นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 393 เกิดความวุ่นวายภายใน จิ่นหลิงเสียสติ ชิงเฉินซวยแล้ว
บทที่ 393 เกิดความวุ่นวายภายใน จิ่นหลิงเสียสติ ชิงเฉินซวยแล้ว
หวังจิ่นหลิงดึงเข็มขัดที่ใช้แทนสายบังเหียนด้วยมือทั้งสองอย่างแน่นๆ นิ้วมือทั้งสิบที่เรียวยาวของเขามีเลือดไหลหยดไม่อยู่ และดวงตาของเขาที่ดูยิ้มแย้มตลอดเวลานั้น เวลานี้ดูหม่นหมองอย่างมาก
เขาคิดอยู่หลายครั้งว่าอยากกลับไปหาเฟิ่งชิงเฉิน พาเฟิ่งชิงเฉินหนีไปด้วยกัน แต่สติของเขาเตือนตัวเองว่า เขาหันกลับไปมิได้ เพราะเมื่อหันกลับไป ทั้งสองก็จะตาย
แผนที่สำคัญที่สุดคือการไปหาซู่ชินอ๋องมาช่วย มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถรับประกันว่าเขาและชิงเฉินจะปลอดภัย
เฟิ่งชิงเฉินอยู่เผชิญหน้ากับมือสังหารเพียงลำพังก็เพื่อเขา ฉะนั้นเขาจะต้องไม่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินผิดหวัง และจะไม่สร้างปัญหาให้กับเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากที่เขากลับไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยังต้องปกป้องเขา
“สิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุดคือคนที่เรียนหนังสือ ข้าไร้ประโยชน์เสียจริง!” หวังจิ่นหลิงเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ และยิ่งเกลียดตัวเองที่เป็นลูกผู้ชายแต่กลับต้องให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเฟิ่งชิงเฉินมาปกป้องตน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าต้องอดทนไว้ ข้าจะพาคนมาช่วยเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าต้องรอข้า รอข้า!” น้ำตาที่เย็นเยียบไหลลงมาจากหางตาของหวังจิ่นหลิง ข้างหลังมีเสียงร้องของมือสังหารดังขึ้น หวังจิ่นหลิงกลับทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน มือทั้งสองของเขาที่เดิมใช้หยิบพู่กัน ใช้เล่นขิมจีน ตอนนี้กำลังตบไปที่หลังม้าอย่างแรง
“เร็วเข้า เร็วเข้า ชิงเฉินยังคงรอให้ข้าไปช่วยนางอยู่ นางกำลังรอข้าอยู่” หวังจิ่นหลิงเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถรอจนกว่าเขาพาคนมาช่วยได้อย่างแน่นอน เพราะนางคือเฟิ่งชิงเฉินไงล่ะ!
“เร็วเข้า หวังจิ่นหลิงกำลังจะหนีไปแล้ว รีบตามเขาไป เขาไม่มีวิชาศิลปะการต่อสู้ หากว่าเราตามเขาไปได้เช่นนั้นภารกิจก็สำเร็จแล้ว” มือสังหารที่อยู่ข้างหลังกังวลเมื่อเห็นว่าหวังจิ่นหลิงอยู่ไกลจากพวกเขามากขึ้น
น่าเสียดายที่ไม่ว่าพวกเขาจะกังวลแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะม้าของหวังจิ่นหลิงดีดอย่างมาก ไม่มีท่าทีว่าจะลดความเร็วลงเลย หากหวังจิ่นหลิงขี่ม้าไม่เก่ง เขาคงจะตกลงจากหลังม้านี้ไปนานแล้ว
แต่เพราะเช่นนี้ ต้นขาฝั่งในของหวังจิ่นหลิงเกิดการเสียดสีจนเลือดออก เลือดสีแดงเข้มเปื้อนหลังม้าและไหลลงมาจากหลังม้า แต่หวังจิ่นหลิงกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เขาเอาแต่วิ่งไปข้างหน้าอย่าสุดชีวิต…….
