นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 500 โง่เง่า อายหรือไร
เฟิ่งชิงเฉินคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้นับร้อยนับพัน แม้กระทั่งอยู่บนรถม้า นางก็กำลังคิดถึงมาตรการการรับมือในสถานการณ์ต่างๆ
หากว่าเสด็จอาเก้าบังคับให้นางเป็นสาวใช้คอยอุ่นเตียง นางมองผิวเผินก็จะทำเหมือนเชื่อฟัง แต่จะแอบวางแผนแล้วหลบหนี ทิ้งเสด็จอาเก้าเอาไว้ไม่ช้าก็เร็ว
หากว่าเสด็จอาเก้าเสแสร้งแกล้งทำให้นางเชื่อมั่นในเขา ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะให้ตำแหน่งแก่นาง เช่นนั้นนางก็จะยินดีกล่าวกลับด้วยความเขินอายว่านางเชื่อเขา
หากเสด็จอาเก้ากล่าวเตือนอย่างเย็นชาว่า อย่าคิดว่าตนปีนขึ้นไปบนเตียงของเขาแล้วจะทำสิ่งใดได้ตามปรารถนา และกลายเป็นนายหญิงแห่งจวนอ๋องเก้าได้ เช่นนั้นนางก็จะทำเป็นเสียใจกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วกล่าวว่านางสาวไม่ทำเช่นนั้น
หากเสด็จอาเก้ากล่าวว่าทุกอย่างยังคงเป็นดังเดิม ให้เหมือนเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่มีวันไม่ได้เกิดขึ้น นางก็จะพยักหน้าทั้งน้ำตา พยายามกล่าวว่าตนจะทำให้ได้
แต่มีสิ่งเดียวที่นางคิดไม่ถึงนั่นก็คือเสด็จอาเก้าใช้ฉากกั้น กั้นเอาไว้ตอนพบกับนาง
เสด็จอาเก้าอายหรืออย่างไร?
เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังฉากกันที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางงุนงง ดูเหมือนนางอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า
หากจะกล่าวว่าอาย ควรจะเป็นนางต่างหากที่อาย เสด็จอาเก้าจะอายทำไมกัน เมื่อเสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ทำให้นางไม่รู้ว่าจะอายอย่างไรดี
“แค่กๆ……” เมื่อพบว่าเฟิ่งชิงเฉินยังไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เสด็จอาเก้าจึงได้กล่าวกระแอมเตือนขึ้น
ด้านหลังของฉากกั้น เสด็จอาเก้าครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวต่ำ ใบหน้าของเขาขาวซีดราวกับกระดาษ ดวงตาลึกล้ำและเงียบงันมองไปมีรอยเส้นเลือด ที่บริเวณท้องก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน
นี่คือค่าตอบแทนของการเอาแต่ใจตนเอง
กระถางธูปสองกระถางด้านข้างถูกจุดขึ้น ควันสีขาวลอยขึ้นมา กลิ่นอันดูสูงสง่ากลบกลิ่นเลือดเหล่านั้นทิ้งไป
แม้จะมีเพียงแค่ฉากกันตั้งแต่ให้ความรู้สึกถึงความห่างเหินเหลือเกิน ฉากกันนี้ทำให้ทั้งสองคนดูห่างไกลกัน
“ชิงเฉินคารวะเสด็จอาเก้า ขอให้อายุยืนพันปีพันพันปี” เฟิ่งชิงเฉินได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นางจัดระเบียบเสื้อผ้ารีบคารวะ
เสด็จอาเก้ารู้สึกหงุดหงิดจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ใครสั่งให้นางคารวะเช่นนี้กัน? “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จอาเก้า” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ นางกำลังคิดอยู่ว่า หากเสด็จอาเก้าไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาตัวนางเองก็จะไม่เอ่ยเรื่องเมื่อคืนนี้ขึ้นก่อนเช่นกัน
การที่มีฉากกั้นเช่นนี้ อาจหมายความได้ว่าเสด็จอาเก้ารู้สึกเขินอายหรือบางทีอาจจะไม่อยากเห็นหน้านาน ดังนั้นนางจึงต้องระวังไว้เป็นดี เนื่องจากเรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูแปลกประหลาดไป ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นผู้โปรดปรานของเขาก็ย่อมได้
หลังจากผ่านค่ำคืนอันเร่าร้อนมาด้วยกัน โดยมากจะเป็นหญิงที่คอยตามติดชาย ต้องการให้เขารับผิดชอบ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบื่อและรังเกียจ แต่ในทำนองเดียวกัน…… หากว่าผู้หญิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นเลยผู้ชายก็จะรู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน
