นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 440 ปฏิเสธ ผู้ใดให้เจ้าเห็นแก่ตัวนัก
บาดแผลที่ปริแตก พร้อมกับอาการอักแสบของบาดแผล หาได้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการไม่ แต่เหตุผลที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าที่เย็นชานั้น ก็เพื่อเป็นการเตือนซีหลิงเทียนอวี่ ให้เขารู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
คนไข้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ มักจะนำพาปัญหาที่ไม่คาดคิดเป็นจำนวนมาก มาให้กับหมอของคนไข้ ฉะนั้น นางจำเป็นจะต้องขัดขวางสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเอาไว้
หลังจากที่เย็บแผลอีกครั้ง พร้อมกับใส่ยา เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ฉีดยาแก้อักแสบให้กับซีหลิงเทียนอวี่อีกเข็มหนึ่ง มันจะดีกว่านี้ หากได้มีการให้น้ำเกลือกับเขา แต่ทว่า ด้วยข้อจำกัดมากมาย จึงได้แต่ทำให้ซีหลิงเทียนอวี่ต้องอดทนต่อไป
“ติ๊ง” เสียงเข็มพลันตกลงไปในถาดเหล็ก พร้อมด้วยเสียงที่ดังก้องกังวาน มันยังช่วยดึงสติผู้คนให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกด้วย
“ท่านหมอเฟิ่ง ไม่มีปัญหาอันใดแล้วหรือ?” ซีหลิงเทียนอวี่พลันมองไปยังขาสีน้ำตาลของตน พร้อมกับถอนหายใจออกมา
เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่พิเศษจริง ๆ ไม่แปลกใจเลย ผู้ที่สูงส่งเช่นเสด็จอาเก้าถึงได้ให้ความสนใจต่อนางเช่นนี้ สตรีเช่นนี้ หากเขาได้พบนางก่อนละก็ เขาย่อมไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน หาได้เกี่ยวกับความรักไม่ แต่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีค่ามากกว่านั้น น่าเสียดาย ที่เขาช้ากว่าเสด็จอาเก้าไปเพียงแค่ก้าวเดียว
เฟิ่งชิงเฉินพลันเก็บอุปกรณ์ของตนเองไปด้วย พร้อมกับกล่าวว่า “ในยามนี้ ไม่มีปัญหาอันใดเกิดขึ้น องค์ชายรองก็ต้องระมัดระวังตนเองด้วยนะเพคะ อย่าได้ใช้ขาของตนเองมากไปนัก ห้ามให้บาดแผลปริแตกอีกเป็นอันขาด ในคราหน้า หม่อมฉันคงไม่ใจดีเช่นนี้อีก อีกทั้งองค์ชายรอง ต้องจำไว้ว่า ตนเองห้ามตามใจปากเป็นอันขาด สิ่งใดที่หม่อมฉันเขียนเอาไว้ในกระดาษ ภายในสามเดือนนี้ห้ามพระองค์แตะต้องเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ท่านก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาด้วยนะเพคะ”
หาใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินข่มขู่ซีหลิงเทียนอวี่ไม่ แต่เป็นเพราะความคิดของเขาที่กว้างไป หากเขายืนกร่านจะไปตามทางของตนเอง ไม่คิดไม่ฟังผู้ใดละก็ ขาเทียมและเนื้อจริงย่อมหลอมรวมกันได้ยาก บางทีอาจจะไม่สามารถรวมกันได้เลย เมื่อถึงยามนั้น ก็อาจจะต้องทำการตัดขาทิ้งจริง ๆ เป็นแน่
