นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 463 ไม่ยุติธรรม บาดแผลเปิดอีกแล้ว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 463 ไม่ยุติธรรม บาดแผลเปิดอีกแล้ว
สำหรับเรื่องที่ว่าเสด็จอาเก้าทำเป็นหรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ต่อไปอีกแม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะทำเป็นหรือไม่ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง นางไม่ยุ่งกับเรื่องที่กว้างเช่นนั้น
นอกจากนี้หากเขาทำเป็น ด้วยศักดิ์ศรีของเขาแล้ว เขาก็จะไม่มีวันทำอย่างนั้นต่อหน้านางบนรถม้าได้ หากจะพูดให้ดีก็คือเขารักษาภาพลักษณ์ หรือพูดอีกอย่างก็คือแม้ตายเขาก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้ให้ได้
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่อาจนึกภาพเสด็จอาเก้าช่วยตนเองต่อหน้านางไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่นึกถึงใบหน้าน่าสงสารของเสด็จอาเก้าที่มองดูนางในขณะที่พยายามแก้ปัญหาของตัวเองไปด้วย เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกขนลุก
นางตบหัวและปัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างเด็ดขาด ถ้าเสด็จอาเก้ารู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่เขาคงจะฆ่านางแน่
ถ้าเสด็จอาเก้าทำไม่เป็น เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูด อย่าหวังว่านางจะช่วยเลย นางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น นางเป็นศัลยแพทย์ ไม่ใช่แพทย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะและแม้แต่แพทย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะ เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่หมอต้องลงมือทำเอง
ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะทำได้หรือไม่ได้ เขาก็ต้องทนไว้ แม้ว่าจะอดทนจนแย่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง เรื่องนี้นางผิดก็จริง แต่นางไม่ได้เป็นคนที่ทำให้มันโด่ขึ้นมาเสียหน่อย หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเสด็จอาเก้าเอง
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินจัดเสื้อผ้าของนางแล้วก็นั่งตรงข้ามกับเสด็จอาเก้าและย้ายโต๊ะเล็กๆ ตรงมุมมาขวางกั้นระหว่างนางกับเสด็จอาเก้าไว้
ชายผู้อยู่ตรงหน้านางไม่ใช่สุภาพบุรุษ นางจึงควรระมัดระวังเสียหน่อย แม้ว่านางจะสามารถยอมรับที่จะทำอะไรกับเสด็จอาเก้าได้ แต่การยอมรับไม่ได้หมายความว่านางเต็มใจที่จะทำไปเสียทุกที่ทุกเวลา
นางไม่อยากเสียความบริสุทธิ์ไปอย่างไม่ชัดเจน หากนางยังไม่รักตัวเองแล้วจะยังคาดหวังให้ใครมารักนางได้ เสด็จอาเก้างั้นหรือ? เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน นางพึ่งตัวเองคงจะมั่นคงกว่า
กลิ่นในรถม้าแปลกประหลาดและมีกลิ่นอับเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินเปิดหน้าต่างเล็กๆ บนรถม้าเพื่อระบายอากาศและมองดูทิวทัศน์ภายนอก
รถม้าแล่นออกไปจากเมืองแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์นอกเมืองนับว่าไม่เลว ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองจนหมด หญ้าก็ยังไม่ได้เหี่ยวแห้งไปทั้งหมด
ใบไม้สองสามใบร่วงหล่นจากกิ่งลงสู่พื้นดูไม่เหมือนใคร แม้ว่าบรรยากาศของความหดหู่จะค่อยๆ ปรากฏขึ้น เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้มีความรู้สึกโศกเศร้าของฤดูใบไม้ร่วง นางแม้กระทั่งคิดว่าผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็จะได้ชมดอกเบญจมาศและมีเนื้อปูกินแล้ว
ร่างกายของนางสงบลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินมีความสุขอยู่กับตนเอง แต่เสด็จอาเก้ากลับต้องทนทุกข์ทรมาน
เสด็จอาเก้าคิดไม่ถึงเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะโหดร้ายและสงบเช่นนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขารู้สึกทรมานและรู้ว่ามันจะทำร้ายร่างกายของเขา แต่นางก็สามารถเมินเฉยต่อเขาได้ แม้กระทั่งคิดว่าเขาไม่อยู่ตรงนี้
เอาเถอะ นางชนะแล้ว เขาเพียงแค่อยากหยอกนางเล่นเท่านั้น แต่กลายเป็นว่านอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว กลับยังทำให้ตนเองขายหน้ายิ่งขึ้นก็เท่านั้นเอง
เสด็จอาเก้าถลึงตาใส่เฟิ่งชิงเฉินอย่างโกรธเคืองเมื่อเห็นนางหรี่ตามองทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงด้วยความเพลิดเพลิน เสด็จอาเก้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่านางก็หวั่นไหวเหมือนกัน เหตุใดนางจึงฟื้นตัวได้เร็วกว่าเขา? เมื่อเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินดูราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่เขาเล่า?
