นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 462 เปิดโปง แก้ปัญหาเอาเองได้
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 462 เปิดโปง แก้ปัญหาเอาเองได้
“โอ๊ย…” เฟิ่งชิงเฉินร้องเจ็บปวดแผ่วเบา นัยน์ตาพร่ามัวของนางค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หลังจากรู้สภาพของตนเองแล้ว รูม่านตาของเฟิ่งชิงเฉินก็ขยายกว้าง ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือปล่อยมือและผลักเสด็จอาเก้าออก การเคลื่อนไหวของนางว่ารวดเร็วแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของเสด็จอาเก้าเร็วยิ่งกว่า…
เสด็จอาเก้าโอบเอวของนางแน่นขึ้น ทำให้ร่างของนางยิ่งแนบชิดสนิทกันกับเขาโดยไร้ช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่
เฟิ่งชิงเฉินเอนกายไปด้านหลังเพื่อหนีเสด็จอาเก้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขากลับจับศีรษะของนางไว้ก่อนอย่างรวดเร็วและไม่ให้โอกาสนางได้ปฏิเสธเลย
“เสด็จ…” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยเรียก แต่นางไม่รู้ว่าเสียงของตนกลับถูกย้อมไปด้วยความอ่อนระทวย ไม่เพียงแต่ไม่มีแววคาดคั้นกดดัน ซ้ำกลับแฝงแววเย้ายวน
อีกสองคำนั้น เสด็จอาเก้าไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินพูด เขาก้มศีรษะลงมาประทับจูบลงบนริมฝีปากสีแดงของเฟิ่งชิงเฉินอย่างแม่นยำและปิดปากนางก่อนที่นางจะพูดจบ
สายเกินไปที่จะบรรยายรสจูบของเฟิ่งชิงเฉินด้วยริมฝีปากและลิ้นของเขา เขาฉวยโอกาสยามปากแดงของเฟิ่งชิงเฉินเผยอออกเล็กน้อยสอดแทรกลิ้นเข้าไปด้านในและหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆ ของนาง ลิ้มรสความหวานฉ่ำของเฟิ่งชิงเฉิน
ยิ่งเฟิ่งชิงเฉินพยายามหนี เสด็จอาเก้าก็ยิ่งถูกปลุกเร้า ทั้งสองราวกับค้นพบความสนุกสนาน เสด็จอาเก้ารุกล้ำเข้าไปในปากของเฟิ่งชิงเฉินมากขึ้นเรื่อยๆ…
ถ้าเจ้าถอย ข้าจะรุก ถ้าเจ้าหลบ ข้าจะตาม เสด็จอาเก้าตักตวงความสุขโดยไม่หยุดหย่อนและไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินขัดขืน
สำหรับการจูบนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเสด็จอาเก้า แต่เขาไม่มีฝีมือเลยจริงๆ โชคดีที่ในเรื่องนี้บุรุษดูเหมือนจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้โดยปราศจากอาจารย์ บวกกับครั้งก่อนที่บุกเข้าวังหลวงในยามวิกาลนั้นก็มีประสบการณ์เล็กน้อย ยามนี้เสด็จอาเก้าไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนเขาเลย เขาเชี่ยวชาญในการจูบอย่างรวดเร็ว เขาสามารถปลุกเร้าเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างง่ายดายและยังปลุกเร้าตนเองได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
ร่างกายส่วนล่างของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด ร่างกายของเขาต้องการมากขึ้น เขาแทบรอไม่ไหวที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหญิงสาวตรงหน้า เพียงแค่จูบเริ่มไม่อาจตอบสนองความต้องการของเสด็จอาเก้าได้อีกต่อไป เขาต้องการมากกว่านี้
มือของเสด็จอาเก้าเริ่มซุกซน มันค่อยๆ เลื่อนลงไปด้านล่าง สัมผัสผ้ารัดเอวของเฟิ่งชิงเฉิน เพียงนิ้วเกี่ยวกระหวัด สายรัดเอวของนางก็ถูกปลดออกอย่างง่ายดาย…