“ข้าเข้าใจแล้ว จะไม่มีครั้งหน้าอีก” ซีหลิงเทียนอวี่โตจนป่านนี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดอบรมเขาด้วยความเข้มงวดมาก่อนเลย แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขามีความผิด บวกกับเฟิ่งชิงเฉินหวังดีต่อเขา แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจ ก็ได้ต้องอดทนเอาไว้
“พวกเจ้าก็เช่นกัน หากต้องการทำเพื่อองค์ชายสองจริง ละก็ อย่าได้คิดตอบรับคำขอไร้สาระของพระองค์เป็นอันขาด หาใช่ว่า ข้าจะมาหาได้ทันการเช่นในครานี้ไม่ วันพรุ่งนี้ข้าก็ต้องมีแข่งขันกับซูหว่านแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะมีเวลาเมื่อใด ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน” เฟิ่งชิงเฉินพลันปิดกล่องยาของตนดัง “ปัก” พร้อมหันไปกล่าวกับนางกำนัลของซีหลิงเทียนอวี่
“เพคะ เฟิ่งซิ่ว” นางกำนัลของซีหลิงเทียนอวี่พลันเชื่อฟังเฟิ่งชิงเฉินกว่าในคราแรกมากนัก ราวกับว่า พวกเขาเห็นนางเป็นเจ้านายอีกคนหนึ่งแล้ว น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจไม่ พร้อมกับเดินถือกล่องยาออกไปอย่างรวดเร็ว
วันพรุ่งนี้ นางยังต้องมีแข่งขันกับซูหว่านอีก เสด็จอาเก้ากับซีหลิงเทียนอวี่ฉุดนางออกมาเช่นนี้ มิรู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาดูถูกนางหรือว่าเห็นแก่ตนเองมากเกินไป พวกเขาทั้งสองคนเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องของตนเอง หาได้คิดถึงเรื่องของนางไม่
ซีหลิวเทียนอวี่ไม่รู้ แต่เสด็จอาเก้าจะไม่รู้ได้อย่างไร การแข่งขันของนางและซูหว่านเกิดขึ้นเพราะผู้ใด หากมิใช่เพราะเสด็จอาเก้า นางจะต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรือ
“เฟิ่ง” แต่เดิมซีหลิงเทียนอวี่เป็นกังวลเรื่องการแข่งขันของเฟิ่งชิงเฉินในวันพรุ่งนี้ แต่น่าเสียดาย ที่เฟิ่งชิงเฉินเหลือไว้แต่แต่เพียงแผ่นหลังที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกลให้เขาเห็นเท่านั้น
“นับว่าเป็นสตรีที่แสบสันเสียจริง เกรงว่า คงจะมีแต่เสด็จอาเก้าเท่านั้นกระมัง ที่กล้าพูดกับนาง คนปกติผู้ใดจะไปกล้าคุยด้วย” ซีหลิงเทียนอวี่พยายามที่จะหาทางลงให้กับตนเอง แต่ภายในใจขอบเหล่านางกำนัลรู้ดีว่า ฝ่าบาทเพียงแค่รู้สึกไม่ดี ที่ไม่อาจทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกมาอยู่ในมือของตนเองได้ แต่ทว่า องค์ชายของพวกนางก็หาได้คิดสนใจอันใด ทั้งยังหาเหตุผลมาปลอบใจตนเองอีก
นางกำนัลทั้งหลายพลันก้มหน้าหัวเราะเยาะเย้ยออกมา พร้อมทั้งแอบครุ่นคิดภายในใจอย่างเป็นสุขว่า องค์ชายได้พบเจอกับคนที่สามารถเข้ามาควบคุมเขาได้แล้ว
เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินเดินออกไป ก็พลันเห็นเสด็จอาเก้าอยู่หน้าประตูไม้ในทันที มือทั้งสองพลันไพล่หลังเอาไว้ พร้อมกับหันหน้ามองแสงอาทิตย์ในยามอัสดง แสงอาทิตย์ที่สอดส่องมายังร่างของพระองค์นั้น ทำให้เสด็จอาเก้าดูเหมือนเทพเซียนก็ไม่ปาน
