นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 464 ชักนำผิดทาง เจ้าคนสารเลวหลานจิ่วชิง
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 464 ชักนำผิดทาง เจ้าคนสารเลวหลานจิ่วชิง
แผลเปิดเสียแล้ว!
เสด็จอาเก้ายิ้มขื่นยามมองบาดแผลที่มีเลือดซึม
ผู้คนตายเพื่อความรัก แม้ตายเป็นผีก็ยังประเสริฐ แต่เขานั้นเล่า? เขาเกือบจะเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ล้วนไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
เสด็จอาเก้าสูดหายใจเข้า หยิบผ้าสีขาวออกมาจากช่องลับแล้วพันรอบเอวหลายชั้น หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเลือดซึมออกมาแล้ว เสด็จอาเก้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มัดเป็นปมและสวมเสื้อ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เสด็จอาเก้าก็เหนื่อยจนต้องหอบหายใจ ฝีก้าวของเขาอ่อนแรงเล็กน้อย เสด็จอาเก้ายืนพิงกำแพงแล้วเริ่มรวบรวมพลังลมปราณ ผ่านไปครู่ใหญ่ เสด็จอาเก้าจึงลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างน่าตกใจ ไม่จำเป็นต้องส่องกระจกเสด็จอาเก้าก็รู้ว่าสภาพของเขาในตอนนี้คงไม่ค่อยดีนัก
ช่วงนี้เขาได้รับบาดเจ็บเป็นประจำ ที่สำคัญก็คือหลังจากที่บาดเจ็บแล้วก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แม้แต่คนเหล็กก็คงทนไม่ไหว
เสด็จอาเก้าดึงเก้าอี้มานั่งลงอย่างแรง จนกระทั่งข้ารับใช้มารายงานว่าเฟิ่งชิงเฉินได้ทำแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บบาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว เสด็จอาเก้าจึงลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมและหยิกแก้มตนเองก่อนจะออกไปเพื่อให้มั่นใจว่าสีหน้าของเขาจะไม่ดูแย่นัก
ขณะที่เขาผลักประตูออกไป เสด็จอาเก้าก็ดูเป็นปกติ ดวงตาสีดำของเขาเหมือนบ่อน้ำอันแห้งเหือด เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพบเสด็จอาเก้าก็ไม่ได้สังเกตดูเขาอย่างละเอียด นางเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็วและขึ้นไปบนรถม้า
แม้ว่านางจะดูมีท่าทางเฉยเมย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นบนรถม้ายังคงทำให้นางเขินอายอย่างมาก นางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้าอย่างไรได้ชั่วขณะหนึ่ง
ขากลับเงียบผิดปกติ เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงเสด็จอาเก้าอยู่แล้ว เสด็จอาเก้าก็ไม่มีแรงพอที่จะกลั่นแกล้งเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสองได้ครอบครองคนละมุมของรถม้าและนั่งกลับเมืองอย่างสบายๆ
เสด็จอาเก้าส่งเฟิ่งชิงเฉินยังจวนหลังเล็กในเขตตะวันตกโดยไม่มีอุบัติเหตุใด ด้านนอกจวนที่เฟิ่งชิงเฉินอาศัยอยู่ มีคนหลายคนแอบทำลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านนอกประตู เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน แต่ละคนก็รีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็วพร้อมแววตาคลุมเครือบางอย่างและจากไปอย่างเงียบเชียบ
เฟิ่งชิงเฉินกลอกตา นางรู้ว่าการไปไหนมาไหนกับเสด็จอาเก้าจะต้องสร้างปัญหาอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินรีบกล่าวขอบคุณเขา โดยไม่รอให้เขาพูดมาก เมื่อเดินเข้าไปในลานแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ตระหนักได้ว่านางลืมหยิบกล่องยามาด้วย
