นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 453 การบาดเจ็บที่อาจเสียความบริสุทธิ์
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 453 การบาดเจ็บที่อาจเสียความบริสุทธิ์
เฟิ่งชิงเฉินกลับมายังที่พำนัก นางปิดประตูและปฏิเสธการรับแขกทุกกรณี เฟิ่งชิงเฉินกำชับทงเหยาและทงจือเป็นพิเศษว่า นอกจากฮ่องเต้หรือท่านอ๋องเสด็จมาเยือนด้วยองค์เองแล้ว ใครหน้าไหนก็อย่าได้เข้ามารบกวนนาง ต่อให้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ช่าง
ผู้ที่ไม่รู้อะไรต่างก็เข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินคงกำลังเตรียมใจเรื่องการประลองในวันรุ่งขึ้น แต่ทงเหยาและทงจือเข้าใจดีว่านายหญิงของตนนั้นเพียงแค่ขี้เกียจและอยากนอนทั้งวันก็เท่านั้น หาได้วิตกเรื่องการประลองไม่
เหอะๆ……หากจะใช้คำว่านอนทั้งวันก็ดูเหมือนจะรุนแรงเกินไป ควรจะบอกว่านางใช้สมองหนักจึงต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องการประชันด้านการเขียนตัวอักษรในวันพรุ่งนี้ เฟิ่งชิงเฉินหาได้เป็นกังวลไม่ นางเองก็เตรียมพร้อม แต่การเตรียมพร้อมจะมีประโยชน์หรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องที่นางจะตอบได้ การประชันการเขียนตัวอักษรกับซูหว่านนางต้องแพ้อยู่แล้ว นำจุดอ่อนของตัวเองไปแข่งกับความเชี่ยวชาญของผู้อื่น นี่คงเป็นเรื่องที่นางทำบ่อยน่ะสินะ
เฟิ่งชิงเฉินนอนจนฟ้ามืดสนิท หลังจากนั้นนางจึงพบว่าคนที่หัวถึงหมอนก็หลับง่ายเช่นนาง มาวันนี้กลับตาสว่างยามค่ำคืน นางนอนไม่หลับ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปจุดโคมไฟอ่านหนังสือ นางมิได้อ่านตำราปรัชญาอะไรหรอก แต่ไปอ่านตำราแพทย์
ช่วงนี้นางกำลังเรียนแพทย์แผนจีน เนื่องจากนางเป็นหมอที่จบการแพทย์แผนตะวันตกมา การเรียนแพทย์แผนจีนด้วยตนเองจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากนัก นางเรียนรู้ได้รวดเร็ว แม้ระดับความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนของนางยังไม่โดดเด่นเท่าไรนัก แต่ก็พอตรวจหาโรคเบื้องต้นได้สบาย เพียงแต่ยังไม่สามารถลงมือรักษาได้
เมื่อยามดึกสงัด เฟิ่งชิงเฉินจึงเริ่มจะง่วงนอน นางเตรียมตัวไปเข้านอน แต่เมื่อเปิดประตูก็ดันไปได้กลิ่นคาวของเลือดเข้า
“นั่นใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวเสียงดังในขณะที่นางยังยืนอยู่ตรงประตู
ด้านนอกที่พำนักมีผู้ตรวจตราคอยเฝ้าอยู่ นางไม่ได้ยินเสียงการปะทะแม้แต่น้อย แสดงว่าผู้ที่บุกเข้ามาถึงในนี้ได้ จะต้องฝีมือไม่ธรรมดาแน่
“ข้าเอง อย่าเสียงดังสิ” หลานจิ่วชิงออกมาจากมุมลับภายในห้องหนังสือ มือขวาของเขากดไว้ตรงหน้าท้องเพื่อเป็นการห้ามเลือด
เสียงของเขาแผ่วเบา ลมหายใจอ่อนแรง เขาคงเจ็บมิใช่น้อย
“จิ่วชิง? ท่านได้รับบาดเจ็บอีกแล้วหรือนี่?” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ ต้องเข้าใจก่อนว่าหลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินมีคนคอยตามอารักขาแล้ว ก็แทบไม่มีใครย่องมาขอให้นางช่วยรักษาโรคให้ในยามวิกาลเลย
แน่นอนว่าผู้ที่มักจะรบกวนนางยามดึกเป็นประจำจะมีเพียงแค่หลานจิ่วชิง แต่รัชทายาทแห่งซีหลิงก็เคยเสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง นางจึงควรระวังตัวอยู่ตลอด หากตกไปอยู่ในเงื้อมมือของซีหลิงเทียนเหล่ยแล้วล่ะก็ ต่อให้นางรักษาชีวิตให้รอดตายออกมาได้ แต่ความไร้มลทินนางอาจไม่สามารถรักษามันไว้ได้ นางไม่เคยลืมสายตาที่ซีหลิงเทียนเหล่ยมองมาที่นางเลย