เสด็จอาเก้าอาศัยชั่วพริบตาที่เว้นหายใจดึงเสื้อของเฟิ่งชิงเฉินออก เมื่อไม่มีเสื้อตัวนอกขวางกั้นแล้ว มือของเสด็จอาเก้าก็สอดเข้าไปในเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉิน มือหยาบของเขาลูบไล้ไปตามผิวที่บอบบางของนางและค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปทางด้านหน้าทีละน้อย…
เฟิ่งชิงเฉินหอบหายใจ มือของนางโอบเอวเสด็จอาเก้าแน่น เสด็จอาเก้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร นางก็อิงแอบแนบชิดอยู่กับร่างของเขา นางก็ต้องการมากกว่านี้เช่นกัน…
บุรุษผู้นี้คือคนที่อยู่ในใจนาง คนที่นางโหยหา แม้ว่านางจะเตือนตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าให้อยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ แต่ในตอนนี้ นางไม่สามารถปฏิเสธเขาได้เลย
นางโหยหาชายผู้นี้และต้องการชายผู้นี้ แต่ในขณะนี้นางไม่มีเหตุมีผลอีกต่อไปและอาศัยเพียงสัญชาตญาณที่ทำตามความปรารถนาของตนเอง
ไม่นานร่างของทั้งสองสอดประสานเข้าด้วยกัน เสื้ออีกชั้นของเฟิ่งชิงเฉินถูกคลายออก เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่สวยงามและผ้าปิดหน้าอกสีแดงด้านใน
เสด็จอาเก้ากลืนน้ำลาย ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้น ความร้อนที่ลุกโชนจากร่างกายส่วนล่างของเขานาบลงไปยังส่วนบอบบางของเฟิ่งชิงเฉิน มันกระตุกเป็นครั้งคราวยิ่งทำให้เขากระตือรือร้นที่จะฝ่าอุปสรรคของชั้นผ้าเพื่อจะได้สัมผัสมากยิ่งขึ้น…
มือของเสด็จอาเก้าเลื่อนออกจากร่างกายส่วนบนของเฟิ่งชิงเฉินลงไปยังด้านล่างกระโปรงพร้อมที่จะดึงกระโปรงของนางออก แต่กระโปรงนั้นถอดยากกว่าผ้ารัดเอว เสด็จอาเก้าพยายามถอดอยู่นานก็ไม่สำเร็จ เขาหงุดหงิดและร้อนรนเล็กน้อย ส่วนนั้นที่ด้านล่างก็ยิ่งไม่เชื่อฟัง มันยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…
ทางนี้ไปไม่ได้ เขาเปลี่ยนไปทางอื่นก็แล้วกัน ในเมื่อเขาถอดกระโปรงของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ถอดแล้ว หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเขาทนไม่ไหวแล้ว
เสด็จอาเก้าจับมือเฟิ่งชิงเฉินดึงมายังส่วนที่ร้อนรุ่มที่สุดเขา มีชั้นกางเกงกั้นอยู่ แต่ก็ยังเห็นได้ว่าส่วนนั้นของเขาไม่เล็กเลย เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจท่าทางของตนเอง นางกอบกุมสิ่งนั้นไว้ในมือ กางเกงที่ขวางกั้นทำให้นางไม่อาจรู้สึกถึงอุณหภูมิของสิ่งนั้นว่ามันกำลังแผดเผาเพียงใด จนกระทั่งสิ่งนั้นขยับ นางจึงได้สติขึ้นมา…
“อ๊า…” เฟิ่งชิงเฉินกรีดร้องและใช้แรงจับ
“อืม…” เสด็จอาเก้าส่งเสียงครางที่ดูทั้งเจ็บปวดและสุขสม
เฟิ่งชิงเฉินตกใจและรีบปล่อยสิ่งนั้นที่อยู่ในมือ ดวงตาที่พร่ามัวของนางกลับมาแจ่มชัด เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางของนางและเสด็จอาเก้าในยามนี้ แก้มสีดอกกุหลาบของนางก็ร้อนขึ้นกว่าเดิม
“โรคจิต” หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินได้สติแล้ว นางก็ผลักเขาออกอย่างแรง เสด็จอาเก้าที่กำลังมัวเมาในกามารมณ์ไม่ทันได้ระวังตัวจึงหงายหลังดังตึงและด้านหลังศีรษะกระแทกเข้ากับรถม้าจนหัวโนและมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างงุนงงราวกับว่าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินรีบจัดเสื้อผ้าของนางและถลึงตามองเสด็จอาเก้าอย่างดุเดือด นางลืมไปเลยว่าคนที่นางต่อว่าว่าโรคจิตเพิ่งจะทำให้นางถึง…