เฟิ่งชิงเฉินถึงกับขาดสติไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมานั้น ก็พลันคิดได้ว่า บางทีเสด็จอาเก้าคงจะมายืนรอนางตรงนี้กระมัง มิเช่นนั้น พระองค์จะมายืนอยู่หน้าห้องของซีหลิงเทียนอวี่ทำไมกัน
“เสด็จอาเก้าเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“บาดแผลขององค์ชายสองเป็นเช่นไรบ้าง?” เสด็จอาเก้าพลันหันกลับมา แผ่นหลังของเสด็จอาเก้าที่หันชนกับแสงของดวงอาทิตย์นั้น ทำให้นางมองใบหน้าของเสด็จอาเก้าได้เลือนรางยิ่งนัก
“เป็นปกติดีเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินพลันขยี้ตาของตนเองเล็กน้อย เพื่อให้นัยน์ตาของตนเองสู้แสง
“ไม่เป็นไรก็ดี ไป เดินเล่นเป็นเพื่อนเปิ่นหวางเสียหน่อย” เสด็จอาเก้าหาได้ปล่อยโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปฏิเสธไม่ พร้อมกับเดินนำหน้านางไปยังทางเดินน้อย ๆ แทน
อื้ม เขาจำได้ว่า ที่นั่นวิวทิวทัศน์ดีไม่น้อย เฟิ่งชิงเฉินต้องชอบอย่างแน่นอน เสด็จอาเก้าพลันครุ่นคิด
“เสด็จอาเก้าเพคะ หากพระองค์มีสิ่งใดเรียนกับหม่อมฉันมาตามตรงเถิด ชิงเฉินยังต้องกลับเข้าไปในเมืองอีก” หากเป็นในยามปกติละก็ เฟิ่งชิงเฉินคงไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์เป็นแน่ แต่ในวันนี้ นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ถึงแม้ว่านางจะทำตัวเฉยเมย มิได้รู้สึกเป็นกังวลในงานแข่งขันของวันพรุ่งนี้ แต่ก็ต้องให้นางมีเวลาเตรียมตัวเสียบ้าง อีกทั้งเรื่องของฉินสายน้ำแข็งยังมิทันแก้ปัญหาได้ นางจะมามีเวลาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนเสด็จอาเก้าได้อย่างไรกัน
ฝีเท้าของเสด็จอาเก้าพลันหยุดชะงักไปในทันที ร่างกายพลันแข็งทื่อ สีหน้าพลางมืดครึ้มลงไปอีก พร้อมกับหันกายมาจ้องหน้าเฟิ่งชิงเฉินอยู่นาน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงมีท่าทีที่เงียบสงบเช่นเดิม เสด็จอาเก้าในยามนี้โมโหเสียจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
“เจ้ากำลังเป็นกังวลเรื่องงานแข่งขันในวันพรุ่งนี้?” นับว่าเสด็จอาเก้ายังพอจำได้ ว่าเหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงได้ร้อนใจเช่นนี้
“เพคะ”
“เจ้าเริ่มจะกังวลกับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้แล้วหรือ?” ตั้งแต่วันประกาศการแข่งขันจนถึงวันนี้ เฟิ่งชิงเฉินล้วนแต่มีท่าทีสบายอารมณ์ดั่งปุยเมฆ เสด็จอาเก้าจึงเข้าใจว่า เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก
“ย่อมต้องรู้สึกเป็นกังวลเพคะ” เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของนางเชียว นางจะไม่กังวลได่อย่างไร อีกทั้ง นางยังไม่รู้ว่าฮองเฮาเล่นเล่ห์กลอันใดเอาไว้บ้าง ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่หวังว่า หลานจิ่วชิงจะสามารถแก้ปัญหาของฉินสายน้ำแข็งให้นางได้โดยไว
“ทำไม? เจ้าไม่คิดว่าตนเองจะชนะงั้นหรือ?”
“ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันใด แพ้ชนะล้วนแต่แบ่งเป็นห้าต่อห้า หม่อมฉันที่ยังมิได้ลงแข่ง จะสามารถมั่นใจว่าตนเองจะเอาชัยได้อย่างไรเพคะ” ถึงแม้ว่านางจะมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีอุบัติเหตุอันใดเกิดขึ้น หากมิอยู่จนครบนาทีสุดม้าย ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าตนเองสามารถเอาชนะได้เช่นกัน
การผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จ ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับการติดเชื้อหลังทำการผ่าตัด เฟิ่งชิงเฉินจึงมิเคยคิดที่จะประเมินตัวเองสูง ทั้งยังไม่คิดที่จะประมาทในคู่ต่อสู้ของตนอีกด้วย การแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ซูหว่านนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งของนาง
เสด็จอาเก้าพลันเงียบไปครู่หนึ่ง “ถ้าหากเจ้าไม่อยากลงแข่งขันละก็ วันพรุ่งนี้เปิ่นหว่างจะช่วยเจ้ายกเลิกการแข่งขันเอง” นี่มิใช่ทางหนีใช่หรือไม่ เสด็จอาเก้าครุ่นคิด
“ขอบพระทัยเสด็จอาเก้าเพคะ เรื่องการยกเลิกคงไม่จำเป็นแล้วเพคะ ถึงแม้ว่าชิงเฉินจะไม่สามารถเอาชัยมาได้ แต่อย่างน้อยชงเฉินก็คงไม่พ่ายแพ้จนหมดรูปกระมัง ยังคงเป็นคำเดิมเพคะ แพ้ชนะมีความเป็นไปได้ห้าต่อห้า หากมิถึงวินาทีสุดท้าย ย่อมไม่มีผู้ใดรุู้ผลลัพธ์ของการแข่งขัน” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากปฏิเสธออกมาในทันที
ยกเลิก? เสด็จอาเก้าต้องการจะยกเลิกการแข่งขันของนางและซูหว่านงั้นหรือ เช่นนั้น พระองค์คงจะไม่ไปยั่วยุ ให้ตระกูลซูมองนางเป็นศัตรูต่อพวกเขาในทีแรกหรอกกระมัง ถึงอย่างไร นางและซูหว่านก็ตกเป็นหมากให้กับเสด็จอาเก้ามาตั้งแต่แรก
“เจ้ารีบลงมือกับซูหว่านเสีย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอแค่จำไว้ว่า มีเปิ่นหวางอยู่ ย่อมไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้แต่” เสด็จอาเก้ารับรู้ได้ถึงความกังวลของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี พระองค์ถึงได้เอ่ยปากให้คำสัญญาออกไปเช่นนี้
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จอาเก้า” เฟิ่ิงชงเฉินไม่อาจสนใจเพียงคำสัญญาของเสด็จอาเก้าได้ แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมายที่อยู่ตรงหน้า ผู้คนก็สามารถเสียสละเพื่อมันได้เช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“เปิ่นหวางจะส่งคน ไปคุ้มครองเจ้ากลับเข้าเมือง” เสด็จอาเก้าจึงมิได้คิดรั้งเฟิ่งชิงเฉินให้อยู่ชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนตนเองอีก หุบเขาอยู่เพียงแค่นี้ เฟิ่งชิงเฉินจะมาเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งจิตใจของนางในยามนี้ ก็ไม่เหมาะที่จะมาเดินเล่นชมวิวอีกด้วย
“ขอบพระทัยเสด็จอาเก้า” นอกจากคำขอบคุณแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้พูดสิ่งใดอีก
เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีของเฟิ่งชิงเฉินที่สุภาพเรียบร้อย เสด็จอาเก้าก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
บางทีการเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เว้นระยะห่างต่อกัน มีความลับต่อกัน บางทีการให้ช่องว่างระหว่างกัน อาจจะทำให้อนาคตของพวกเขายืดยาวขึ้นก็ได้