เดิมนางอยากกลับไปหยิบ แต่เมื่อคิดแล้วก็ปล่อยไป ด้านนอกมีสายตาที่ทั้งเปิดเผยและหลบซ่อนคอยจับจ้อง หากนางถือกล่องยาเข้าออกเกรงว่าจะเป็นเรื่อง กล่องยาให้อยู่กับเสด็จอาเก้าไว้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกตินัก
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้าไปในจวน ทงจือและทงเหยาก็เดินตามมารายงานว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินออกจากเมืองไป
“คุณหนู เดิมผลกระทบจากคำขอร้องของคุณชายหยวนซีได้คลายลงแล้ว แต่วันนี้หลังจากที่ประลองการเขียนพู่กันแล้ว ข่าวลือก็แพร่สะพัดออกไปอีกครั้งว่าคุณหนูอาศัยความชอบของคุณชายหยวนซีและเสด็จอาเก้าจึงได้ชนะการประลองเขียนพู่กัน ตอนนี้ด้านนอกเอาแต่ลือว่าคุณหนูชนะอย่างไม่เป็นธรรม ซูหว่านแพ้อย่างอยุติธรรมเจ้าค่ะ”
“คุณหนู มีชายหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันก่อจลาจล ขอให้คุณหนูประลองกับซูหว่านอีกครั้งเพราะพวกเขาไม่ยอมรับผลการตัดสิน โชคดีที่ทางการส่งคนไปปราบปราม ดังนั้นจึงไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร”
“มีคนคอยจับตามองอยู่นอกจวนและยังมีคนบ้าที่ตั้งใจจะบุกจวนด้วย โชคดีที่มีทหารจากจวนซู่ชินอ๋องคอยคุ้มครองอยู่”
“คุณหนู เราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี? พวกเราจะลบล้างข่าวลือนี้ไหมเจ้าคะ?”
ไม่โทษคนข้างนอกที่ทำเกินไป ต้องรู้ว่าการแพ้ชนะของเฟิ่งชิงเฉินเกี่ยวข้องกับการเดิมพันและเงินของพวกเขา แม้ว่าบางคนจะถูกยุยงโดยคนอื่น แต่ส่วนใหญ่ก็โห่ร้องเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น หากเกิดอะไรขึ้นจริงพวกเขาก็ไม่กลัว เพราะกฎหมายย่อมพ่ายแพ้ต่อเสียงส่วนมาก
เฟิ่งชิงเฉินพยายามอย่างมากที่จะอยู่อย่างถ่อมตัว แต่หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของนาง เมื่อเรื่องราวได้ล่วงเลยมาถึงจุดนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เมื่อพยายามอย่างที่สุดแล้วก็คงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าดินแล้ว เฟิ่งชิงเฉินทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดเสมอมา เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่นางทำได้นางก็ได้ทำแล้ว หากผลลัพธ์ไม่ได้ดังใจก็คงทำอะไรไม่ได้
“เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้พวกเขาแพร่ข่าวไปเถอะ พวกเจ้าแค่ต้องทำให้จวนปลอดภัยก็พอ หลังจากการประลองจบลง พวกเราจะไปพักที่นอกเมืองกันสักพัก” ไปแหย็มไม่ได้ยังจะหลบไม่ได้อีกหรือ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วอย่างไรก็ทำให้คนขุ่นเคืองใจ เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ตอนนี้ เพียงแค่คุณชายหยวนซีไม่หาเรื่องนาง นางก็ไม่กลัวแล้ว
“คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ มีข้ากับทงจืออยู่ ที่นี่จะปลอดภัยแน่นอน” ทงเหยาได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนความคิดของประชาชนทั่วทั้งเมือง
“อืม ความปลอดภัยของจวนให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว ต้มน้ำเถอะ ข้าอยากอาบน้ำ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กลับห้องแต่ไปยังห้องหนังสือ นางเพิ่งทำแผลในคนไข้ นางไม่อยากใส่ชุดสกปรกกลับห้อง
