นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 465 ล้างผลาญ ผูกผมเป็นสามีภรรยา
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 465 ล้างผลาญ ผูกผมเป็นสามีภรรยา
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ในห้องหนังสือและคิดไปถึงเรื่องราววุ่นวายต่างๆ นานา ยิ่งนางคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นเท่านั้น แม้ว่านางจะเข้าใจดีว่าไม่ว่ายุคใดก็ล้วนมีเรื่องโหดร้ายทารุณเกิดขึ้นและนางไม่อาจดูแลได้อย่างทั่วถึง แต่อย่างน้อยก็อย่าให้นางได้รู้ หากนางรู้แล้ว นางจะไม่มีวันอยู่เฉย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการผดุงธรรมของจอมยุทธ์ นางเพียงแค่ไม่อยากให้มโนธรรมต้องถูกรบกวน
จนกระทั่งทงจือมาบอกนางว่าน้ำร้อนพร้อมแล้ว นางสามารถไปอาบน้ำได้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงดึงความคิดของนางกลับมาและหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้นางรำคาญใจ
เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ได้เวลาอาหาร นางกินขนมบนรถม้าของเสด็จอาเก้าไปไม่น้อย นางจึงไม่ได้รับประทานมื้อเย็นมากนัก หลังกินไปครึ่งชามก็ให้ทงจือและทงเหยาเก็บไป
ทงจือและทงเหยากังวลเล็กน้อย ปกติคุณหนูของพวกนางก็กินน้อย แต่วันนี้กลับยิ่งกินน้อยลงไปอีก ทงจืออยากพูดเกลี้ยกล่อมสักหน่อย แต่ทงเหยาดึงนางไว้และห้ามไม่ให้นางพูด
ทงจือถามทงเหยาว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ทงเหยาเพียงแค่ส่ายหัวและไม่ยอมพูดอะไรอีก
ทงเหยาเดาว่าที่คุณหนูของพวกนางอารมณ์ไม่ดีอาจเกี่ยวข้องกับของประหลาดนั้นห้องหนังสือนั้นก็เป็นได้ แต่คุณหนูบอกนางว่าห้ามพูดออกไป นางจึงไม่สามารถพูดได้
เมื่อรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ไม่ดี สาวใช้ทั้งสองก็ไม่กล้าพูดมาก พวกนางเก็บของและออกไป ในขณะเดียวกันก็บอกกับคนในจวนว่า หากไม่มีอะไรก็อย่ารบกวนคุณหนู
เฟิ่งชิงเฉินออกไปเดินข้างนอกสองรอบ จนกระทั่งฟ้ามืดลงจึงค่อยกลับห้อง เมื่อนางเปิดประตูก็เห็นหลานจิ่วชิงนั่งอยู่ในห้องของนาง…
“หลานจิ่วชิง?” เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วและรีบปิดประตู
“อืม” หลานจิ่วชิงตอบ ลมหายใจของเขาสะดุดเล็กน้อย หลังจากเห็นเฟิ่งชิงเฉินแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง
“อาการบาดเจ็บของเจ้าแย่ลงอีกหรือ?” เพียงได้ยินเฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าหลานจิ่วชิงผู้นี้ไม่ได้ดูแลร่างกายให้ดีและทำร้ายตัวเองมากยิ่งขึ้นไปอีก
“แผลเปิดแล้ว” หลานจิ่วชิงไม่ได้ปิดบัง เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ในขณะเดียวกันก็คลายเสื้อผ้าและกางเกงออกอย่างรู้ตัว
เขาไม่กล้าให้เฟิ่งชิงเฉินเปลื้องผ้าให้เขาอีก นั่นเป็นการท้าทายหัวใจของเขาเกินไป เขากลัวว่าบาดแผลของเขาจะฉีกอีก เขายังไม่อยากตายเร็วนัก