ภายใต้ความมืด หลานจิ่วชิงยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ “อืม เจ้าช่วยจัดการแผลให้ข้าหน่อยนะ พรุ่งนี้ข้ายังมีเรื่องให้ไปจัดการอีก”
“ไปที่ห้องหนังสือก่อนก็แล้วกัน” เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันได้ถามหลานจิ่วชิงว่าฝ่าด่านคนคุ้มกันเข้ามาได้อย่างไร นางเปิดประตูแล้วหันมาเชิญหลานจิ่วชิงเข้าไปภายในห้อง
แม้นางจะเคยให้คำมั่นว่าหากหลานจิ่วชิงเอ่ยปากขอสิ่งใดนางก็จะพยายามช่วยเหลือเท่าที่นางจะทำได้ แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะก้าวก่ายชีวิตหรือเรื่องส่วนตัวของเขาเลย
“ท่านไปนอนพักบนฟูกหลังฉากบังลมก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปหยิบของ” เฟิ่งชิงเฉินปิดประตูห้องหนังสือแล้วเดินไปทางห้องของทงจือและทงเหยา
เรื่องบางเรื่อง ก็ควรให้พวกนางรับรู้บ้าง
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว หลานจิ่วชิงก็หยิบของจากอกเสื้อออกมา เขาอยากนำของสิ่งนี้คืนให้เฟิ่งชิงเฉินหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังหาโอกาสเหมาะไม่ได้สักที ตอนนี้เขาบาดเจ็บ หากไม่พักฟื้นสักระยะคงไม่ได้ จึงใช้โอกาสนี้นำของคืนให้เฟิ่งชิงเฉิน ส่วนนางจะคิดอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของนาง
หลานจิ่วชิงนำของวางไว้ใต้ที่นอน เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าใจว่านั่นหมายความว่าอย่างไร
จะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะซวยแทนปู้จิงหยุน หากปู้จิงหยุนไม่ละทิ้งหน้าที่การงาน มีหรือที่เขาจะต้องมาบาดเจ็บอยู่เช่นนี้
ข่าวการหายตัวไปของเย่เย่เริ่มแพร่หลายออกไปเรื่อย หนานหลิงจิ่นฝานได้พบเจอสถานที่ที่ปู้จิงหยุนกักขังเย่เย่แล้ว หนานหลิงจิ่นฝานได้ส่งหน่วยกล้าตายไปช่วยเหลือเขาแล้ว เนื่องจากปู้จิงหยุนกำลังอยู่กับเป่าเอ๋อ ไม่ทันได้ดูสัญญาณการขอความช่วยเหลือจากเหล่าคนคุ้มกัน เมื่อมีคนบุกมาช่วยเย่เย่ เหล่าคนคุ้มกันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงต้องส่งข่าวไปถึงหลานจิ่วชิง
หลานจิ่วชิงรีบตามไปในทันที จนสามารถจับตัวเย่เย่เอาไว้ได้ แล้วจึงพาเย่เย่ไปยังที่คุมขัง แต่ระหว่างทางเขาบังเอิญไปพบกับการซุ่มโจมตีของซีหลิงเทียนเหล่ย ผลสุดท้ายเย่เย่ก็ถูกช่วยพาตัวหลบหนีไป ส่วนหลานจิ่วชิงก็บาดเจ็บสาหัส
ส่วนเรื่องที่ซีหลิงเทียนเหล่ยใช้หนานหลิงจิ่นฝาน หลานจิ่วชิงรู้สึกนับถือมาก และเขายังเข้าใจอีกด้วยว่าในหนานหลิงจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ มิฉะนั้นแล้วหนานหลิงจิ่นฝานคงไม่รีบจัดการเรื่องนี้แน่
และแน่นอนว่าเรื่องนี้คนที่เขาอยากตำหนิมากที่สุดก็คือปู้จิงหยุน สักวันหนึ่งปู้จิงหยุนคงได้ตายบนร่างของสตรีเป็นแน่ เห็นทีเขาจะต้องสั่งสอนปู้จิงหยุนเสียแล้ว
หลานจิ่วชิงนอนรอเฟิ่งชิงเฉินอยู่บนฟูก เมื่อมีเสียงคนเดินแว่วมา หลานจิ่วชิงก็รีบเตรียมระวังภัย ท่าทีของเขาเหมือนเสือดาวที่ดูน่ากลัวเกรง
เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าคน 3 คน ฝีเท้าคนๆหนึ่งฟังดูเหมือนเป็นผู้มีวิทยายุทธ ทุกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินทำแผลให้เขา นางก็มักทำแผลเพียงคนเดียว
