นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 402 ไม่แต่ง หากไม่เก่งเท่าเฟิ่งชิงเฉิน
บทที่ 402 ไม่แต่ง หากไม่เก่งเท่าเฟิ่งชิงเฉิน
จักรพรรดิกำลังใช้โชคชะตาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินมาเป็นเงื่อนไขในการต่อรอง เดิมทีคิดว่าเสด็จอาเก้าจะยอมประนีประนอม แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสด็จอาเก้าจะเพิกเฉยต่อการข่มขู่ของจักรพรรดิ และกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นนั้น
จักรพรรดิคิดว่าหลังจากเสด็จอาเก้ายอมประนีประนอมแล้ว เขาจะเสนอให้เสด็จอาเก้าแต่งงานกับองค์หญิงแห่งเป่ยหลิงเป็นพระชายาเอก คาดไม่ถึงว่าจะถูกเสด็จอาเก้าปฏิเสธขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่แต่ง นางไม่อาจเทียบเท่าได้กับเฟิ่งชิงเฉิน หากอยากจะเป็นพระชายาเอกของข้า เช่นนั้นควรจะพิสูจน์ตนเองก่อนว่านางแข็งแกร่งกว่าเฟิ่งชิงเฉิน”
หลังทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคเหล่านี้ เสด็จอาเก้าก็รีบออกไปทันที หลังจากที่เสด็จอาเก้าเดินออกไปแล้ว จักรพรรดิก็ได้ปาหินฝนหมึกที่วางอยู่จนกระจัดกระจาย……
เฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นกังวลใจว่าเสด็จอาเก้าจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร นางมั่นใจได้ว่านางจะไม่จบชีวิตลงด้วยเรื่องนี้แน่นอน อย่างมากก็เพียงมีปัญหาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น คนเช่นเสด็จอาเก้าจะไม่มีวันปล่อยให้โอกาสเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับนางอย่างแน่นอน
เมื่อหวังจิ่นหลิงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินยืนยันดังนั้น เขาเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกให้มากความ เขายังคงเชื่อมั่นในเสด็จอาเก้าว่าจะคงปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างดี ต่อให้ไม่ทำเพื่อเฟิ่งชิงเฉินก็คงทำเพื่อตนเอง
“ชิงเฉิน พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปที่เมืองชิงสุ่ย หากมีเรื่องใดเจ้าจงไปหาจิ่นหานที่ตระกูลหวัง” หลังจากที่หวังจิ่นหลิงกำชับไว้แล้วก็ได้เดินทางจากไปพร้อมกับกล่องยาและตี๋ตงหมิง ต่อให้ตี๋ตงหมิงไม่อยากไปเขาก็จำเป็นต้องไป
ส่วนเรื่องงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ทุกคนล้วนเข้าใจโดยปริยายอย่างไม่ต้องกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินหรือหวังจิ่นหลิงทั้งสองล้วนรู้ดี งานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วม ต่อให้นางจะเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตหวังจิ่นหลิงเอาไว้ก็ตาม
ตระกูลหวังให้ความสำคัญกับเรื่องกฎเกณฑ์มากกว่าในราชวังเสียอีก และให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก งานเลี้ยงเช่นนี้ตระกูลหวังคงไม่อยากเห็นเฟิ่งชิงเฉิน
หลังจากที่หวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงเดินทางจากไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้กลับไปที่ห้องของตน แต่กลับนั่งอยู่ที่เดิมเพื่อพิจารณาแยกแยะถึงประโยคของหวังจิ่นหลิง
