นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 477 ป้ายตราประทับ เล่นงานคนจนตายข้าก็จะรับผิดชอบเอง
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 477 ป้ายตราประทับ เล่นงานคนจนตายข้าก็จะรับผิดชอบเอง
แม้จวนอ๋องเก้าจะมีคนเฝ้าอยู่ไม่มาก แต่แต่ละคนก็เป็นยอดฝีมือ คนๆเดียวมีความสามารถหลากหลาย การเชือดเฉือนกันระหว่างรัชทายาทกับลั่วอ๋อง แม้เป็นแค่เพียงเรื่องเล็กๆ แต่ผู้ที่คอยดูแลจวนอ๋องเก้าก็กรูกันเข้ามา เพื่อยุติเรื่องเล็กๆดังกล่าวแล้วจึงเชิญเจ้านาย 2 พระองค์เข้าไปภายในจวน
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะมากับรัชทายาท แต่นางก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ร่วมมือกับรัชทายาท เมื่อนางลงมาจากรถม้าก็วางตัวเหมือนมนุษย์ล่องหน นางได้แต่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไม่ว่ารัชทายาทจะส่งสัญญาณมาให้นางอย่างไร นางก็ไม่ช่วยเขาเจรจาเลย
แม้รัชทายาทจะไม่ค่อยพอใจ แต่เนื่องจากเขาอยู่ที่จวนอ๋องเก้าจึงพูดอะไรมากไม่ได้ แล้วอีกอย่าง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ใช่บ่าวใกล้ชิดของเขา เขาไม่มีอำนาจไปสั่งนาง
รัชทายาทและลั่วอ๋องยืนกันคนละฝั่ง ทั้งสองฝ่ายมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มเหล่านี้กลับดูไม่เป็นมิตร เฟิ่งชิงเฉินถือถ้วยน้ำชา สายตาของนางจับจ้องไปที่ถ้วยน้ำชาถ้วยนั้น นางรู้สึกราวกับว่าลายไผ่เขียวชอุ่มบนถ้วยจะมีดอกไผ่เบ่งบานออกมาด้วย
ผู้ดูแลจวนเข้าไปทูลรายงาน หลังจากนั้นไม่นานก็ออกมาเชิญรัชทายาทและลั่วอ๋องเข้าไปด้านใน เสด็จอาเก้าเพิ่งตื่นนอน เขาต้องการพบพวกเขาทั้งสอง ส่วนเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ต้องเข้าไป เสด็จอาเก้าไม่อยากพบเฟิ่งชิงเฉิน
รัชทายาทถึงกับยิ้มแห้ง เขานึกไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะยืนกรานปฏิเสธที่จะพบเฟิ่งชิงเฉิน หรือว่าการล้มป่วยของเสด็จอาเก้า จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ
เพราะก่อนที่เสด็จอาเก้าจะล้มป่วย คนสุดท้ายที่เขาเจอก็คือเฟิ่งชิงเฉิน การที่รัชทายาทพาเฟิ่งชิงเฉินมาในวันนี้ เป็นเพราะเขาต้องการเอาใจเฟิ่งชิงเฉิน หรือไม่ก็เอาใจเสด็จอาเก้า
หากเมื่อวานนี้เฟิ่งชิงเฉินทำให้เสด็จอาเก้าโกรธ ก็จะได้ใช้โอกาสนี้มาขอโทษเสด็จอาเก้า หากนางไม่ได้ยั่วโมโหเขาแต่ตอนนี้มาเยี่ยมเขาก็จะเป็นการทำให้เสด็จอาเก้าดีใจ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รัชทายาทมองว่าการพาเฟิ่งชิงเฉินมาจะต้องทำให้เสด็จอาเก้าดีใจมากแน่ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ยอมพบหน้าเฟิ่งชิงเฉิน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกันแน่นะ? คงไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่น่าโปรดปรานแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง เฟิ่งชิงเฉินคงไม่รอดแน่ๆ
อย่าลืมว่าเฟิ่งชิงเฉินมีศัตรูมากมาย แถมแต่ละคนก็มีอํานาจบาตรใหญ่ ผู้ที่จะปกป้องนางได้นั้นก็มีเพียงแค่หวังจิ่นหลิงและเสด็จอาเก้าเท่านั้น
ตอนนี้หวังจิ่นหลิงไม่อยู่ เสด็จอาเก้าก็ไม่ยอมปกป้องนาง แล้วเฟิ่งชิงเฉินจะยังมองหาทางรอดได้อีกหรือ?