“ทงเหยา ทงจือ พวกเจ้ารอข้าอยู่ข้างนอกนะ” เหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะรู้ว่าทำให้หลานจิ่วชิงเป็นกังวล จึงเอ่ยคำพูดไปเช่นนั้น
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ทงเหยาและทงจือรับคำ คุณหนูสั่งพวกนางให้เตรียมน้ำร้อนและผ้าสะอาดไว้ เป็นการแสดงออกว่าพวกนางก็เหมือนคนชิดใกล้ แต่ต่อให้จะชิดใกล้เพียงใด เรื่องบางเรื่องก็ไม่สมควรให้พวกนางรับรู้
เฟิ่งชิงเฉินถือกล่องยาเดินเข้ามา “ข้างนอกมีสาวใช้ของข้าอยู่ 2 คน มีพวกนางมาช่วยยืนเฝ้าจะปลอดภัยกว่า ท่านวางใจเถอะ พวกนางเชื่อใจได้”
เฟิ่งชิงเฉินได้มอบความไว้วางใจให้ทงจือและทงเหยาเรียบร้อยแล้ว
“อืม” หลานจิ่วชิงรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย และเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่คนสะเพร่า โดยเฉพาะเรื่องคอขาดบาดตาย เฟิ่งชิงเฉินจะระวังเป็นพิเศษ
“ท่านนอนดีๆอย่าขยับตัวล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปยกน้ำมา” เฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปรับของจากทงจือและทงเหยา แล้วจึงสั่งทงจือว่า “ทงจือ ให้คนครัวตุ๋นไก่มาสักหม้อหนึ่งนะ”
“เจ้าค่ะ” ทงจือเข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินไว้วางใจพวกนาง แต่พวกนางก็รู้ดีว่าควรวางตัวให้เหมาะสม สิ่งใดไม่ควรถามก็ไม่ต้องเอ่ยถาม
“ทงเหยา ตรงนี้ข้าให้เป็นหน้าที่เจ้า หากไม่มีคำสั่งจากข้า ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด” ผู้ที่คอยอารักขาด้านนอกเป็นคนของจวนซู่ชินอ๋อง ถึงแม้จะถูกมอบให้นางแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเชื่อใจทุกคนได้ ดีที่มีทงเหยามาช่วยนางอีกแรง
นี่คือข้อดีของการมีคนของตัวเอง ก่อนหน้านี้นางมีโจวสิงคอยจัดการทุกอย่างให้ ทำให้นางเบาใจลงไปมาก
เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาภายในห้องหนังสือแล้วจัดเตรียมข้าวของ นางขยับโคมไฟเข้ามาใกล้ ทำให้บริเวณนั้นสว่างจ้า
ห้องหนังสือสว่างไปทั่วห้อง ทำให้ฝ่ายตรวจตราสังเกตเห็น เหล่าผู้อารักขารีบวิ่งกรูเข้ามา เมื่อเห็นทงเหยายืนเฝ้าอยู่ทุกคนจึงโล่งใจ เมื่อถามไถ่ทงเหยาจนแน่ใจว่าทุกอย่างปกติดีแล้ว เหล่าผู้อารักขาก็ค่อยๆกลับออกไป
เฟิ่งชิงเฉินซึ่งกำลังล้างแผลให้หลานจิ่วชิงอยู่ก็รู้สึกโล่งใจที่มีทงเหยาเฝ้าด้านนอก มิฉะนั้นแล้วนางคงต้องออกไปอธิบายให้ใครต่อใครฟัง เสียเวลายิ่งนัก
บาดแผลที่ช่องท้องของหลานจิ่วชิงยาวประมาณ 10 เซนติเมตร กว้างราวๆ 3-4 เซนติเมตร ลึก 2 เซนติเมตร หากปลายของมีคมแทงลึกมากกว่านั้นอีกนิดเดียว หลานจิ่วชิงคงไม่รอดชีวิตแน่
เนื่องจากตำแหน่งของบาดแผลค่อนข้างจะพิเศษ เฟิ่งชิงเฉินจึงตัดผ้ารอบๆบาดแผลออก แล้วบอกหลานจิ่วชิงให้ดึงกางเกงลง มิฉะนั้นนางจะตัดออกให้หมด แล้วหลานจิ่วชิงก็จะไม่มีกางเกงใส่
หลานจิ่วชิงนอนตัวแข็งทื่อ เขาไม่กล้ากระดิกตัวแม้แต่น้อย และในตอนนี้เองเขาก็รู้สึกว่าตนเองบาดเจ็บในจุดที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ตอนเฟิ่งชิงเฉินเช็ดแผลก็ไปสัมผัสกับจุดที่ไม่สมควรไปสัมผัส หากเขาคุมตัวเองไม่เก่งพอ ไม่แน่ว่าของบางอย่างที่ไม่ควรลุกขึ้นมาอาจจะลุกขึ้นมาต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นได้ หลังจากที่เขาปลดกางเกงแล้ว ด้านล่างจะมีสภาพอย่างไร เขาเองก็เกรงว่าจะเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่……