นางกล่าวกับหวังจิ่นหลิงว่านางเชื่อมั่นในเสด็จอาเก้าว่าจะจัดการทุกอย่างได้สำเร็จ แต่ในใจของนางแท้จริงแล้วไม่ได้คิดเช่นนั้น นางรู้จักเสด็จอาเก้ามาเนิ่นนานจึงรู้ดีวิธีการจัดการปัญหาต่างๆ ของเสด็จอาเก้าดี เขาจะหาผลประโยชน์เข้าสู่ตนเองมากที่สุด ดังนั้นในเวลาจำเป็นเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะเสียสละนาง ด้วยเหตุนี้เองนางจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อม
เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันได้เบาะแสใดก็ได้ยินคนเข้ามารายงานว่าซูเหวินชิงเดินทางมาที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ให้ซูเหวินชิงเข้ามาด้านใน
ซูเหวินชิงนำอาหารบำรุงร่างกายมามากมาย แต่เมื่อพบว่าท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยพลังงาน ใบหน้ามีเส้นเลือดฝาด เขาก็ต้องตกตะลึง แต่ก็ฉลาดพอที่ไม่เอ่ยถาม หลังจากสนทนากันสองสามคำถึงเรื่องทั่วไปแล้ว ซูเหวินชิงก็ได้สั่งให้ให้เฟิ่งชิงเฉินสั่งคนรอบกายออกไป
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ยังคงทำตาม หลังจากที่ทุกคนเดินทางออกไปแล้ว ซูเหวินชิงจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ชิงเฉิน อวี่เหวินหยวนฮั่วเขียนจดหมายมาขออาหาร” ใบหน้าของเขาดูขมขื่น เห็นได้ชัดว่าแสดงออกมาให้เฟิ่งชิงเฉินดู เฟิ่งชิงเฉินจะไม่รู้ได้อย่างไร นางจึงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “นี่คือเรื่องของพวกเจ้าไม่เกี่ยวอันใดกับข้าเลย”
“ชิงเฉิน ข้าเป็นพ่อค้าไม่ใช่คลังหลวง ธัญญาหารที่ข้าเก็บกักตุนเอาไว้มีจำนวนจำกัด คาดว่าในเดือนหน้าทหารชายแดนจำนวนห้าแสนนายคงจะต้องหิวโหย” ซูเหวินชิงก็ไม่อ้อมค้อม เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินชื่นชอบคนตรงไปตรงมา อีกอย่างเรื่องของอวี่เหวินหยวนฮั่วสามารถปิดบังคนอื่นได้ แต่คงไม่อาจปิดบังเฟิ่งชิงเฉินได้ เพราะเรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนวางแผนด้วยตนเอง
“ทหารห้าแสนนาย? ในมือของอวี่เหวินหยวนฮั่วมีทหารเพียงสามแสนนายมิใช่หรือ?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเบิกกว้างหันไปทางซูเหวินชิง ดวงตาอันเป็นประกายแวววาวดูเหมือนจะรู้ไปเสียทุกอย่าง
ในฐานะหมอที่คุ้นเคยอยู่ในสนามรบเป็นอย่างดีหลายปี เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีถึงจำนวนและอาวุธของทหาร และนางรู้เป็นอย่างดีว่าในสมัยอาวุธเย็นเช่นนี้ บางครั้งมีทหารมากก็จะได้เปรียบ
นับตั้งแต่โบราณมา สงครามที่คนจำนวนน้อยจะชนะคนจำนวนมากหายากเหลือเกิน หากว่ามีก็ได้รับการบันทึกเอาไว้เป็นบทเรียน แต่บทเรียนเหล่านั้นยากที่จะคัดลอกตาม ดังนั้นในสมัยสงครามอาวุธเย็น การที่มีทหารเยอะนับว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน ซูเหวินชิงก็ตกใจจนแทบจะเผลอหลุดออกมา “เกิดการเคลื่อนไหวที่ชายแดน อวี่เหวินหยวนฮั่วขยับขยายจำนวนทหาร” เหตุผลนี้แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เชื่อ แต่เขากลับคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเชื่อ เพราะถึงอย่างไรนางเป็นเพียงสตรีจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร
“ฝ่าบาทรับรู้เรื่องนี้หรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสได้ทันทีถึงความผิดปกติไปของเรื่อง ด้วยความไม่พอพระทัยของฝ่าบาท และการป้องกันที่มีต่ออวี่เหวินหยวนฮั่ว จะทรงอนุญาตให้อวี่เหวินหยวนฮั่วมีทหารเป็นของตนเองได้อย่างไร?