คนอื่นๆยังไม่ต้องพูดถึง จื่อลั่วและซีหลิงเทียนเหล่ยคือคนแรกที่จะเอาชีวิตนาง ไหนจะยังตระกูลซูแห่งหนานหลิงอีก
แต่หากเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จอาเก้าแล้ว เหตุใดเสด็จอาเก้าจึงได้กำชับกับเขานักหนาว่าให้เขาช่วยดูแลนางเป็นอย่างดี?
รัชทายาทคลางแคลงใจยิ่งนัก เมื่อเขามาถึงเรือนที่พำนักของเสด็จอาเก้า ก็เห็นเสด็จอาเก้าดูสดชื่นดี รัชทายาทถามไถ่เขาสักพัก เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าเสด็จอาเก้ายังอารมณ์ดีอยู่ จึงลองเอ่ยถามเรื่องการประลองของเฟิ่งชิงเฉินดู
เสด็จอาเก้าได้แต่ฟังแต่ไม่พูด ซึ่งรัชทายาทเห็นดังนั้นแล้วก็ยิ่งกระหน่ำเล่าไม่ยอมหยุด เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินช่วงที่นางอยู่ในวังหลวง แต่ละฉากแต่ละตอน ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่บรรยายว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกรังแกในวังหลวง
ตงหลิงจื่อลั่วที่นั่งอยู่ใกล้ๆยิ่งฟังก็ยิ่งหดหู่ใจ รัชทายาทเริ่มจะเหมือนเด็กน้อยมากขึ้นทุกวันแล้ว ถึงกับมาทูลฟ้องไม่หยุดปาก วันนี้เขาอึดอัดใจยิ่งนัก อยากจะอธิบายเรื่องบางเรื่อง แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการทำให้สถานการณ์ย่ำแยมากกว่าเดิม
แต่ตงหลิงจื่อลั่วมิใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ เมื่อรัชทายาทเล่าว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกรังแก ตงหลิงจื่อลั่วก็แย้งขึ้นมาว่าเป็นเพราะรัชทายาทไร้ความสามารถ จึงปกป้องเฟิ่งชิงเฉินไว้ไม่ได้
เสด็จอาเก้าก็ยังไม่ยอมพูด เขาเอนหลังอยู่บนเบาะแล้วปล่อยให้รัชทายาทกับลั่วอ๋องเถียงกันไปเถียงกันมา เมื่อดูพวกเขาเถียงกันมาได้สักพักแล้ว เสด็จอาเก้าก็ทำหน้าง่วงนอน “ข้าเหนื่อยแล้ว รัชทายาทกับจื่อลั่วกลับกันไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวจะติดโรคไปจากข้า”
เมื่อเสด็จอาเก้าพูดจบก็หลับตาลงในทันที เป็นการแสดงออกว่าไม่อยากรับฟังอะไรแล้วทั้งนั้น
รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วมองหน้ากัน นานๆทีที่สองคนนี้จะเห็นพ้องต้องกัน ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเสด็จอาเก้ารำคาญพวกเขาแล้ว จึงค่อยๆทูลลาพร้อมๆกัน
เมื่อพวกเขาออกมาแล้วก็ไม่พบเฟิ่งชิงเฉิน รัชทายาทจึงรีบถามหานาง ผู้ดูแลจวนอ๋องเก้าก็ตอบกลับไปว่า “คนของจวนอ๋องเก้าจะส่งเฟิ่งชิงเฉินกลับไปอย่างปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้เองที่ทำให้รัชทายาทยิ้มได้ อย่างน้อยวันนี้เขาก็ทำเรื่องที่ถูกต้องแล้ว 1 เรื่อง นั่นก็คือการพาเฟิ่งชิงเฉินมาที่จวนอ๋องเก้า
