นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 499 เข้ารั้ง เสด็จอาเก้าผู้น่าเกรงขาม
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 499 เข้ารั้ง เสด็จอาเก้าผู้น่าเกรงขาม
เป็นไปดังที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์เอาไว้ หนานหลิงจิ่นฝานและซูหว่านทั้งสองคนไม่เพียงแค่ได้ยินคำของตงหลิงจื่อลั่วและซีหลิงเทียนเหล่ย พวกเขายังเข้ามาจงใจหาเรื่องนางอีกด้วย
หนานหลิงจิ่นฝานดวงตาอันเรียวเล็กดุจดั่งนกฟินิกซ์ของหนานหลิงจิ่นฝานเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันชั่วร้ายเหลือบมองไปทางหนานหลิงจิ่นฝานและตงหลิงจื่อลั่ว ก่อนจะกล่าววาจาดูถูกเฟิ่งชิงเฉินว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเข้ากับชิงเฉินและองค์รัชทายาทเหล่ยพร้อมกับลั่วอ๋องที่นี่ องค์รัชทายาทเหล่ยกับลั่วอ๋องจะส่งชิงเฉินกลับจวนหรือ? เรื่องนี้ดูไม่เหมาะสมเท่าไรนัก ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิดกัน ทั้งสองท่านควรจะหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตกเป็นข้อสงสัยจะดีกว่า เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน ข้าคิดว่าให้ซูหว่านและข้าเดินทางไปส่งชิงเฉินคงจะเหมาะสมกว่า ชิงเฉินเจ้าว่าอย่างไร?”
ริมฝีปากของหนานหลิงจิ่นฝานเผยอขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประโยคสุดท้ายที่ดูเหมือนกับคำถาม แต่เมื่อคนฟัง ฟังแล้วกลับรู้สึกถึงประโยคที่ค่อนข้างมั่นใจ
จะว่าอย่างไรเล่า ข้าคุ้นเคยกับพวกเจ้าทั้งสองอย่างนั้นหรือ? ชิงเฉินอย่างนั้น ชิงเฉินอย่างนี้ เรียกใครกัน! เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันกรอดแล้วแอบด่าแช่งอยู่ในใจ แต่ท่าทางของนางกลับยิ้มออกมาด้วยความแข็งกระด้าง “ขอบคุณองค์รัชทายาทเหล่ยเป็นอย่างยิ่ง และลั่วอ๋องพร้อมกับองค์ชายสามที่เมตตา ชิงเฉินรู้จักทางกลับจวน จึงไม่จำเป็นให้ท่านทั้งสามต้องลำบากไปส่ง”
ส่งบ้าบออะไรกัน นางไม่ได้เดินทางออกจากพระราชวังเป็นครั้งแรกเพื่อกลับจวนเสียที่ไหนเล่า? ปกติแล้วก็ไม่เคยเห็นมีผู้ใดอาสาจะไปส่งนาง ในวันนี้แต่ละคนกลับพุ่งเข้ามาอาสาอยากจะช่วยเหลือ หากว่าไม่มีแผนการชั่วร้ายคาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ
จริงเลยเชียว แต่ละคนดูท่าทางมั่นอกมั่นใจนักหนา คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยเจอชายหนุ่มหรืออย่างไร คิดว่าเพียงมีชายหนุ่มก้าวออกมาพูดจาเอาอกเอาใจนางและยิ้มให้นางก็จะเชื่อฟังตามคำพูดของชายหนุ่มเหล่านั้นหรืออย่างไร เหอะ……
“จะเป็นการลำบากอย่างไรเล่า ข้านั้นชื่นชมชิงเฉินมาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้บังเอิญมีโอกาส ชิงเฉินอย่าได้ปฏิเสธข้าเลย โปรดทำให้ความปรารถนาของขอเป็นจริงเถิด” หนานหลิงจิ่นฝานกะพริบตาไปทางเฟิ่งชิงเฉิน เป็นการเตือนนางว่าเขาเคยประกาศแล้วว่าจะแต่งงานกับนาง