เขายังคงพยายามทำให้ส่วนนั้นของตนเองสงบลงและทำให้ร่างกายของเขาสงบลงด้วยเช่นกัน
เสด็จอาเก้าเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้เติบโตมาอย่างไรนะ? เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้ นางกลับใจเย็นกว่าเขาที่เป็นผู้ชายเสียอีก อีกทั้งยังฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ชายอย่างเขาเสียอีก น่าชิงชังยิ่ง
เสด็จอาเก้าหลับตาลงอย่างเซ็งๆ เขาคิดอยากจะระงับอารมณ์ของตัวเองให้เร็วที่สุด แต่การควบคุมตัวเองที่เขาภาคภูมิใจนักหนา วันนี้กลับใช้ไม่ได้ผลเอาเสียเลย เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาไม่เพียงแต่เขาไม่อาจทำให้ส่วนนั้นสงบลงได้ แต่กลับยังยิ่งร้อนรนอีกด้วย
เฟิ่งชิงเฉินลอบมองเสด็จอาเก้า จากนั้นก็ชมวิวดูทิวทัศน์ต่อไปอย่างนิ่งเฉย
บุรุษที่ไม่ได้ถูกเติมเต็มความต้องการนั้นน่ากลัวที่สุด เป็นการดีกว่าสำหรับนางที่จะยั่วเขาให้น้อยลง
รถม้าแล่นไปอย่างช้าๆ แต่ไม่ว่าจะช้าแค่ไหนก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ลานบ้านมากขึ้น เสด็จอาเก้าก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เขาไม่สามารถออกไปในสภาพนี้ได้ เขายังต้องรักษาภาพพจน์อยู่
เฮ้อ… เสด็จอาเก้าสูดหายใจเข้าลึก เขาหลับตาลงและเตะเฟิ่งชิงเฉินออกจากหัวสมอง จากนั้นก็เริ่มท่อง “มนต์สงบใจ” อย่างเงียบๆ
“มนต์สงบใจ” ตั้งแต่พิธีสวมหมวก*เป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยท่องมันอีกเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกเฟิ่งชิงเฉินบีบจนต้องท่องขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากท่องซ้ำสามครั้งติดต่อกันจึงสงบอารมณ์ลงได้
เสด็จอาเก้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ออกไปพบปะผู้คนได้แล้ว
ทันทีที่เสด็จอาเก้าจัดการตัวเองได้ รถม้าก็หยุดลง คนขับรถม้าลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “นายท่าน?”
เขาไม่ใช่ทหาร เขาเพียงอยู่นอกรถม้า มีเสียงบางอย่างลอยเข้าหูเขาโดยธรรมชาติแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการได้ยินก็ตาม เขาได้พยายามปิดหูตนเองอย่างเต็มที่ ให้ตายเถอะ เขากลัวแทบตาย!