“เจ้าค่ะคุณหนู” ทงจือไปทันที ทงเหยานำผ้ามาเช็ดมือให้เฟิ่งชิงเฉิน หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งลง ทงเหยาก็หยิบกล่องกล่องหนึ่งออกจากชั้นในห้องหนังสือ
“คุณหนู ข้าพบสิ่งนี้ใต้เบาะในห้องหนังสือตอนที่ทำความสะอาดในวันนี้เจ้าค่ะ”
“เป็นของอะไรหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างแน่ใจว่าของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลานจิ่วชิงทิ้งเอาไว้ เดิมทีนางไม่อยากดู แต่สีหน้าของทงเหยาค่อนข้างประหลาด นางจึงตัดสินใจเปิดมันออกดู เพียงแค่เปิดออกสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินก็เปลี่ยนไป “ตึง” นางปิดฝากล่องทันที
“ของสิ่งนี้นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครรู้เรื่องอีกบ้าง” เฟิ่งชิงเฉินถามเสียงเฉียบขาด ดวงตาทั้งสองของนางฉายแววคุกรุ่น แต่ความโกรธของนางไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ทงเหยา แต่มุ่งไปที่ตาบ้าหลานจิ่วชิง
สารเลว คนสารเลว สารเลวยิ่งนัก เดิมนึกว่าเขาจะเป็นคนดี นึกไม่ถึงเลย…
เจ้าสารเลวหลานจิ่วชิงอาศัยยามที่นางเผลอขโมยบางสิ่งบางอย่างของนางไป เฮอะ… หลานจิ่วชิง บุญคุณที่ช่วยชีวิตจบลงแต่เพียงเท่านี้ หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าขโมยของของข้า ข้าก็ไม่มีทางตกอยู่ในอันตราย
เฟิ่งชิงเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากหลานจิ่วชิงอยู่ข้างหน้านาง นางก็คงจะทุบตีอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าเรื่องในป่าไผ่ครั้งที่แล้วจะเกี่ยวข้องกับหลานจิ่วชิง ครั้งที่แล้วที่นางไปป่าไผ่นั้นเพื่อไปสืบเรื่องเจิ้นกั๋วกงฮูหยินและเด็กคนนั้น แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย อีกทั้งนางยังสลบไสลอยู่ในป่าอย่างลึกลับและทำปืนหายไป
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเชื่อว่าหลานจิ่วชิงจะเก็บปืนของนางได้โดยบังเอิญ วันนั้นเขาต้องอยู่ที่นั่นด้วยอย่างแน่นอน หลานจิ่วชิงคงจะไม่ใช่ทายาทของบุตรชายของภรรยาเอกของเจิ้นกั๋วกงหรอกนะ? เมื่อคำนวณอายุแล้วก็คล้ายๆ กัน
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินบูดบึ้งลง ทงเหยาตกใจและคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “คุณหนู ไม่มีเจ้าค่ะ นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก”
“ดีมาก ไปเถอะ จำไว้ว่าเจ้าไม่ได้พบสิ่งใดในห้องหนังสือนี้” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยเตือน
หากเรื่องราวรั่วไหลออกไปย่อมไม่ต่างไปจากฟ้าผ่า ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดหลี่เสี่ยงไปได้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการมีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับอาวุธอีก
“เจ้าค่ะ” ทงเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ คุณหนูของพวกนางมีราศีของคนใหญ่คนโตมากขึ้นเรื่อยๆ ยามปกติใบหน้าของนางมักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางสบายใจเฉิบ แต่ยามที่นางจริงจังหรือโกรธขึ้นมากลับยิ่งน่ากลัวเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงเฉินเก็บของและนึกถึงเรื่องของหลานจิ่วชิงและเจิ้นกั๋วกงอย่างละเอียด ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งรู้สึกว่าหลานจิ่วชิงน่าจะเป็นทายาทของจวนเจิ้นกั๋วกง มิเช่นนั้นจะบังเอิญอะไรเช่นนี้ที่จะปรากฏตัวที่วัดที่เจิ้นกั๋วกงฮูหยินอาศัยอยู่พอดี