“ชิงเฉินเป็นสตรีชั้นสูงของราชวงศ์ตงหลิง ดังนั้นจึงไม่ขอรบกวนองค์รัชทายาทเหล่ยและองค์ชายสามหรอก ข้าจะส่งชิงเฉินกลับไปอย่างปลอดภัยเอง” ตงหลิงจื่อลั่วก้าวไปข้างหน้าเฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวขึ้น
ซีหลิงเทียนเหล่ยจะพอใจได้อย่างไร “ลั่วอ๋องกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก ต่อให้ชิงเฉินเป็นสตรีชั้นสูงของราชวงศ์ตงหลิงแล้วอย่างไร แต่ข้าและชิงเฉินก็นับว่ารู้จักกันมาเนิ่นนานการส่งชิงเฉินกลับจวน หาใช่ความลำบากใด ไม่เป็นการรบกวนข้าเลย ชิงเฉินข้ามีเรื่องอยากจะเอ่ยถามเจ้าอยู่ด้วย เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ประตูเมืองในวันนั้น รายละเอียดบางอย่าง ข้าคิดว่าชิงเฉินคงจะอยากรู้”
เพื่อเป็นการหลอกล่อเฟิ่งชิงเฉินขึ้นรถม้าของตน ซีหลิงเทียนเหล่ยพยายามอย่างสุดความสามารถ และหยิบอ้างเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินในวันสมรสของนางขึ้นมาเป็นเหยื่อล่อ
ใบหน้าอันสงบนิ่งของเฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองดูซีหลิงเทียนเหล่ยแววตาเป็นประกายแห่งการต่อสู้
นางอยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องในวันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งสาวใช้ที่ทรยศนางคนนั้นด้วย เนื่องจากสาวใช้ผู้นั้นหักหลังนาง จึงทำให้นางรู้สึกปิดกั้นบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายไปเสียจนสิ้น
นางกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ถูกแทงข้างหลังขึ้นอีกครั้งเช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก ในขณะเดียวกันนางก็อยากจะรู้เสียจริงว่าใครกันเป็นคนขืนใจสาวใช้ของนางจนถึงแก่ชีวิต จะตีหมาก็ต้องดูเจ้าของด้วย ต่อให้สาวใช้ของนางจะทรยศนาง นางก็จะไม่ยอมให้คนอื่นต้องลงมือ
ซีหลิงเทียนเหล่ยรีบเข้ามาตีเหล็กตอนร้อนกล่าวว่า “ชิงเฉิน ให้ข้าส่งเจ้ากลับไปเป็นอย่างไร? ข้ารับรองได้ว่าเรื่องที่ชิงเฉินอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟังทุกอย่างอย่างไม่ปิดบัง”
เรื่องในวันแต่งงานของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าได้ทำการสืบมาพอประมาณแล้ว สิ่งใดที่เฟิ่งชิงเฉินอยากรู้ก็ได้รู้ ไม่ว่าเขาจะเล่าให้ฟังหรือไม่ก็ไร้ประโยชน์ บางทีกล่าวออกมาแล้วอาจจะไม่สามารถลบล้างความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างทั้งสองได้
อีกอย่าง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเป็นสิ่งที่เขาทำแล้วอย่างไร? นางเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้า คิดจะให้นางตั้งตัวเป็นสตรีกับราชวงศ์ซีหลิงอย่างงั้นหรือ
อย่าล้อเล่นไปเลย!
ช่างโหดเหี้ยมสิ้นดี!