“อืม” เสด็จอาเก้าสะบัดแขนเสื้อ หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหาแล้ว เขาก็ลงจากรถ ยืนอยู่ที่ประตูรถม้ายื่นมือออกไปและพูดกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “ลงมา”
กอดก็กอดแล้ว จูบก็จูบแล้ว สัมผัสก็ทำไปแล้ว หรือแม้กระทั่งส่วนอ่อนไหวของใครบางคนนางก็สัมผัสแล้ว นางไม่สามารถเสแสร้งได้อีก เฟิ่งชิงเฉินจึงวางมือลงบนอุ้งมือของเสด็จอาเก้า
ในขณะที่ทั้งสองจับมือกันก็ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวพวกเขา เฟิ่งชิงเฉินตกใจเงยหน้าขึ้นสบตากับเสด็จอาเก้า สายตาทั้งสองประสานกันอย่างอ้อยอิ่งยากจะอธิบาย
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะดึงมือออก แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะเสด็จอาเก้าจับมือนางไว้โดยไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นท่าทางของเสด็จอาเก้าแล้ว เกรงว่าเขาก็คงจะได้รับผลกระทบเช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึก ระงับอาการหวั่นไหวในหัวใจของนาง นางวางน้ำหนักของบนมือของเสด็จอาเก้าและพยายามอย่างยิ่งที่จะก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม
ช่วยไม่ได้ การประลองกับซูหว่านในช่วงนี้นาง “สง่างาม” จนเคยชิน ความสง่างามเหล่านี้ล้วนเป็นการเสแสร้งและหลังจากแสร้งทำอยู่นาน ความสง่างามเหล่านี้ก็ถูกสลักเข้าไปถึงกระดูกของนาง ทุกการเคลื่อนไหวจึงดูสง่างามตามธรรมชาติ
ทันทีที่ลงจากรถม้าก็มีเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นที่ด้านหลังนาง คนของเสด็จอาเก้านำกล่องยาของนางมากจากวนหลังเล็กในเขตตะวันตก
เฟิ่งชิงเฉินใช้โอกาสนี้ดึงมือของเสด็จอาเก้าออกและก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับกล่องยามา เสด็จอาเก้าไม่ได้แข็งขืน ความจริงแล้วยามที่มือของเขาและเฟิ่งชิงเฉินสัมผัสกัน เสด็จอาเก้าก็เริ่มเสียใจเล็กน้อย
ในยามนี้ทั้งสองคนไม่ควรมีการสัมผัสทางกาย เพียงแค่พวกเขาสัมผัสกัน เขาก็จะมีความต้องการเฟิ่งชิงเฉินและไม่อาจหักห้ามใจได้เลย
เห็นได้ชัดว่าในคืนนั้นที่เขาและเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในวังก็มีความสัมผัสใกล้ชิดเช่นกันและพวกเขาก็หยุดลงในตอนท้าย แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยในตอนนั้น แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้ เขาสามารถอยู่กับนางได้อย่างสงบ แต่ทำไมวันนี้จึงทำไม่ได้เสียเล่า?
เสด็จอาเก้าไม่เข้าใจเลย เขาจึงทำได้แต่เพียงแอบดูถูกว่าการควบคุมตนเองของเขากำลังแย่ลงเรื่อยๆ กลับไปเขาจะต้องฝึกให้ดี
แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะอึดอัดแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะดูแลเฟิ่งชิงเฉิน เขาก้าวเท้าเข้าไปรับกล่องยาเร็วกว่านางหนึ่งก้าวและถือมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เป็นสัญญาณให้เฟิ่งชิงเฉินตามเขาไป นางจึงชักมือกลับอย่างจนปัญญา
การบีบบังคับของเสด็จอาเก้า นางรู้ดีว่านางเชื่อฟังเขาจะดีกว่า อย่างไรตอนนี้นางก็คุ้นเคยกับการเดินตามหลังเสด็จอาเก้าแล้ว
ทั้งสองก้าวเข้าไปในลานชั้นในและแยกกันเดิน เสด็จอาเก้ายื่นกล่องยาของเฟิ่งชิงเฉินให้กับคนที่ดูเหมือนขันทีและสั่งให้เขาพานางไปก่อนที่ตนเองจะเดินไปอีกทาง
เฟิ่งชิงเฉินไม่ถามอะไรมากและเดินตามขันทีไปอย่างเชื่อฟังเพื่อไปทำแผลให้ทหารองครักษ์ทั้งเจ็ด ส่วนเสด็จอาเก้านั้นน่ะหรือ?
เสด็จอาเก้าตรงไปยังห้องของตนเอง เมื่อมาถึงห้อง เสด็จอาเก้าก็ถอดเสื้อคลุมและเสื้อข้างในออก ไม่ต่างไปจากที่คิด ผ้าพันแผลของเขาเต็มไปด้วยเลือด…