ดูท่าทางแล้ว ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินจะทำให้เสด็จอาเก้าโมโห แต่เสด็จอาเก้าก็ยังคงเป็นห่วงนาง
“น้องเจ็ด ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ชาย ข้าขอย้ำเตือนเจ้าหน่อยนะ ตอนนี้ชิงเฉินไม่ใช่หญิงกำพร้าที่เจ้าจะเหยียบย่ำได้ตามใจเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว หากคิดจะข่มเหงชิงเฉิน ก็ลองนึกถึงผู้ที่คอยปกป้องนางอยู่ด้วยล่ะ” รัชทายาทกล่าวเตือนเสร็จแล้วก็กลับไป เขารู้ดีว่าคำพูดประโยคนี้อีกไม่กี่อึดใจก็จะไปถึงหูของเสด็จอาเก้า
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงเตือน” แม้รัชทายาทจะไม่ชายตามองเขา แต่ตงหลิงจื่อลั่วก็ตอบกลับอย่างเคารพ เขาเองก็ตั้งใจเช่นเดียวกันว่าจะให้เสด็จอาเก้ามาได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
ตงหลิงจื่อลั่วทอดสายตามองดูจวนอ๋องเก้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงจากไปด้วยท่าทางองอาจ
ไม่ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นใครก็ตาม ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาและนางเคยคิดจะหมั้นกัน ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินก็เกือบต้องกลายเป็นหลานสะใภ้ของเสด็จอาเก้าเสียด้วยซ้ำ
ต่อให้เสด็จอาเก้าจะกำจัดคนในวังจนหมดสิ้น ก็ไม่อาจลบล้างความจริงเหล่านี้ได้
รัชทายาทคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อเขาก้าวเท้าออกไป เฟิ่งชิงเฉินที่เดินตามหลังมาก็ถูกผู้ดูแลจวนเชิญไปที่ห้องหนังสือ เสด็จอาเก้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งรอนางอยู่ในนั้นนานแล้ว
“เสด็จอาเก้า” เฟิ่งชิงเฉินเห็นเสด็จอาเก้านั่งอยู่ในมุมมืดภายในห้องหนังสือ แต่ก็มิได้ตกใจอะไรนัก
“ได้ยินว่าตอนเจ้าอยู่ในวังถูกคนรังแกมางั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าหันมา เขากวาดสายตาสำรวจเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นว่านางไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บก็พยักหน้าอย่างพอใจ
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ตรงจุดที่สว่าง เสด็จอาเก้ามองเห็นนางอย่างชัดเจน แม้กระทั่งสีหน้าแววตานาง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้เลย และแน่นอนว่านางมองไม่เห็นใบหน้าที่ดูป่วยเล็กน้อยของเขา
เสด็จอาเก้ากำลังป่วยจริงๆ!
