นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 455 ความฟุ้งเฟ้อที่หญิงสาวปรารถนา
เรื่องการเขียนตัวอักษรเป็นเรื่องที่ตัดสินระดับฝีมือยาก แต่ละคนมีรูปแบบตัวอักษรที่ชื่นชอบแตกต่างกัน หากมีคนเพียงคนเดียวมาตัดสินผลแพ้ชนะ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรม ดังนั้นกรรมการการเขียนตัวอักษรจึงมีกัน 7 คน
มีเสด็จอาเก้า ซีหลิงเทียนเหล่ย เหยียนหล่าว คุณชายหยวนซี ส่วนอีกสามคนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนตัวอักษร ซึ่งสามคนนี้มาจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย
เรื่องสถานภาพของกรรมการทั้งสามคนนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่รู้รายละเอียด พวกเขาชื่นชอบตัวอักษรแบบใดนางเองก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าพวกเขาทรงอำนาจ ตงหลิงและหนานหลิงต่างให้การยอมรับ
อันที่จริง เฟิ่งชิงเฉินมองว่าฝ่ายตรงข้ามคิดมากเกินไปหน่อย ฝีมือการเขียนตัวอักษรเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสิน ตัวอักษรของนางและซูหว่านต่างกันราวฟ้ากับเหว นางคิดว่าเรื่องนี้ทั้งซูหว่านและหนานหลิงจิ่นฝานคงรู้ดี
แม้จะพอมีฝีมือด้านการเขียนตัวอักษรอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นตัวอักษรที่นางเขียนแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางเขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
เกี้ยวได้มาหยุดลงหน้าสำนักบัณฑิต เฟิ่งชิงเฉินลงจากเกี้ยว นางมองฝูงชนที่มาคอยเฝ้าดู พวกเขาร้องตะโกนขึ้นมาว่า ” เฟิ่งชิงเฉิน นั่นเฟิ่งชิงเฉินนี่”
“เฟิ่งชิงเฉิน นั่นเฟิ่งชิงเฉินจริงๆด้วย ดูเหมือนนางจะไม่กังวลเรื่องการประลองวันนี้เลยนะ ไม่เสียแรงที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นคุณหนูในตงหลิง ตอนแรกก็นึกว่าการประลองทั้งแปดรอบ นางจะชนะแค่รอบฝีมือทางการแพทย์และขี่ม้ายิงธนู นึกไม่ถึงเลยว่าเปิดฉากมานางก็เอาชนะซูหว่านแห่งหนานหลิงได้แล้ว รอบหมากล้อมก็เสมอกับนางด้วย”
“เฟิ่งชิงเฉินสู้ๆ พวกเราอยู่ฝั่งท่าน เอาชนะซูหว่านแห่งหนานหลิงให้ได้นะ พวกเราเดิมพันไว้ว่าท่านต้องชนะถึง 5 รอบเชียวนะ” ชนะ 5 ใน 8 หากคำนวณดูแล้วก็ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่เหนือซูหว่านอย่างขาดลอย
แน่นอนว่าในขณะที่มีคนอยากให้เฟิ่งชิงเฉินชนะ ก็มีบางกลุ่มที่อยากให้เฟิ่งชิงเฉินพ่ายแพ้ คนที่เดิมพันให้ซูหว่านชนะมีจำนวนที่มากกว่า
ผู้คนที่มารอชมการประลอง พวกเขาหาได้ใส่ใจเรื่องการแพ้ชนะของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาสนใจเรื่องเงินที่พวกเขาแทงพนันไปต่างหาก
ในเวลาไม่กี่วัน วงเงินการเดิมพันผลการแพ้ชนะระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านก็มีมากเกือบ 1 พันล้านตำลึง หากชนะพนันได้ก็เท่ากับได้เข้าใกล้เงิน 5 ร้อยล้านตำลึง ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากโขพอที่จะทำให้คนๆหนึ่งเป็นบ้าได้เลยทีเดียว
ยอดเงินแทงพนันที่พุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาเฟิ่งชิงเฉินตื่นเต้นไม่น้อยเลย แม้ว่านางจะได้รับส่วนแบ่งไม่มากนัก เอ่อ……ที่ตอนแรกบอกว่าครึ่งหนึ่ง แต่เนื่องจากผู้พนันมีมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นนางคงได้ส่วนแบ่งในอัตรา 1 ใน 100 ซึ่งถือเป็นยอดเงินที่มากพอสมควร แม้จะเป็นแค่เพียง 1 ใน 100 แต่เงินก้อนนี้ก็พอทำให้นางสุขสบายไปทั้งชาติ