ทันทีที่นางคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างกลมนัก ทายาทที่แท้จริงของจวนเจิ้นกั๋วกงที่นางกำลังตามหาไปทุกหนทุกแห่งนั้นอยู่ใกล้นางเพียงเอื้อม
แต่ทว่าหมากตานี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ด้วยศักดิ์ศรีของหลานจิ่วชิงแล้ว เขาย่อมดูถูกจวนเจิ้นกั๋วกงแน่ หากจะต่อสู้กับจวนเจิ้นกั๋วกงเห็นทีจะต้องคิดหาทางอื่น
เมื่อเอ่ยถึงจวนเจิ้นกั๋วกง เฟิ่งชิงเฉินก็นึกไปถึงจวนหย่งชางโหว ด้วยการประลองระหว่างนางกับซูหว่าน เรื่องการประหารชีวิตในจวนหย่งชางโหวจึงไม่ได้เป็นที่น่าสนใจมากนัก
เมื่อพูดถึงจวนหย่งชางโหวแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็คิดว่านางได้ทำความดีไปเรื่องหนึ่งจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนางแล้วล่ะก็ หย่งชางโหวก็คงจะทำร้ายผู้คนต่อไปอย่างแน่นอน
สามารถเลี้ยงบุตรชายออกมาให้เสเพลได้นั้น ตัวหย่งชางโหวเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ เรื่องรังแกบุรุษข่มเหงสตรีนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาทำร้ายขุนนางใหญ่ในราชสำนักด้วยซ้ำ
เพื่อที่จะแย่งภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชา หย่งชางโหวใส่ร้ายว่าเขาเป็นสายของราชวงศ์ก่อนหน้า ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นถูกล้างตระกูล ส่วนเขานั้นก็แย่งภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชามาอย่างเอิกเกริก
หย่งชางโหวและเจิ้นกั๋วกงเป็นคนชั่วกลุ่มเดียวกัน เจิ้นกั๋วกงชอบเล่นกับเด็กชายอายุน้อย ในขณะที่หย่งชางโหวนั้นชอบเด็กสาวและหญิงมีครรภ์ ยามที่ค้นจวนพบว่าเขามีห้องมืดห้องหนึ่ง ในนั้นมีเด็กสาวในสภาพเปลือยกายกว่ายี่สิบคน
เด็กสาวที่โตที่สุดอายุสิบสองปี ส่วนคนที่เล็กที่สุดอายุเพียงหกขวบเท่านั้น ทุกคนหน้าเหลืองและผอมโซ สายตาเหม่อลอย ท่าทางมึนงงและบาดเจ็บไปทั้งตัว พวกเขาเหนื่อยกับการถูกหย่งชางโหวเล่นและถูกขังอยู่ที่นั่นเพื่อรอความตาย
หลังจากได้รับรู้ข่าวนี้ หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินก็เต้นอย่างเจ็บปวด นางนึกถึงเสี่ยวจื้อที่เสียชีวิตลงในคุกของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตเด็กผู้นั้นใช้ดวงตาเป็นเครื่องตอบแทนขอให้นางช่วยเขาแก้แค้น แต่นางไม่เคยทำได้
เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดว่านางเป็นคนใจดี แต่หลังจากที่นางรู้เรื่องนี้แล้ว นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำอะไรสักอย่าง นางให้ทงจือและทงเหยาซื้อจวนเล็กๆ หลังหนึ่งและซื้อเด็กหญิงจากจวนหย่งชางโหวที่ไม่มีใครต้องการไปอาศัยอยู่ที่นั่น
รอจนสิ้นสุดการประลองระหว่างนางกับซูหว่านแล้ว นางจะไปเยี่ยมเด็กๆ เหล่านี้ หากเป็นไปได้นางจะรักษาพวกเขา พวกเขาล้วนน่าสงสารเหมือนเสี่ยวจื้อ เพียงแต่พวกเขายังโชคดีกว่าเสี่ยวจื้อ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่