หนานหลิงจิ่นฝานยกนิ้วโป้งให้แก่ซีหลิงเทียนเหล่ย เรื่องนี้เขายังหยิบยกขึ้นมาใช้ได้ ซีหลิงเทียนเหล่ยช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ดังนั้นหนานหลิงจิ่นฝานจึงได้ก้าวขาออกมา เป็นเพียงผู้ที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ด้านข้าง
บัดนี้ตงหลิงจื่อลั่วกลัวที่สุดว่าจะมีใครหยิบยกเรื่องงานวันแต่งงานออกมาต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เนื่องจากเรื่องเหล่านั้นไม่อาจตัดขาดจากเขาไปได้ ตงหลิงจื่อลั่วกังวลยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลดีๆ ช่วยเฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธได้ หากกล่าวมากความไปเกรงว่าเขาจะมีความกระสับกระส่ายเกินเหตุ เพราะถึงอย่างไรหลักฐานทั้งหมดก็ชี้ไปที่ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา
ในขณะนั้นเองก็มีผู้ช่วยปรากฏกายขึ้น ทำให้ตงหลิงจื่อลั่วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เสด็จอาเก้าได้ส่งองครักษ์ส่วนตัวมา ในมือถือตราประทับของจวนอ๋องเก้า ท่ามกลางการนำพามาของขันที พวกเขาทั้งหลายเดินตรงเข้ามาทางเฟิ่งชิงเฉิน
พวกเขาทั้งหลายเดินตรงเข้ามาทางเฟิ่งชิงเฉิน “คารวะท่านทั้งหลาย ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” ชุดที่สวมใส่ซึ่งดูสง่างาม ท่าทางอันแข็งแกร่งมีสง่าราศีคุกเข่าข้างหนึ่งลงที่พื้นต่อหน้าทุกคน แต่กลับไม่ได้ดูต่ำต้อยแต่อย่างใด
“ลุกขึ้นเถิด” ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวขึ้น เนื่องจากข่าวลือเหล่านั้นจึงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเสด็จอาเก้า แต่บัดนี้เมื่อพบขึ้นกับคนในจวนอ๋องเก้าทำให้เขารู้สึกยินดียิ่งนัก
เมื่อคนของเสด็จอาเก้าเข้ามาขัดขวางเอาไว้ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ไม่อาจจะพาตัวเฟิ่งชิงเฉินไปได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่มีโอกาสในการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งในวันนั้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทหารผู้นั้นลุกขึ้นยืน ดวงตาจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวว่า “คุณหนูขอรับ ข้าน้อยมาทำตามคำรับสั่งของเสด็จอาเก้า รับคุณหนูกลับจวน”
ฟังให้ดี จุดสำคัญก็คือเขากล่าวว่า “มารับคุณหนูกลับจวน” แต่ไม่ใช่เชิญเฟิ่งชิงเฉินไปที่จวนอ๋องเก้า
เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตงหลิงจื่อลั่วและซีหลิงเทียนเหล่ยจะไม่ทันสังเกตด้วย ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานเป็นคนนอกจึงไม่อาจพูดอะไรได้ ได้แต่ส่งสายตาสงสัยไปถามตงหลิงจื่อลั่ว การที่กล่าวว่ากลับจวนหมายความว่าจวนใด?
ตงหลิงจื่อลั่วจ้องไปที่ทั้งสองคนด้วยความโกรธ เหตุใดตอนที่เข้ามาแย่งชิงตัวนางจึงไม่คิดบ้างเล่าว่าทั้งสองคนเป็นคนนอก แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นตงหลิงจื่อลั่วก็ยังเอ่ยขึ้นถามว่า “กลับจวนหรือ เสด็จอาเก้ามอบจวนเล็กทางฝั่งตะวันตกให้ชิงเฉินหรือ?”