หากอยากได้เงินก้อนโต จะเล่นตามกฎตามเกณฑ์คงไม่ได้ เท่าที่มองดูฝูงชนรอบๆแล้ว ฝูงชนเกินกว่าครึ่งก็เปรียบเสมือนคนที่นำเงินมาให้นาง เฟิ่งชิงเฉินยิ้มกว้างมากกว่าเดิม นางพยักหน้าให้ทุกคน “ชิงเฉินจะพยายามอย่างสุดฝีมือค่ะ จะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง……” แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ประโยคหลังจากนั้นนางหาได้เอ่ยปากออกมาไม่ นางได้แต่ยิ้มตาหยี รอยยิ้มของนางดูเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก
เรื่องการแทงพนัน แต่ไหนแต่ไรมาโอกาสแพ้ย่อมมีมากกว่าโอกาสจะชนะ คนที่จะชนะ นอกจากนักลงทุนรายใหญ่แล้วก็มีเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น
“สุดยอด เยี่ยมไปเลย แม่นางเฟิ่ง พวกเราเอาใจช่วยท่านนะ” เฟิ่งชิงเฉินวางตัวเป็นมิตร แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ผู้คนชื่นชอบนาง สาเหตุหลักคือเรื่องแทงพนัน ในสายตาของคนเหล่านี้แล้ว การแพ้ชนะของเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นตัวกำหนดชัยชนะของพวกเขา มีใครบ้างล่ะที่ไม่อยากได้เงิน
ซูหว่านมาถึงช้ากว่าเฟิ่งชิงเฉินเพียงก้าวเดียว ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเดินเข้าสู่ลานประลอง ซูหว่านก็กำลังลงจากเกี้ยวอย่างเอื่อยเฉื่อย แม้จะพ่ายแพ้มา 1 รอบ แต่ยังมีอีก 1 รอบที่ยังไม่ปรากฏผลการแพ้ชนะ แม้นางจะช้ำใจที่พ่ายแพ้ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
เมื่อเห็นเสื้อผ้าเฟิ่งชิงเฉิน ใบหน้าของซูหว่านก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มาดมั่น แล้วจึงก้าวเท้าเดินอย่างสง่างาม
ช่างบังเอิญเหลือเกิน วันนี้ซูหว่านก็สวมเสื้อสีส้มเช่นเดียวกัน เพียงแต่เสื้อของซูหว่านดูหรูหราและภูมิฐานกว่าเสื้อเฟิ่งชิงเฉิน เครื่องประดับของซูหว่านก็ล้วนมีราคาสูง
แม้นางจะเป็นเพียงสาวน้อย แต่ก็ดูมีสง่าราศี หากเทียบกับซูหว่านแล้ว การแต่งกายของเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ดูธรรมดายิ่งนัก ดีที่คนทั้งสองไม่ได้ยืนใกล้ๆกัน
อันที่จริง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินต้องยืนข้างซูหว่านนางก็ไม่หวาดหวั่น แม้พวกนางจะสวมเสื้อสีเดียวกัน ทว่าแต่ละคนต่างมีรูปแบบเฉพาะของตัวเอง
ซูหว่านดูภูมิฐานและฟู่ฟ่า นางสง่างามมาก แต่ละคนงามแตกต่างกันไป หากเทียบเรื่องความหรูหราแล้ว เฟิ่งชิงเฉินดูจืดไปถนัดตา แต่นางก็ไม่ได้ต้องการแข่งเรื่องพวกนี้กับซูหว่าน
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากแข่งกับนาง แต่ซูหว่านกลับไม่ปล่อยให้โอกาสเหยียบย่ำเฟิ่งชิงเฉินหลุดลอยไป เมื่อซูหว่านนั่งลง นางก็ลูบไล้เส้นผมอย่างตั้งใจ ให้ทับทิมระย้าจากปิ่นปักผมนางไปเย้ายวนเฟิ่งชิงเฉิน แถมยังถือโอกาสอวดโฉมกำไลหยกวงงามอีกด้วย
กรรมการยังไม่มา ซูหว่านเองมั่นใจดีว่าบุคลิกของนางจะต้องสร้างความประทับใจให้กรรมการได้แน่นอน
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างไม่แยแส นางแต่งตัวมาดี แต่งตัวมาเหมาะสม นางไม่จำเป็นต้องไปโอ้อวดเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์กับผู้ใด นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มันเป็นเรื่องที่เปรียบเทียบกันไม่ได้
นางเป็นหญิงสาว ย่อมโปรดปรานเสื้อผ้างามๆและเครื่องประดับอยู่แล้ว แต่นางรู้ดีว่าเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์นางคงสู้ซูหว่านไม่ได้