เมื่อคืนนี้ เขาทำได้แย่มากเลยหรือไง? แย่จนขนาดที่ว่าเมื่อเฟิ่งชิงเฉินพบเขาอีกครั้งแต่ก็กลับไม่กล่าวสิ่งใดเลย
เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าหัวใจของเขาดูหดหู่ยิ่งนัก เขาไม่เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บจากภายนอก แต่ได้รับบาดเจ็บจากภายในด้วย เฟิ่งชิงเฉินแทบจะทำให้เขาโมโหแทบคลั่ง เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นเท่าเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายของนาง
การที่เฟิ่งชิงเฉินไม่มีปฏิกิริยาใดออกมา ทำให้เสด็จอาเก้าโกรธยิ่งนัก แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่เคยรับมือมาก่อนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี ดังนั้นจึงเลือกที่ไม่เอ่ยถึงมัน แต่กลับกล่าวขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า “ชิงเฉิน เรื่องการแข่งทักษะทางการแพทย์ ในวันนี้ข้าได้ยินเรื่องราวมาแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปเรื่องนี้ข้าจะจัดการให้เจ้าอย่างแน่นอน”
หนานหลิงจิ่นฝานนับวันยิ่งหยิ่งทะนงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อการชนะสักครั้งในการแข่งขัน เขากล้าจะใช้กลอุบายลับหลังเช่นนี้ คิดว่าตนป่วยจนแทบตายแล้วหรือไร?
แค่กๆ ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะลืมไปแล้วว่าการที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถเอาชนะซูหว่านได้ในการแข่งขันทั้งสามประเภทนั้น แท้จริงแล้วก็ใช้กลอุบายจึงได้มา เอาเถิดต่อให้เสด็จอาเก้าจะจำได้ ก็คงทำได้เพียงปรบมือให้กำลังใจเฟิ่งชิงเฉิน กล่าวว่านางทำได้ดี
“ขอบพระทัยเสด็จอาเก้า แต่ไม่จำเป็นเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินดูไม่เหมือนกับผู้ที่ถูกเอาอกเอาใจ ท่าทางของนางปฏิเสธอย่างเยือกเย็น
เสด็จอาเก้ากล่าวรู้สึกไม่พึงพอใจ แม้แต่บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินยังคงปฏิบัติเขาเหมือนกับเป็นคนภายนอก ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้นางจะไม่พอใจจริงด้วย
เสด็จอาเก้ารู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เขาตัดสินใจว่าจะกลับไปอ่านหนังสือตำราสักสองสามเล่มเพื่ออ่านทักษะในการใช้ชีวิตบนเตียง เพื่อให้แน่ใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพึงพอใจ
เฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะครุ่นคิดแล้วอธิบายว่า “ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี แต่มันไม่จำเป็นจริงๆ เพคะ เนื่องจากว่าชิงเฉินเอาชนะซูหว่านได้แล้วถึงสามสนาม หากว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาดไป ก็ยังสามารถเสมอได้อีกหนึ่งครั้ง การแข่งขันต่อจากนี้ ต่อให้แพ้ทั้งหมดยังไม่เป็นไร ส่วนชื่อเสียงของข้าจะเสียหายหรือไม่ คาดว่าตระกูลซูก็เป็นเช่นกัน” หากว่าซูหว่านแพ้ล่ะก็ตระกูลซูคงจะสูญเสียชื่อเสียงและไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่
อีกอย่างองค์ชายสามไม่ว่าทำเรื่องไรก็โหดเหี้ยมเสมอ เขาจะไม่ทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานใดๆ ไว้อย่างแน่นอน ต่อให้ทุกคนจะรู้ว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนกระทำ ก็อาจจะไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้ “ก็เป็นเพียงแค่การแข่งขันเท่านั้น ใช่ว่าชิงเฉินจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและพลังงาน ไปกับเรื่องราวเหล่านี้”
ชื่อเสียงของตระกูลซูนั้นสำคัญยิ่งนัก หากว่านางทำให้ชื่อเสียงของตระกูลซูต้องเน่าเหม็น เมื่อถึงเวลาแล้วหากตระกูลซู พยายามดิ้นรนต่อสู้จนตัวตาย นางก็คงจะแย่
ตัวนางเพียงลำพังจะไปต่อสู้กับตระกูลได้อย่างไร?