“เจ้าช่างรู้วิธีทะนุถนอมร่างกายตนเองเสียจริงนะ” เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ คนไข้ที่นางชิงชัง นอกจากซีหลิงเทียนอวี่แล้วก็มีเพียงหลานจิ่วชิง หลานจิ่วชิงไม่ใส่ใจกับร่างกายของเขาเลย
คืนนี้น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก หลานจิ่วชิงเดาว่าคงเกี่ยวข้องกับอาวุธลับนั่นเป็นแน่ เขาอยากจะอธิบาย แต่สุดท้ายก็ทำเพียงลูบจมูกโดยไม่พูดอะไร
อันที่จริงแล้วเขาสามารถใช้วิธีที่ชาญฉลาดกว่านี้ในการคืนสิ่งของให้เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ แต่เขาไม่ต้องการปิดบังนาง ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลังจากนางได้รู้แล้วจะต้องโมโห แต่เขาก็ยังคงใช้วิธีที่โง่เขลาที่สุดเพื่อคืนของให้เฟิ่งชิงเฉิน
เรื่องนี้เขาทำผิดก่อน หลานจิ่วชิงยอมให้เฟิ่งชิงเฉินพร่ำบ่นไปอย่างเชื่อฟังโดยไม่เถียงเลยแม้แต่น้อยและปลอบตัวเองว่า ผู้ชายก็ควรจะยอมอ่อนข้อให้ผู้หญิงของตนเองไม่ว่านางจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะโกรธที่หลานจิ่วชิงแอบใช้ประโยชน์จากสิ่งของของนาง แต่นางก็ไม่ได้ใจร้ายจนไม่สนใจชีวิตหรือความเป็นตายของหลานจิ่วชิง นางบ่นไปไม่กี่คำก็เห็นว่าเขายอมฟังนางต่อว่าแต่โดยดี เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อยากจะต่อว่าต่อ นางไม่ใช่คนไร้เหตุผลและอีกอย่างนางก็ไม่ใช่คนของหลานจิ่วชิง หลานจิ่วชิงไม่จำเป็นต้องยอมให้นาง
เฟิ่งชิงเฉินดูอาการบาดเจ็บของหลานจิ่วชิงและพบว่าบาดแผลเพียงฉีกขาดเท่านั้นและไม่ได้อักเสบ แต่ร่างกายของหลานจิ่วชิงกลับร้อนจี๋ แม้ไม่ได้ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัด เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าหลานจิ่วชิงตัวร้อน
“ไปนอนลงบนเตียง ข้าจะไปเอากล่องยามา” เฟิ่งชิงเฉินพูดแล้วก็เดินไปยังหลังฉากกั้น
เตียง?
นี่คือห้องนอนของเฟิ่งชิงเฉิน ในห้องมีอยู่เตียงเดียว เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากเชื้อเชิญแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีก เขาใช้มือข้างหนึ่งวางที่โต๊ะและใช้แรงลุกขึ้น ยามที่เดินผ่านฉากกั้น หลานจิ่วชิงชะงักฝีเท้าลงราวกับว่าเขาอยากมองเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ด้านหลังฉากกั้น
เขามองไม่เห็นสิ่งใดผ่านฉากกั้นที่บังอยู่ แต่เขารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินจะหากล่องยาได้จากที่ใด เขารู้ว่ากล่องยาที่เฟิ่งชิงเฉินใช้เป็นประจำนั้นยังคงอยู่กับเขา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เขาเห็นของสิ่งนั้นบนข้อมือของเฟิ่งชิงเฉิน ในใจก็มักรู้สึกแปลกๆ หลายครั้งที่เขาต้องการหยุดนางจากการใช้สิ่งนั้น แต่เขารู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์
หลานจิ่วชิงถอนหายใจเบาๆ และเอนกายพิงที่หัวเตียง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากหมอนโชยมา หลานจิ่วชิงสูดหายใจเข้าลึก หน้ากากสีเงินปิดบังความกังวลบนใบหน้าเขาไว้จนหมดสิ้น