“นายท่าน?” คนขับรถม้าดึงบังเหียน รถม้าหยุดลง องครักษ์วิ่งเข้ามา
ไม่ต้องมองก็รู้ว่ามีกลุ่มคนล้อมอยู่นอกรถม้า
เฟิ่งชิงเฉินตกใจ เมื่อนางคิดถึงเรื่องของนางและเสด็จอาเก้าบนรถม้า เฟิ่งชิงเฉินก็แทบจะอยากเอาหัวโขกกำแพง
ด้วยคำถามนี้จึงทำให้เสด็จอาเก้าสงบสติอารมณ์ลงได้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแดงก่ำและกระแอมไอเบาๆ เมื่อแน่ใจว่าเสียงของเขาไม่มีปัญหาแล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ”
“ขอรับ” คนขับรถม้ายังคงบังคับม้าเดินทางต่อไปโดยไม่พูดอะไรเลย แต่คนสองคนในรถนั้นอายแทบตายเพราะคำถามของเขา เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้าด้วยความขัดเขิน
กรี๊ดๆๆ นางไม่อยากอยู่ต่อแล้ว นางไม่มีหน้าไปพบคนอื่นแล้ว นี่คือรถม้า อยู่บนรถม้า ด้านนอกมีคนมากมาย นางกลับถูกเขานำพาอารมณ์จนเกือบสำเร็จแล้ว เกือบจะทำสิ่งที่ไม่สมควรทำลงไปแล้ว
ฮือๆๆ… นี่ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวที่ดีควรทำ
เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไร ความจริงแล้วเขาก็เขินเช่นกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าการจูบปลอบประโลมจะจบลงเช่นนี้ แต่เขาไม่เสียใจเลย สิ่งเดียวที่เขาเสียใจคือสถานที่และเวลาที่ไม่เหมาะสม
ครั้งต่อไป ครั้งต่อไปเขาต้องทำได้แน่ ครั้งต่อไปเขาต้องทำให้สำเร็จ อดทนไว้เช่นนี้ช่างทรมานนัก ส่วนล่างของเขาประท้วงเสียแล้ว
ต้องรู้ว่าเขาไม่ได้เด็กเกินไปแล้ว ตามหลักเขาควรจะมีคนในห้องเพื่อช่วยเขาแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพียงแต่เขาเกลียดผู้หญิง เกลียดกลิ่นแป้งที่พวกนางใช้จึงผลักไสพวกนางให้ห่างไป ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหานี้ด้วยตนเองโดยไม่ใช่ผู้หญิงเป็นเครื่องระบาย
แต่ตอนนี้… มีหญิงสาวผู้หนึ่งที่เขาสามารถเข้าใกล้ได้ เขาเต็มใจจะเข้าใกล้นางและถึงกับปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดและครอบครองนาง เขาไม่อยากทำผิดต่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว ส่วนเรื่องความถูกต้องนั้น ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องมอบให้นาง ความถูกต้องที่นางสมควรได้รับนั้น เขาจะไม่มีวันทำให้นางต้องน้อยเนื้อต่ำใจเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องได้รับความยินยอมจากเฟิ่งชิงเฉินด้วย ส่วนครั้งนี้น่ะหรือ? ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็เป็นเขาที่เสียมารยาท เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินอายจนไม่กล้าเงยหน้า เสด็จอาเก้าก็กล่าวปลอบโยน “รถม้าเก็บเสียงได้ดี ด้านนอกไม่มีผู้ใดได้ยินหรอก”
หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่ต้องอายไปหรอก นอกจากนี้ไม่ใช่เพียงนางที่อับอายเสียหน่อย เขาก็ขายหน้าเช่นกัน เขาอายุกว่ายี่สิบปีแล้วแต่ราวกับไม่เคยผ่านผู้หญิงมาก่อน เพียงแค่จูบเดียวทำให้เขาถึงกับสูญเสียความระแวดระวังไปจนเกือบจะจัดการนางให้เสร็จบนรถม้าเสียแล้ว
สาวงามสยบผู้กล้านั้นเป็นเรื่องจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีวันนี้ หรือว่าบุรุษทุกคนในตระกูลเขาถูกกำหนดให้อยู่ในกำมือของสตรีจากตระกูลของเฟิ่งหลีงั้นหรือ?
