยเถอะ เสด็จอาเก้าคิดเช่นนี้และเขาก็ทำตาม
รถม้านั้นเล็กมาก เพียงแค่เสด็จอาเก้าเอื้อมมือออกไป เฟิ่งชิงเฉินก็ตกมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าจะทำอะไร นางจึงตอบโต้กลับไปตามสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตามคนที่นางเผชิญอยู่คือตงหลิงจิ่ว
ข้อศอกของเฟิ่งชิงเฉินตกไปอยู่ในมือของเสด็จอาเก้าพอดี เมื่อจะยกขาขึ้นเตะก็ถูกขาของเสด็จอาเก้ากดทับไว้ ร่างทั้งร่างตกมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางที่คลุมเครืออย่างยิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาที่เร่าร้อนของผู้ชายคนนี้
“เสด็จอาเก้า ปล่อย ท่านกำลังดูถูกข้าอยู่นะ” เฟิ่งชิงเฉินทั้งอายทั้งโกรธ ไม่ว่าผู้ชายคนนี้ตั้งใจจะทำอะไร นางก็ไม่ต้องการที่จะผูกสัมพันธ์กับคนที่เหนือกว่า พอนางเตรียมที่จะปล่อยวางความสัมพันธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะกลับมาหยอกล้อกับนางทุกครั้ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน นี่ไม่ใช่ยุคที่ผู้ชายและผู้หญิงจะทำอะไรตามอำเภอใจกันได้ก่อนแต่ง ในยุคสมัยนี้ก่อนงานแต่งทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ไม่สามารถแม้แต่จะเจอหน้ากันได้ การกระทำแบบนี้ของเสด็จอาเก้านั้นเป็นการไม่ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติกับนางเป็นเหมือนคนทั่วๆไปมาตลอดไม่ใช่หรือ ทำไมหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ผู้ชายคนนี้ถึงได้เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน คอยที่จะลวนลามนางอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส
เฟิ่งชิงเฉินยิ่งคิดยิ่งโกรธ นางไม่เข้าใจว่าในหัวของเสด็จอาเก้าแท้ที่จริงแล้วคิดอะไรอยู่กันแน่ ความคลุมเครือแบบนี้ทำร้ายจิตใจกันได้มากจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทีของเฟิ่งชิงเฉินที่เหมือนถูกคนรังแก เสด็จอาเก้าก็พบว่าจิตใจที่แข็งกร้าวของเขาได้อ่อนลง และล้มเลิกแผนการที่จะทิ้งรอยจูบให้แก่หญิงที่งดงาม เพียงแค่กอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้และไม่มีอาการกระสับกระส่ายใดๆ
ไม่ใช่ว่าเสด็จอาเก้าไม่ต้องการ แต่ว่าวันข้างหน้าก็ยังอีกยาวไกล อย่างไรก็มีโอกาสในอนาคตอีก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องกดผู้หญิงคนนี้ให้มาอยู่ภายใต้ร่างของเขาให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่การจูบเพียงครั้งเดียว แต่ยังจะครอบครองผู้หญิงคนนี้อย่างโหดเหี้ยม และผูกมัดนางเอาไว้ข้างกายของตนเองตลอดไป
“อย่าขยับ ข้าจะไม่ทำอะไรวุ่นวาย แค่อยากกอดเจ้าเอาไว้ ข้างนอกคือคนของข้า เจ้าไม่ต้องกังวล” กอดเอาไว้แบบนี้ ข้าถึงจะแน่ใจได้ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร เจ้าคงไม่มีทางรู้หรอกว่าข้ากลัวแค่ไหน เมื่อข้าออกมาจากวังแล้วได้ข่าวว่าจวนเฟิ่งถูกไฟไหม้และเจ้าก็ติดอยู่ในกองเพลิง
ข้าคิดว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของข้า แต่ข้าลืมไปว่าผู้คนและหัวใจของคนนั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
ไฟไหม้จวนเฟิ่งในครั้งนั้นทำให้ข้าเข้าใจว่า ข้าไม่สามารถที่จะมองดูเจ้าเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นโดยไม่ลงมือทำอะไร เมื่อได้ยินว่าเจ้ายังไม่ออกมาจากกองเปลวไฟ ตอนนั้นเองหัวใจของข้าก็ได้หยุดเต้นลง
ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบขึ้นม้ามุ่งตรงไปยังจวนเฟิ่ง ข้าบอกกับตัวเองว่าให้เจ้ารอข้าก่อน รอให้ข้าไปช่วยเจ้า แต่เมื่อข้าไปถึงที่จวนเฟิ่ง ข้าได้พบเห็นอะไร?
เมื่อคิดถึงภาพของเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงที่โอบกอดกัน บนร่างของเสด็จอาเก้าก็มีความหึงหวงที่แรงกล้าพุ่งออกมา แทบอยากจะฆ่าเด็กของตระกูลหวังคนนั้นให้ตาย
น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉลาดเหลือล้นก็ต้องมีด้านใดด้านหนึ่งที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย นางไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเสด็จอาเก้า ไม่เพียงแค่นั้นยังพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ข้าไม่ใช่เมียน้อยของจวนท่าน”
“ที่จวนของข้าไม่มีเมียน้อย” เอาล่ะ ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินที่โง่ แต่ในความเป็นจริงแล้วอารมณ์ของเสด็จอาเก้านั้นล้ำลึกจนเกินไป และด้วยการที่มีคนนอกอยู่ด้วยนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแสดงออกถึงความคิดทั้งหมดที่มีอยู่ในใจของเขา
การอบรมสั่งสอนที่เขาได้รับมาคือการไม่แสดงออกทางอารมณ์ เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เขาจึงไม่รู้วิธีการที่จะปลดปล่อยอารมณ์ออกมา
เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดไม่จา แต่ที่มุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย และร่างกายของนางก็ค่อยๆอ่อนลง ไม่เพียงแค่นั้น นางยังปรับตัวไปยังตำแหน่งที่ค่อนข้างสบายอย่างระมัดระวัง ทำเหมือนเสด็จอาเก้าเป็นหมอนรูปมนุษย์ไปแล้ว
การดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์คงไม่ดีกว่าการหาความสุขอย่างเพลิดเพลิน ผู้ชายคนนี้มองดูน่าเกรงขาม แต่ในอ้อมแขนของเขานั้นช่างอบอุ่น ทำให้นางหวนคิดถึง แต่น่าเสียดายที่กลิ่นไผ่หอมที่สง่างามบนตัวของเสด็จอาเก้านั้นได้หายไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินนั้นชอบกลิ่นไผ่หอมอ่อนๆบนตัวของเสด็จอาเก้ามากที่สุด ทุกครั้งที่ได้กลิ่นไผ่หอมนั่น นางจะรู้สึกว่าเสด็จอาเก้านั้นอยู่เคียงข้างนาง แม้ว่าจะเอื้อมมือไปสัมผัสไม่ถึง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่นางไม่สามารถสร้างสัมพันธ์ด้วยกันได้……
หลังจากผ่านมาหลายปี ในตอนนี้ที่เสด็จอาเก้ารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นคิดอะไรอยู่ เขาก็ได้มีความคิดที่ซื่อตรงว่า ถ้าหากในตอนนั้นเจ้าได้บอกกับข้า ข้าก็จะบอกเจ้า เจ้าปีนขึ้นมาที่สูงไม่ได้ ข้าก็จะลดตัวเองให้ต่ำลง ผู้หญิงที่สร้างปัญหาได้ทุกที่อย่างเจ้า มีแต่ข้าเท่านั้นที่จะทนรับได้