เรื่องที่ตระกูลซูร่ำรวยกว่านางคงไม่ต้องพูดถึง ของสะสมตลอดร้อยปีที่ผ่านมาของตระกูลซูนั้น ชาตินี้ทั้งชาติ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีปัญญาซื้อ
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด สิ่งของอันล้ำค่ามักอยู่ในมือผู้ทรงอำนาจเสียส่วนใหญ่ ของล้ำค่าส่วนมากมักถูกส่งมอบกันจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีทางจะปล่อยให้คนนอกได้ครอบครอง หากไม่เดือดร้อนเรื่องเงินก็ไม่มีทางขาย ต่อให้จำเป็นต้องขายจริง ก็จะมีผู้ที่ทรงอำนาจชิงซื้อไปเสียก่อน
นี่คือความแตกต่างระหว่างคนทั่วไปกับขุนนาง คนทั่วไปทำได้แค่ซื้อของที่ดีที่สุดและแพงที่สุดตามท้องตลาด แต่ของของขุนนางจะเป็นของที่มีเอกลักษณ์และมีที่มาที่ไปสุดพิเศษ
ถึงแม้ว่าเครื่องประดับและเสื้อผ้าอันเลอค่าจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไรนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องประดับที่ทำมาจากอัญมณีชั้นสูงย่อมดูดีกว่าเครื่องประดับทั่วๆไป เหมือนดั่งเพชรเปรียบกับเพทาย
ส่วนเรื่องเนื้อผ้าก็เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของเสื้อผ้า เสื้อผ้าแบบเดียวกันที่เนื้อผ้าคนละแบบก็ย่อมมีราคาแตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ปรากฏยามสวมใส่ก็ต่างกันตามไปด้วย เสื้อผ้าลอกเลียนแบบที่ผลิตอย่างประณีตก็ไม่อาจเทียบชั้นของจริงได้ หากสองสิ่งนี้มาอยู่ใกล้ๆกันก็จะมองเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเรื่องพวกนี้มานานแล้ว หากพูดเรื่องความอิจฉาก็คงจะมีบ้าง นางไม่ใช่เทพ ความอยากได้อยากมีจึงเป็นเรื่องธรรมดา มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบของสวยๆงามๆ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ต่างจากผู้หญิงทั่วๆไป
พูดเรื่องความอิจฉา นางคงไม่ได้อิจฉาถึงเพียงนั้น พวกเสื้อผ้าอาภรณ์อันงามเลิศจะมีก็ดีหรือไม่มีก็ได้ ขอเพียงได้กินอิ่มนอนหลับก็พอแล้ว หลังจากมีชีวิตที่สุขสบายดีแล้ว จึงจะมีเวลาไปไขว่คว้าสิ่งที่ดีกว่าเดิม
เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เฟิ่งชิงเฉินเลือกสรรในระดับหนึ่ง นางแต่งกายตามกาลเทศะ เป็นการให้เกียรติเจ้าของสถานที่และให้เกียรติตัวเองไปในตัว คนเราเป็นสัตว์สังคม หากใช้ชีวิตตามโลกส่วนตัวของตัวเองมากไปก็คงไม่ดีนัก
นางเลือกสรรเสื้อผ้าเป็นอย่างดี เพื่อให้ตัวเองแต่งกายอย่างเหมาะสม สร้างความประทับใจให้ผู้คน แต่นางก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังเรื่องเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว นางยังมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย
เสื้อผ้าที่ดึงดูดสายตาผู้คนในวันแรกก็ไม่ใช่สิ่งที่นางตระเตรียมมา เสื้อที่นางสวมใส่หลังจากนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเสื้อผ้าตัวแรก ในการออกงานสำคัญไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำ วันต่อๆมานางจึงเลือกสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าซูหว่านจะมาแข่งกับนาง เพื่อเอาชนะนางแล้ว ซูหว่านทำได้ทุกอย่างโดยที่ไม่กลัวเสียหน้า การสวมใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันกับนาง ไม่รู้เลยจริงๆว่าซูหว่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่……