เมื่อตี๋ตงหมิงถือคบเพลิงออกมา เขาเห็นหวังจิ่นหลิงพร้อมทั้งรอยเลือดที่อยู่ตรงขาของเขา ตี๋ตงหมิงยังไม่ทันได้ถามกระไร หวังจิ่นหลิงก็พูดอย่างร้อนรนว่า “ตงหมิง ข้าขอยืมทหารสามร้อยนาย ข้าจะไปช่วยเฟิ่งชิงเฉิน”
“ช่วยเฟิ่งชิงเฉินหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับนาง?” ตี๋ตงหมิงผงะ เขาคิดว่าคนที่เกิดเรื่องคือหวังจิ่นหลิงเสียอีก
“ข้าและชิงเฉินถูกไล่ฆ่า ชิงเฉินคุ้มกันข้าก่อน นางอยู่ที่นั่นเพื่อสกัดมือสังหารเอาไว้ เรื่องรายละเอียดเราค่อยว่ากัน เจ้าเอาทหารมาให้ข้ายืมก่อน” หวังจิ่นหลิงรีบวิ่งตรงเข้าไปในจวนซู่ชินอ๋อง ตอนนี้เขาไม่มีความสง่าและใจเย็นของคุณชายใหญ่แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? พ่อหนุ่มตระกูลหวังเป็นกระไรไปหรือ?” ซู่ชินอ๋องก้าวเข้ามาและเห็นซู่ชินอ๋องที่กำลังตื่นตระหนก เขาตะลึงอย่างมาก
นี่คือหวังจิ่นหลิงผู้ที่ใจเย็นเสียจนแม้ภูเขาจะถล่มก็ไม่สะท้านหรือ?
ความไม่พอใจปรากฏบนสีหน้าของซู่ชินอ๋อง ” พ่อหนุ่มตระกูลหวัง เจ้าไร้มารยาทอย่างมาก หากว่าคนตระกูลหวังเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าคงจะโดนหนักอย่างแน่นอน”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องไม่สะท้าน จะต้องใจเย็นและสง่า แม้ว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนแค่ไหนอยู่ในใจ จะหวาดกลัวเพียงใดก็ห้ามแสดงสีหน้าใดๆออกมาทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่คุณชายตระกูลใหญ่ทุกคนจะต้องเรียนรู้
ในฐานะผู้ที่ได้รับการสั่งสอนดังหัวหน้าครอบครัวอย่างหวังจิ่นหลิง ไม่เพียงแต่จะต้องทำข้อดังกล่าวให้ได้ และยังต้องเก็บความรู้สึกของตนให้ได้ ห้ามให้ใครดูความรู้สึกหรือความคิดที่แท้จริงของตนออก
หวังจิ่นหลิงทำได้ดีมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ซู่ชินอ๋องเห็น หวังจิ่นหลิงเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงของเขา
หวังจิ่นหลิงก็สะดุ้งและหยุดอยู่กับที่ ราวกับว่าถูกเตือนสติ
เขาให้ข้อยกเว้นกับเฟิ่งชิงเฉินมากเกินไป หากว่าคนตระกูลหวังรู้ว่าเขาเสียสมาธิเช่นนี้เพราะเฟิ่งชิงเฉิน เช่นนี้ตระกูลหวังจะไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นคนที่ทำให้เขาเปิดเผยความรู้สึกของตนนั้นได้มีชีวิตอยู่ต่ออย่างแน่นอน