นี่เป็นการค้นพบอันแสนเศร้าของเสด็จอาเก้า อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“เฮอะ…” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางมองเสด็จอาเก้าอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาของนางเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน
สัตว์ที่ใช้ร่างกายท่อนล่างคิดโดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่ หากไม่ใช่เพราะเขา ไฉนเลยนางจะอับอายถึงเพียงนี้ แม้คนข้างนอกจะไม่ได้ยิน แต่นางจะมองหน้าคนอื่นอีกได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินจัดกระโปรงที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นพลางคิดในใจว่ายามลงจากรถนางจะทำเช่นไรดี
ถูกถลึงตามองกลับไม่เจ็บปวดหรือคัน บวกกับใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินที่ร่องรอยเขินอายยังไม่จางหายไป สายตานั้นเป็นอารมณ์เสียเจ็ดส่วน ส่วนอีกสามส่วนนั้นเป็นโทสะบางเบา หัวใจของเสด็จอาเก้ากลับรู้สึกยินดีและที่น่ายินดีมากขึ้นไปอีกก็คือ…
ในที่สุดท่อนล่างของเขาก็อ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่เมื่อถูกนางจ้องมองเช่นนี้มันกลับโด่ขึ้นมาอย่างไม่เชื่อฟัง อีกทั้งยังมากกว่าเดิมเสียอีก
เอ่อ… มันทั้งบวมและปวด เขาต้องการการปลดปล่อยอย่างเร่งด่วน เสด็จอาเก้าเหลือบมองท่อนล่างที่ไม่ยอมเชื่อฟัง แล้วมองไปยังเฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าอึดอัด
เพียงแค่มองเพียงครั้งเดียว เขาก็รู้สึกมีอารมณ์ ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
เฟิ่งชิงเฉินสังเกตเห็นสายตาของเสด็จอาเก้า นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “มีอะไรหรือ?”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ เมื่อสงบลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่อาจโทษเสด็จอาเก้าเพียงฝ่ายเดียว นางเองก็เป็นฝ่ายผิดด้วยเช่นกัน
เพราะอย่างไรนางไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธเสด็จอาเก้า แต่นางยังโอนอ่อนไปตามเขาและแม้กระทั่งตอบสนองเขา เรื่องแบบนี้ย่อมตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากปราศจากความร่วมมือของนางแล้ว เสด็จอาเก้าก็คงไม่อาจไปถึงขั้นนั้น
นางเคยเห็นการควบคุมตนเองของเสด็จอาเก้า นางต่างหากที่ควบคุมตนเองได้ไม่ดี เมื่อนางถูกเสด็จอาเก้าชักนำ นางก็ลืมเรื่องอื่นๆ ไปสิ้น
“ทำอย่างไรดี?” เสด็จอาเก้าชี้ไปที่สิ่งที่โดดเด่นตรงส่วนล่างของเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา นัยน์ตาลึกล้ำของเขาเหม่อลอยและทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของเขาแฝงแววไม่ประสีประสา
เอาเถอะ เขายอมรับว่าเขาไร้ยางอายเล็กน้อย หากเป็นยามปกติเขาไม่มีทางหยอกล้อนางเช่นนี้แน่ แต่ทว่า… เขาถูกเฟิ่งชิงเฉินเมินเฉยไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาจะต้องถูกนางเมินใส่เป็นครั้งที่สองงั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินสามารถแกล้งเขาได้ เหตุใดเขาจะแกล้งนางกลับบ้างไม่ได้ นอกจากนี้เขายังชอบที่จะเห็นเฟิ่งชิงเฉินเขินอายและหน้าแดง นางที่เป็นเช่นนั้นงดงามจนแทบทำให้เขาอยากจะกลืนกิน
เฟิ่งชิงเฉินมองไล่ไปตามสายตาของเสด็จอาเก้า เมื่อเห็นน้องชายของเขาที่กำลังตั้งตรง ภายใต้การจ้องมองของนางมันกลับดูมีขนาดใหญ่ขึ้นไปอีก ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำขึ้นอีก
เสด็จอาเก้าไร้ยางอายเกินไปแล้ว นางเป็นสตรี เรื่องแบบนี้จะถามนางได้อย่างไร ไม่กลัวว่านางจะฆ่าตัวตายเพราะอับอายหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินปิดหน้าของนางเพื่อซ่อนความเขินอาย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย “ทำอย่างไรดีอะไรกัน? ท่านลงมือเองสิ เรื่องแบบนี้ท่านถามข้า คิดว่าหมอทำได้ทุกอย่างงั้นหรือ?”
“ทำเองเหรอ? แต่ข้าทำไม่เป็น…” เสด็จอาเก้ามองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาตกใจแล้วมองดูท่อนล่างของตัวเองอีกครั้ง
“ท่านเป็นผู้ชาย จะทำไม่เป็นได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างไม่เชื่อถือ
“เป็นชายล้วนสามารถหรือ? เช่นนั้นทำไมข้าจึงทำไม่เป็น” เสด็จอาเก้าพูดอย่างไร้เดียงสา แต่รอยยิ้มขี้เล่นกลับส่องประกายในดวงตาของเขา…
ไร้ยางอายอย่างไร้ขอบเขต เสด็จอาเก้า ท่านได้สร้างสถิติไร้ยางอายใหม่อีกแล้ว!