ทหารจำนวนห้าแสนนาย ได้ยินมาว่านายราชวงศ์ตงหลิงมีทหารจำนวนหนึ่งล้านนาย แต่อวี่เหวินหยวนฮั่วกลับมีทหารไว้ในมือถึงครึ่งหนึ่ง ฝ่าบาทจะยินยอมได้อย่างไร
ที่ข้างเตียงของตนเอง จะยอมให้ผู้อื่นนอนสบายกว่าได้อย่างไร อวี่เหวินหยวนฮั่วมีทหารอยู่ในมือถึงห้าแสนนาย หากว่าเขานำทหารบุกมาที่ทางเหนือ เกรงว่าจักรพรรดิก็คงจะต้องยกมือยอมแพ้
“ไม่รู้”
“กระทำโดยลักลอบหรือ เขาใจกล้ายิ่งนัก ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?” แววตาแหลมคมของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ดวงตาของซูเหวินชิงจำต้องหันไปมองทางอื่น “เรื่องนี้เขาคงจัดการวางแผนเอาไว้แล้ว เจ้าเองก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนประมาท”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางเพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น เนื่องจากนางรู้ดีว่าเรื่องนี้จะร้ายแรงเพียงใด
อวี่เหวินหยวนฮั่วเป็นคนของเสด็จอาเก้า การที่ซูเหวินชิงให้การช่วยเหลืออวี่เหวินหยวนฮั่วนั้นก็หมายความว่าซูเหวินชิงเป็นคนของเสด็จอาเก้า และยังมีหลานจิ่วชิงกับปู้จิงหยุนด้วย
ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินพอจะเข้าใจแล้วว่าเสด็จอาเก้าต้องการทำสิ่งใด เพียงแต่นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าหากตำแหน่งนั้นเขาต้องการล่ะก็ต้องทำให้เรื่องนี้วุ่นวายขนาดนั้นเชียวหรือ
“ในเมื่อเขามีแผนของเขาอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังต้องกล่าวสิ่งใดอีกหรือ คุณชายซู เรื่องของพวกท่านนั้นข้าเองไม่รู้และไม่อยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ข้าเป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดา เพียงต้องการอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข” เรื่องการกบฏนั้นแน่นอนว่านางจะไม่ทำ เนื่องจากนางเกลียดสงคราม เพราะสงครามเป็นความหมายถึงการตาย
หมอเปรียบเสมือนมือของพระเจ้า แต่มือคู่นี้ไม่อาจช่วยคนได้มากนัก
ซูเหวินชิงยิ้มขึ้นมาด้วยความขมขื่น เฟิ่งชิงเฉินช่างเฉลียวฉลาด นางมองออกได้ในทันที “ชิงเฉิน ความสงบสุขสำหรับเจ้านั้นจะว่าไปแล้วยังคงห่างไกลนัก เพราะในเมื่อเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น แล้วก็อย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตสงบสุขอีกเลย ไม่กล่าวถึงอนาคตอันไกล ลองดูอนาคตอันใกล้นี้ก่อน เรื่องที่ฝ่ายตรวจการฟ้องนั้นเจ้าเองยังไม่อาจหนีได้พ้น”
“คนคนนั้นเป็นใครทุกคนล้วนรู้ดี”
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ
นั่นสิ นางและคนคนนั้นไม่อาจจะตัดขาดจากกันได้ หน้าผากของนางมีตัวอักษรติดไว้ว่าเสด็จอาเก้า ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะต่อสู้หรือไม่ก็ตาม นางก็จำเป็นจะต้องอยู่ข้างกายเขา เนื่องจากหากเสด็จอาเก้าพ่ายแพ้ คนเหล่านั้นก็คงไม่ปล่อยเขาไว้ไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่
“ข้าไม่อาจช่วยได้จริงๆ” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ถอนหายใจออกมา นางเป็นเพียงสตรีผู้อ่อนแอนางหนึ่งเท่านั้น นางจะไปช่วยอะไรได้ อาหารสำหรับทหารห้าแสนนาย จะให้นางเอาอะไรออกมาช่วยเหลือ