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินถือกล่องยาขนาดเล็กเดินออกมา มุมปากของหลานจิ่วชิงก็กระตุกเล็กน้อย ถ้าเขาจำไม่ผิดหวังจิ่นหลิงก็ดูเหมือนจะมีกล่องเช่นนี้เหมือนกัน
ดูเหมือนว่ากล่องของหวังจิ่นหลิงน่าจะได้มีเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้ให้ เมื่อคิดเช่นนี้ ดวงตาของหลานจิ่วชิงก็เปล่งประกายเยียบเย็น
เฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะไม่ได้ใจดีกับหวังจิ่นหลิงธรรมดา ต้องรู้ว่าจนถึงตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินยังไม่เคยให้อะไรเขาเลย
“ขยับไปสิ” เฟิ่งชิงเฉินดึงผ้าห่มออกมาหนุนหลังหลานจิ่วชิงเพื่อให้เขาพิงได้สบายขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินก้มศีรษะลง ผมข้างหูของนางกระจัดกระจายสัมผัสลงบนแก้มของหลานจิ่วชิง แต่มีหน้ากากหนังคนและหน้ากากสีเงินปกคลุมอยู่ หลานจิ่วชิงจึงไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อยและปล่อยให้ผมของนางปัดบนหน้าเขาต่อไป
เพื่อช่วยวางที่พิงให้หลานจิ่วชิงรู้สึกสบายขึ้น เฟิ่งชิงเฉินจึงโน้มตัวไปข้างหน้า ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เพียงแค่หายใจเบาๆ พวกเขาสามารถได้กลิ่นอายของกันและกัน หลานจิ่วชิงเพียงแค่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยก็สามารถจูบคอขาวราวหิมะของเฟิ่งชิงเฉินได้
หลานจิ่วชิงแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากและกลืนน้ำลายและบังคับตัวเองไม่ให้เปิดตา เขากลัวว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมตนเองและเผลอจูบนาง ทำให้นางตกใจ
เมื่อเขาเบือนหน้าไปด้านข้าง ปมยาวสยายของเขาก็พันกับผมยาวของเฟิ่งชิงเฉิน
“เรียบร้อย” เฟิ่งชิงเฉินตบมือและยืนขึ้น แต่กลับพบว่านางไม่ได้เกล้ามวย ผมของนางและหลานจิ่วชิงพันกัน เมื่อนางยืนขึ้น แรงกระชากจึงทำให้หนังศีรษะของนางเจ็บมาก
โอ๊ย… เฟิ่งชิงเฉินจับหนังศีรษะที่รู้สึกชาของนาง ใบหน้าของนางบูดบึ้ง
ผูกผมแต่งงาน!
หลานจิ่วชิงรู้สึกถึงความเจ็บปวดเช่นกัน ทันทีที่เขาหันไปมองก็เห็นผมที่พันกันของคนทั้งสอง หัวใจของเขาก็วูบไหว โดยไม่รอให้หลานจิ่วชิงได้คิดมาก เฟิ่งชิงเฉินก็ดึงเส้นผมของนางทิ้งทันที
“ขอโทษด้วย ข้าจะเกล้าผมเดี๋ยวนี้” เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองหาผ้าผูกผม ดวงตาของหลานจิ่วชิงเปล่งประกาย เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อย เขาก็ดึงผมของเฟิ่งชิงเฉินที่พันอยู่ออก
เมื่อมองดูเส้นผมที่พันกันบนฝ่ามือก็มีรอยยิ้มเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของหลานจิ่วชิง เขาอาศัยยามที่เฟิ่งชิงเฉินเผลอหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาห่อเส้นผมเหล่านี้เอาไว้
ผูกผมเป็นสามีภรรยา ครองรักด้วยความเชื่อใจ!
เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าถูกกำหนดให้เป็นของข้า บุรุษแห่งตระกูลหลานจะมอบชีวิตให้เพียงแม่นางแห่งตระกูลเฟิ่ง เจ้าไม่มีทางหนีพ้น ความลับของเจ้า ข้าจะค่อยๆ รู้ไปทีละอย่าง
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินเกล้ามวยเสร็จแล้วก็ล้างมืออีกครั้ง นางขยับเก้าอี้เตี้ยๆ แล้วนั่งลงข้างเตียง เมื่อนางสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ของหลานจิ่วชิงแล้ว นางก็กะพริบตาด้วยความงงงวยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย นางหยิบกรรไกรออกมาจากกล่องยาและตัดผ้าพันแผลบนร่างของหลานจิ่วชิงออกจนหมด
เมื่อกรรไกรเย็นเฉียบสัมผัสผิวอบอุ่น หลานจิ่วชิงก็อดไม่ได้ที่จะเกร็ง นี่คือเฟิ่งชิงเฉิน หากเป็นผู้อื่นถือกรรไกรโบกไปโบกมาอยู่บนตัวเขาแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดร้ายหรือไม่ก็ตาม เขาคงจะลงมือสังหารไปแล้ว
“อย่าขยับ หากขยับอีกข้าจะตัดบาดแผลของเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินถลึงตาใส่หลานจิ่วชิงพลางจับกรรไกรส่งเสียงฉับๆ สองครั้งเป็นการข่มขู่
เอ่อ… หลานจิ่วชิงเงียบและไม่ขยับเขยื้อนอีก
เฟิ่งชิงเฉินวางผ้าพันแผลเปื้อนเลือดลงด้านข้างแล้วจุ่มสำลีลงในยาใช้ทำความสะอาดบาดแผลของหลานจิ่วชิง เมื่อเห็นบาดแผลสีแดงบวมชื้นของหลานจิ่วชิงแล้ว ประกายโทสะก็แวบเข้ามาในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน
อากาศแบบนี้ยังสามารถทำให้แผลมีเหงื่อออกได้อีก หลานจิ่วชิงไปทำอะไรมากันแน่ เขาอยากตายหรือไง การติดเชื้อที่แผลไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าร้ายแรงอาจถึงตายได้
“หลานจิ่วชิง อาการบาดเจ็บของเจ้ารุนแรงมาก ถ้าเป็นไปได้ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่เฉยๆ สักระยะ เจ้าที่ทำเช่นนี้ไม่เอื้อต่อการสมานแผลเอาเสียเลย” หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินทำความสะอาดแผลแล้ว นางก็ทายาและพันแผลใหม่อีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมสักหน่อย
หลานจิ่วชิงไม่ตอบ แต่ถามนางกลับว่า “คืนนี้ข้านอนที่นี่ได้หรือไม่?”
“เจ้าไม่มีที่ไปหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วพร้อมสีหน้าลำบากใจ
นางเชื่อว่าหลานจิ่วชิงเป็นสุภาพบุรุษ แต่หญิงชายอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องเดียวกันก็คงไม่ดีนัก
“ไม่มี ทำไม เจ้ากังวลเรื่องการประลองในวันพรุ่งนี้หรือ?” หลานจิ่วชิงถามหยั่งเชิง
“การประลองในวันพรุ่งนี้? เจ้าหมายถึงการแข่งขันวาดรูปของข้ากับซูหว่าน?” เฟิ่งชิงเฉินตอบพลางเก็บของไปด้วย
“ใช่ เจ้าไม่กังวลเรื่องการประลองในวันพรุ่งนี้หรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินเก็บของมีคมทั้งหมดอย่างเรียบร้อย “ไม่มีอะไรต้องกังวล ทำให้ดีที่สุดแล้วก็ปล่อยให้สวรรค์ลิขิต อีกอย่างข้าชนะนางมาสองรอบแล้ว หากจะกังวลก็ต้องเป็นนางที่กังวล”
ผู้ชนะมีสิทธิ์ได้รับความภาคภูมิใจ
หลานจิ่วชิงพยักหน้า เขาโน้มตัวลงทีละน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้จะนอนกับเจ้าที่นี่ ข้าเกรงว่าแผลจะฉีกอีกครั้ง”
เพื่อทำให้เฟิ่งชิงเฉินใจอ่อน หลานจิ่วชิงจึงแสร้งทำเป็นอ่อนแอและเจ็บปวด ที่จริงแล้วบาดแผลเหล่านี้เจ็บปวดมาก หลานจิ่วชิงไม่ได้เสแสร้ง หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะถอดหน้ากากออกให้เฟิ่งชิงเฉินดูใบหน้าที่ซีดขาวและเหงื่อที่หน้าผากของเขา
เอ่อ…
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ในห้องโดยไม่ขยับเขยื้อน