หวังจิ่นหลิงหลับตา หายใจเข้าและหายใจออกอย่างเงียบ ๆ พยายามทำให้ร่างกายที่เกรงผ่อนคลาย หลังจากนั้นไม่กี่วินาที หวังจิ่นหลิงลืมตา แววตาของเขาสงบด้วย มีรอยยิ้มที่เหมาะสมที่สุดปรากฏบนใบหน้าของเขา แม้เสื้อผ้าของเขาจะเปื้อนเลือด แต่ก็ไม่น่าอนาถ แต่กลับดูดีไปอีกแบบ
“นี่สิถึงจะเป็นคุณชายใหญ่” ซู่ชินอ๋องหยักหน้า ดวงตาของเขามองจ้องไปที่ตี๋ตงหมิงและคนในลานบ้านอย่างดุร้าย “เมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
นี่เป็นการเตือนทุกคนว่าอย่าพูดเกี่ยวกับเรื่องที่หวังจิ่นหลิงเสียมารยาท และให้หวังจิ่นหลิงวางใจ
“ขอบใจท่านอ๋อง” หวังจิ่นหลิงรู้สึกวิตกกังวลอยู่ในใจ แต่เขาไม่ได้แสดงออกมาเลย เขาโค้งคำนับและขอบใจซู่ชินอ๋อง
เขาขอบคุณซู่ชินอ๋องจาใจจริง หากไม่ใช่เพราะการเตือนของซู่ชินอ๋อง วันนี้เขาคงจะทำผิดพลาดอย่างมาก
“มิต้องเกรงใจกัน แม้ว่าข้าจะเกลียดท่าทีที่ดูเหมือนนักบุญของเจ้าอย่าง แต่ตระกูลหวังก็ชอบ และทุกคนในโลกก็ชอบมัน แต่ก็โชคดีที่การแสดงออกของเจ้าดูไม่เสแสร้ง ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ”
ท่าทีการวางตัวของเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ ซู่ชินอ๋องไม่ชอบมาโดยตลอด พวกเขาหยิ่งผยอง เสแสร้ง เอะอะก็แสดงท่าทีของเหล่าผู้ดีออกมา แต่มีเพียงหวังจิ่นหลิงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าตาเขา
ท่าทีการวางตัวของคุณชายตระกูลใหญ่เช่นกัน แต่เมื่อหวังจิ่นหลิงทำออกมา ซู่ชินอ๋องไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจอีกทั้งยังชอบอย่างมาก มิเช่นนั้นเขาคงไม่เอ่ยปากตักเตือนหวังจิ่นหลิง
“คุณปู่ จิ่นหลิงมาหาพวกเรานั้นมีเรื่องเร่งด่วน เรื่องพวกนี้คราวหน้าค่อยคุยกัน” ตี๋ตงหมิงเข้าใจอย่างมาก ว่าเฟิ่งชิงเฉินสำคัญต่อหวังจิ่นหลิงมากเพียงใด แม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดมัน แต่เขาสามารถหลอกตาคนตระกูลหวังได้ แต่ไม่มีทางหลอกเขาได้ อีกอย่างเขาเองก็เป็นห่วยเฟิ่งชิงเฉินอย่างมากเช่นกัน
ซู่ชินอ๋องตีไปที่หน้าผากของตี๋ตงหมิงอย่างแรง “คุณอยู่กับพ่อหนุ่มตระกูลหวังมาตั้งนาน เหตุใดจึงไม่ได้สักครึ่งของเขามาบ้าง?”