ในสมัยโบราณ ธัญพืชนับว่ามีจำนวนน้อยมากและข้าวขาวเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะหรูหรา ประชาชนทั่วไปในชีวิตอาจเคยกินข้าวเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
ในประเทศจีนขาดแคลนพันธุ์พืชเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด แม้กระทั่งประเทศจีนในสมัยใหม่ก็ยังต้องนำเข้าข้าวสาลี
นางเป็นหมอทหาร บิดาของนางไม่ใช่ชาวนาปลูกข้าว ถึงอย่างไรนางก็จบการศึกษาออกมาจากโรงเรียนแพทย์ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยการเกษตร
ทักษะด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและตัดแต่งพันธุกรรมอยู่เหนือความสามารถของนาง เฟิ่งชิงเฉินหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอยากจะช่วยพวกเขาได้ แต่นี่เกินขีดจำกัดของนาง เฟิ่งชิงเฉินยกมือขึ้นเคาะหัวตนเองแล้วครุ่นคิด……ซูเหวินชิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นเช่นหลานจิ่วชิงที่ฝากความหวังไว้กับเฟิ่งชิงเฉินมากมาย ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ พวกเขาที่เป็นบุรุษยังไม่อาจจัดการปัญหานี้ได้ แล้วเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงสตรีจะจัดการได้อย่างไร
“ข้า……” จะลองคิดวิธีดู
ประโยคด้านหลังนั้นนางไม่ได้กล่าวมันออกมา จู่ๆ นางก็เบิกตากว้างขึ้น “ข้าคิดวิธีออกแล้ว!”
มีของกินอีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นสามารถนำมาเป็นอาหารหลักได้ และการที่นางทำเช่นนี้ไม่ได้ทำเพื่อเสด็จอาเก้า แต่ทำเพื่อเหล่าทหารซึ่งพยายามอย่างยิ่งในสนามรบ
นางรู้ดีว่าหากทหารในสนามรบไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอ ก็ไม่ต่างอันใดกับการฆ่าพวกเขา และเพื่อทหารเหล่านั้นนางก็ไม่ได้คิดจะปิดซ่อนปิดบัง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ มีวิธีแก้ไขแล้วหรือ?” ซูเหวินชิงลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “เจ้าจงตามข้ามา”
เฟิ่งชิงเฉินพาซูเหวินชิงไปยังห้องหนังสือของจวนซุน จากนั้นหยิบกระดาษสีขาวออกมาปึกหนึ่ง นำดินสอที่ทำขึ้นมาจากผงถ่านวาดลงไปบนกระดาษขาว
อย่างอื่นนั้นนางไม่รู้ รู้จักเพียงมันเทศและมันฝรั่ง มันเทศและมันฝรั่งให้ผลผลิตสูง สามารถนำมาเป็นอาหารหลักได้ ของสองสิ่งนี้กินได้ทั้งให้ปริมาณผลผลิตค่อนข้างสูง “เจ้าจงส่งคนออกไปหาแล้วนำมาปลูกในบริเวณกว้าง เจ้าสิ่งนี้หากถึงเวลาเก็บเกี่ยวจะให้ผลผลิตและอยู่ได้ในระยะหนึ่ง”
“สิ่งนี้หรือ? ข้าเคยเห็นมัน!” ดวงตาของซูเหวินชิงเป็นประกาย เขาเคยเห็นของสิ่งนี้อยู่ในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง มันกองกันอยู่มากมายเหมือนขยะ เดิมทีเขาคิดว่ามันไม่อาจกินได้ ที่แท้เป็นเพราะว่ามีปริมาณผลผลิตสูงมากเกินไปนี่เอง
“หากเจ้าเคยเห็น เช่นนั้นก็ดีขึ้นไปอีก เจ้าจงส่งคนออกไปหา เมื่อได้แล้วจงไปศึกษาวิธีการปลูกมันจากชาวบ้าน” สิ่งนี้ไม่แพงและละเอียดอ่อนเช่นข้าว ดังนั้นสามารถปลูกได้บนดินแห้ง การเพาะปลูกในสถานที่ชายแดนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกแปลกใจเนื่องจากมันฝรั่งและมันเทศมีมาแต่โบราณ เพียงแค่ยังไม่มีใครนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ เพียงแค่รู้ว่ามันมีปริมาณผลผลิตสูงก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องข้าวลูกผสมเหล่านั้น……ช่างมันก่อนเถอะ ลืมไปได้เลย นอกเสียจากว่านางจะย้อนเวลากลับไปเรียนมหาวิทยาลัยสาขาการเกษตรอีกครั้ง