“ก็ไม่เชิงว่ารังแกหรอกเพคะ ก็แค่นั่งคุกเข่านานเกินไปเท่านั้นเอง” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ารัชทายาทจะต้องไปทูลฟ้อง แต่นางก็ไม่พูดอะไรมาก โดยเฉพาะเรื่องที่นางอยู่กับตงหลิงจื่อลั่วสองต่อสอง โบยนางให้ตายนางก็ไม่ยอมปริปากพูดเด็ดขาด
เสด็จอาเก้าจะเมตตาและเอ็นดูนางแค่ไหนนั้นนางเองก็ไม่รู้ แต่นางรู้ดีว่าเสด็จอาเก้ามีใจให้กับนาง และยังมองว่านางคือคนสำคัญสำหรับเขา
ผู้ชายส่วนใหญ่มักชอบวางตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หากเสด็จอาเก้าได้รับรู้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นระหว่างนางกับตงหลิงจื่อลั่ว ไม่แน่ว่าเสด็จอาเก้าอาจจะเกรี้ยวกราดจนถึงขั้นตัดหัวนางก็เป็นได้
“คุกเข่า? เจ้าลืมป้ายตราประทับที่ข้าเคยให้เจ้าไว้แล้วหรือ ตราบใดที่เจ้ามีป้ายนั้นติดตัว นอกจากฮ่องเต้แล้ว ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถสั่งให้เจ้าคุกเข่าได้” เสด็จอาเก้าไม่พอใจ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง นางมักจะลืมนึกถึงเขาอยู่บ่อยครั้ง
เอ่อ……เฟิ่งชิงเฉินนิ่งไปสักพัก ดูเหมือนว่านางจะลืมไปจริงๆ นางรีบคลำหาป้ายตราประทับที่แขวนคอตัวเองไว้ จังหวะนั้นเองนางก็ได้ไปลูบโดนก้อนหยก ทำให้นางนึกขึ้นมาได้ว่าในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ของนางยังมีป้ายตราประทับที่หลานจิ่วชิงเคยมอบให้
ของสิ่งนี้ นางเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้อย่างไร
ผู้หญิงคนนี้แม้จะฉลาดหลักแหลม แต่บางครั้งก็ช่างมึนเหลือเกิน เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง เสด็จอาเก้าก็รู้ได้ทันทีว่านางลืมเรื่องนี้เสียสนิท
ช่างเถอะ ตอนนี้นางต้องทนทุกข์ในวังหลวงมามากเกินพอแล้ว เสด็จอาเก้าไม่อยากจะตำหนินางมากไปกว่านี้ จึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ครั้งหน้าจำไว้ล่ะ ตอนที่เจ้าไม่ยินยอมคุกเข่า ก็ให้นำป้ายตราประทับนี้ออกมา ป้ายตราประทับที่ข้าเคยให้เจ้า ไม่ได้ให้ไว้เป็นแค่จี้ใส่สวยๆหรอกนะ”
“ชิงเฉินจะจำไว้เพคะ” เฟิ่งชิงเฉินรับคำแต่โดยดี
“จำไว้ก็ดีแล้ว คราวหน้าก็อย่าทำพลาดอีกล่ะ หากอันผิงจะมาวางอำนาจหาเรื่องเจ้า เจ้าก็โต้ตอบกลับไปเลย ถึงจะเล่นงานนางจนตายข้าก็จะรับผิดชอบเอง” เสด็จอาเก้าแม้จะพูดเสียงเบา แต่ความดุดันที่แฝงมากับน้ำเสียงก็ทำเอาเฟิ่งชิงเฉินถึงกับเย็นสันหลัง
เอ่อ……แต่องค์หญิงอันผิงเป็นหลานสาวของเสด็จอาเก้านะ
เอาเถอะ นางลืมไปว่าคนของราชวงศ์ล้วนเลือดเย็น เฟิ่งชิงเฉินคิดในใจขึ้นมาว่าหากวันใดวันหนึ่งเสด็จอาเก้าไม่โปรดปรานนางแล้ว วันนั้นนางอาจจะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าอันผิงก็เป็นได้ นางไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเสด็จอาเก้าด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าอยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องทำเป็นพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ชิงเฉินเข้าใจแล้วเพคะ”
มีเสด็จอาเก้าคอยปกป้องนางอยู่ หากครั้งหน้าองค์หญิงอันผิงมารังควานนางอีก เรื่องลงไม้ลงมือก็คงจะมีบ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นเอาชีวิต
การเอาชีวิตขององค์หญิงองค์หนึ่ง คงมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่จบสิ้น……