“คุณปู่ การช่วยคนนั้นเร่งด่วนเหมือนดับไฟ เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เผชิญหน้ากับมือสังหารที่ก็ดุร้ายอย่างเสือและหมาป่าเช่นนี้นางไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน หากว่าท่านขัดขวางเราอีก เฟิ่งชิงเฉินก็จะอันตรายกว่าเดิม” คราวนี้เป็นตี๋ตงหมิงเองที่กังวลอย่างมาก
“เจ้าคิดว่าพวกเจ้าเร่งมุ่งไปตอนนี้มันจะทันหรือ?” ซู่ชินอ๋องยิ้มอย่างเย็นชา
ดูจากเลือดบนกางเกงของหวังจิ่นหลิง ซู่ชินอ๋องดูว่าระหว่างทางที่มานั้นไม่ใกล้เลย หากว่าไปกลับ…
พวกเขาได้เสียเวลาที่ดีที่สุดในการช่วยคนไปแล้ว อีกอย่างแม้ว่าจะไปช่วยนางจริง จะไปอย่างไร้แผนไร้จุดมุ่งหมายเช่นนี้มิได้ ไม่สวมเสื้อผ้าให้ดีก็เร่งออกไปแล้ว หากว่าไปถึงจะเอาอะไรไปช่วยนาง
“ท่านปู่หมายถึง เฟิ่งชิงเฉินนาง…” สีหน้าของตี๋ตงหมิงขาวซีดอย่างมาก เขามองไปที่หวังจิ่นหลิง แต่หวังจิ่นหลิงไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา เอาแต่ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ว่า “ไม่ เฟิ่งชิงเฉินจะสามารถอดทนได้จนกว่าข้าจะไปช่วยนาง”
“ใช่ ใช่ ผู้หญิงอย่างเฟิ่งชิงเฉินเหมือนกับแมลงสาบเลย ที่ไม่ว่าจะตีอย่างไรก็ไม่หายดี นางตกอยู่ในมือของหนานหลิงจิ่นฝาน แต่กลับยังมีชีวิตรอดได้ นับประสาอะไรกับการเผชิญหน้ากับมือสังหาร “ตี๋ตงหมิงเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับมาและออกคำสั่งทันทีว่า ให้พวกเขาเตรียมออกรบ แต่ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ที่แท้วินาทีแรงที่ซู่ชินอ๋องเดินออกมา เขาได้สั่งให้คนไปเตรียมพร้อมแล้ว
“คุณปู่?” ตี๋ตงหมิงมองที่ซู่ชินอ๋องอย่างสับสน เขาร้อนรนจนลืมสั่งทหาร
ซู่ชินอ๋องทำหน้าเยือกเย็นและพ่นลมหายใจ “ตงหมิง ฝึกกับพ่อหนุ่มตระกูลอ๋องให้ดี อย่าตื่นตระหนกเมื่อเจอปัญหา”
เช่นนี้ข้าจะมอบสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตตระกูลตี๋ให้เจ้าได่อย่างไร ปู่แก่แล้ว ไม่สามารถปกป้องเจ้าไปได้ทั้งชีวิต
ประโยคสุดท้ายซู่ชินอ๋องมิได้กล่าว แต่หวังจิ่นหลิงกลับเห็นความหม่นหมองจากสีหน้าของซู่ชินอ๋อง ” ท่านอ๋อง ท่านอย่ากังวล ตงหมิงจะดีขึ้นกว่าเดิม”
เช่นนี้ ข้าจะเอาสิ่งของรักษาชีวิตของตระกูลตี๋ให้เจ้าได้อย่างเรา ปู่แก่แล้ว ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ตลอดชีวิต
ประโยคสุดท้ายซู่ชินอ๋องมิได้กล่าว แต่หวังจิ่นหลิงกลับเห็นความหม่นหมองจากสีหน้าของซู่ชินอ๋อง ” ท่านอ๋อง ท่านอย่ากังวล ตงหมิงจะดีขึ้นกว่าเดิม”
นี่คือคำมั่นสัญญาของหวังจิ่นหลิง และนี่คือสิ่งตอบแทนที่เขายืมทหารของจวนซู่ชินอ๋อง ส่วนเหตุผลที่เขามายืมทหารที่จวนซู่ชินอ๋องแต่ไม่มีไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลหวังนั้นเป็นเพราะ…
เขาและเฟิ่งชิงเฉิน ต่างรู้ดีอย่างมากว่า มือสังหารทั้งสอบชุดนี้ อย่างน้อยมีหนึ่งชุดที่ตระกูลหวังส่งมา เพราะคนนอกจะไม่ตอบสนองเร็วเช่นนี้……….
ตระกูลหวังมิได้รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนที่คนนอกเห็น เมื่อมีคนอยู่ที่ใด ตรงนั้นก็จะมีการแข่งขัน!
อีกสามบทจะได้รับการอัพเดตในภายหลัง!