“ทูลลั่วอ๋อง ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาเก้าให้กระหม่อมมารับคุณหนูกลับจวนอ๋องเก้า ฝ่าบาท บัดนี้เสด็จอาเก้ากำลังรอคุณหนูเฟิ่งอยู่ หากไม่มีเรื่องอื่นล่ะก็ ขอโปรดอภัยที่กระหม่อมจะต้องเสียมารยาทพาคุณหนูเฟิ่งกลับไปก่อน” องครักษ์ของเสด็จอาเก้าท่าทางนอบน้อมมีมารยาทเช่นเดียวกับเสด็จอาเก้า และไม่ปล่อยโอกาสให้ใครปฏิเสธเลย
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว แน่นอนว่านางก็ไม่มีใจที่จะปฏิเสธ นางติดอยู่ท่ามกลางทั้งสามคนนี้กำลังปวดหัวทีเดียว แม้ว่าองครักษ์ของเสด็จอาเก้าจะไม่ดูอ่อนน้อมสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีและปลอดภัยกว่าไปกับสามคนนี้ แม้ว่านางจะไม่อยากเห็นเสด็จอาเก้าในตอนนี้ก็ตาม
“ฝ่าบาททั้งสาม ชิงเฉินขอตัวลาก่อนเพคะ!”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางและเสด็จอาเก้าก็มีความสัมพันธ์กันที่ไม่ธรรมดา เสด็จอาเก้าคงจะไม่ได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือหลังลงจากเตียง? แม้ว่าการพบกับเขาในวันนี้ทำให้นางรู้สึกเคอะเขิน แต่ในเมื่อเสด็จอาเก้าส่งคนมารับแล้วนางจะปฏิเสธได้อย่างไร
ไม่ว่าอย่างไร หากว่าเสด็จอาเก้าไม่เอ่ยถึง นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้รู้สึกน่าสมเพชถึงขนาดจะต้อง เอาความบริสุทธิ์ของตัวเองไปแลกกับเงินทองและสถานะ หากเช่นนั้นนางจะต่างอันใดกับโสเภณีในหอนางโลมเล่า?
ความรักระหว่างชายหญิง ต่างคนต่างยินยอม เสด็จอาเก้าไม่ได้ขืนใจนางแล้วนางจะมีคุณสมบัติอันใดจะเรียกร้องขอสิ่งเหล่านั้นจากเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินเดินจากไปด้วยท่าทางสง่างาม ปล่อยให้ชายทั้งสามทำท่าหดหู่ หนานหลิงจิ่นฝานยกมือขึ้นกอดอก “แย่งกันไปแย่งกันมาสุดท้ายก็เสียผลประโยชน์ให้เสด็จอาเก้าอยู่ดี ดูท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสิ หากพวกเราทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่นี่และทะเลาะวิวาทกันอยู่ คาดว่านางคงไม่เดินทางไปกลับองครักษ์ของเสด็จอาเก้าหรอก”
เป็นจริงดังนั้น หากไม่ใช่เพราะถูกทั้งสามคนบีบบังคับจนไม่มีหนทาง เฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่ไปกับองครักษ์ของเสด็จอาเก้าในวันนี้อย่างแน่นอน
ต้องขอบอกว่าเสด็จอาเก้าโชคดียิ่งนัก
“จากที่ข้าดูแล้ว เสด็จอาเก้าคงจะคำนวณเอาไว้แล้ว เขาคงจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เฟิ่งชิงเฉินจะเดินทางออกมาจากวัง จึงได้ส่งหัวหน้าองครักษ์เข้าไปในพระราชวังและเตรียมรอ” ซีหลิงเทียนเหล่ยหรี่ตามอง เห็นสัมภาระในมือของบ่าวรับใช้ทั้งสองคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังเฟิ่งชิงเฉินแล้วจึงได้หยั่งรู้
เฟิ่งชิงเฉินสวมชุดพระชายาอ๋องเก้าอย่างเป็นทางการเข้าไปในพระราชวัง แน่นอนว่าเสด็จอาเก้ารับรู้ ไม่อย่างนั้นจะส่งหัวหน้าองครักษ์มารอรับเป็นพิเศษได้อย่างไร?
หากว่าเขาไม่ได้สืบผิดล่ะก็ หัวหน้าองครักษ์ของเสด็จอาเก้าเป็นนายพลในระดับสามเชียว
ตงหลิงจื่อลั่วหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
เมื่อมีการคุ้มกันจากคนของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินคงจะสามารถเดินทางออกจากพระราชวังได้โดยปลอดภัย และไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้นเพราะเรื่องนั้น
เพราะในพระราชวังหากต้องการหาเรื่องใครล่ะก็ สามารถหาเหตุผลได้นานาประการ……