“เจ้าสิ่งนี้ให้ผลผลิตสูงดั่งที่เจ้าว่าจริงหรือ?” หากเป็นเช่นนี้ก็คงจะจัดการปัญหาได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าเขาคงไม่ให้ทหารกินแต่เจ้าสิ่งนี้ทุกวัน คงจะกินผสมไปกับข้าว
“ข้ารับประกันด้วยตนเอง” ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้จบจากสาขาเกษตรแต่นางก็รู้เรื่องนี้
“ดียิ่งนัก ข้าจะส่งคนไปหามัน หวังว่าจะสามารถรวบรวมและเก็บเกี่ยวได้โดยเร็ว เพื่อที่จะจัดการปัญหาได้เร็วที่สุด” ซูเหวินชิงนำกระดาษอันมีค่าสองแผ่นนี้เก็บลงไป เขาคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีวิธีอยู่จริงๆ มองดูแล้วหลานจิ่วชิง มีความเข้าใจในตัวเฟิ่งชิงเฉินมากทีเดียว
สตรีผู้นี้ปากแข็งจริงเชียว หากไม่เอ่ยถามนางก็ไม่พูด ว่าแต่นางรู้ได้อย่างไรกัน? มองไปแล้วนางก็ไม่ใช่คนที่มีความรู้ด้านเกษตร แต่เรื่องนี้ซูเหวินชิงได้แต่เก็บไว้ในใจไม่กล้าเอ่ยถาม
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย นางเสนอข้อคิดเห็นเรื่องอาหารคือมันเทศและมันฝรั่งออกไปแล้วซึ่งเป็นปัญหาในระยะยาว แล้วปัญหาตรงหน้านี้เล่า
ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินบอกวิธีแก้ไขปัญหาไปแล้ว ตัวนางเองก็ไม่ได้เก็บซ่อนมันเอาไว้และกล่าวออกมาถึงอีกวิธีหนึ่งว่า “ที่จริงพวกเจ้าลองซื้อธัญพืชจากหนานหลิงและซีหลิงดูก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนานหลิง ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายทั้งสองแห่งราชวงศ์หนานหลิงกำลังต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งกัน หากว่าในตอนนี้มีความช่วยเหลือจากต่างราชวงศ์เข้าไปสนับสนุนองค์ชายองค์ใดองค์หนึ่ง พวกเขาน่าจะยินยอมและให้อาหารจากในคลังหลวงแก่พวกเจ้า”
นักการเมืองจะไม่สนใจสิ่งที่ต้องสูญเสียไปของประเทศหากได้ประโยชน์สูงสุดกับตนเอง เรื่องเหล่านี้นางเห็นมามากแล้ว
“เรื่องนี้ข้าเองก็เคยคิดเช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องอาหารของคลังหลวงอาจทำให้ถูกใครบางกลุ่มจับตามองเรา และคนเหล่านั้นจะไปสืบหาข้อมูลว่าอาหารมากมายไปที่ใดกัน ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลาแล้วปลายังไม่กินก็ได้กลิ่นคาวเอาเสีย” ซูเหวินชิงส่ายหน้าปฏิเสธ เนื่องจากการกระทำของพวกเขาจะปรากฏให้ผู้อื่นเห็นไม่ได้ จะให้เปิดเผยในระดับประเทศไม่ได้เด็ดขาด
“ในเมื่อไม่อาจซื้อธัญพืชจากคลังหลวงได้เช่นนั้นก็ให้บรรดาพ่อค้าขายธัญพืชของตนสิ!” ประกายแวววาวในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินปรากฏขึ้น ถือเสียว่าเป็นการชดเชยเรื่องที่อวี่เหวินหยวนฮั่วช่วยนางเอาไว้ในวันประสูติขององค์จักรพรรดิก็แล้วกัน ในครั้งนี้นางตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอวี่เหวินหยวนฮั่ว
เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมรับเด็ดขาดว่านางทำเช่นนี้เพื่อช่วยเสด็จอาเก้า!