ที่กล่าวกันว่าเท้าเปล่าไม่กลัวจะมีรองเท้าใส่ หากทำให้ซูหว่านรู้สึกคับแค้นใจ นางจะสนใจสิ่งใดมากมาย ใช้ชีวิตอยู่ในแนวหน้า อนาคตยังมีโอกาสพบกันอยู่ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามไม่ควรจะทำเสียจนเด็ดขาดเกินไป
“เจ้าช่างมองทุกอย่างได้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะสนใจเรื่องการแพ้ชนะอย่างยิ่งเสียอีก เสด็จอาเก้าค้นพบว่าตนไม่สามารถมองทะลุเฟิ่งชิงเฉินได้เลย เดิมทีคิดว่านางจะไม่สนใจการแพ้ชนะ แต่ก็พยายามจงใจให้นางลองดู และใช้กลยุทธ์ต่างๆ จนกระทั่งเอาชนะซูหว่านได้ แต่หากกล่าวว่านางสนใจเรื่องของการแพ้ชนะก็ดูเหมือนว่านางจะปล่อยโอกาสการชนะไปแล้วอีกครั้ง
ความคิดของสตรีช่างซับซ้อนเสียจริง และเฟิ่งชิงเฉินยังเป็นหนึ่งในคนที่ไม่เหมือนคนอื่น เสด็จอาเก้าพยายามคาดเดาจิตใจของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ดูเหมือนว่ามันจะเหนื่อยยิ่งกว่าให้นับเมล็ดพืชเสียอีก
“เสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินให้ความสนใจกับความเป็นและความตายเท่านั้น ความแพ้ชนะไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย” เฟิ่งชิงเฉินขี้เกียจที่จะบอกกับเสด็จอาเก้าว่านางไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้
หากคำนวณดูแล้ว นางได้เอาชนะซูหว่านทั้งในด้านฉิน คัดลายมือและวาดภาพ มากเพียงพอแล้วที่จะสร้างหน้าสร้างตา ให้แก่ราชวงศ์ตงหลิง ต่อให้การแข่งขันต่อต่อไปนางจะแพ้นางก็ไม่ได้มีแรงกดดันแต่อย่างใด ในฐานะหนึ่งของตัวแทนราชวงศ์ตงหลิง เดิมพันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะนางล้วนชนะ
เสด็จอาเก้าพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อนึกถึงท่าทางการแสดงออกที่หลากหลายของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็รู้สึกว่าเป็นจริงดังนั้น เฟิ่งชิงเฉินให้ความสนใจกับความเป็นความตายของชีวิต ส่วนเรื่องอื่นๆ เมื่อเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นความตายดูเหมือนนาง จะจัดอันดับไว้ท้าทาย “ข้าคิดมากไปเอง” เสด็จอาเก้าเปลี่ยนทัศนคติเป็นเอ่ยขอโทษ
เฟิ่งชิงเฉินเผยอริมฝีปากแล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ดังนั้นเมื่อนางคิดว่าชุดของพระชายาอ๋องเก้ามีราคาสูงเครื่องประดับล้ำค่า นางก็นำมาด้วยและเอ่ยขึ้นเพื่อต้องการจะคืนชุดนั้นให้แก่เสด็จอาเก้า
ชุดนั้นไม่เพียงแค่มีค่ามาก อีกทั้งยังบ่งบอกถึงตัวตนได้ หากทำหายล่ะก็นางคงจะแย่
คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะเอ่ยเพียงประโยคหนึ่ง ก็ถูกเสด็จอาเก้ากล่าวขัดจังหวะขึ้น “สิ่งที่ข้ามอบให้ไปแล้วจะเอากลับคืนมาได้อย่างไร หากชิงเฉินไม่ต้องการก็จงทิ้งไปเถิด”
สตรีผู้นี้ หากไม่มีเรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นแล้วนางนำกลับมาคืนเขายังพอรับได้ แต่หลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนนี้มาแล้ว นางยังกล้านำเสื้อผ้ามาคืนอีก ต้องการที่จะขีดเส้นอันชัดเจนกับเขาหรือ?
ให้ตายสิ จริงเลยเชียว!
เฟิ่งชิงเฉินเหตุใดเจ้าไม่เป็นดั่งเช่นสตรีคนอื่นที่มักจะเข้ามารายล้อมพัวพันข้า?
หากไม่ใช่เพราะว่ามีอาการบาดเจ็บที่ร่างกายล่ะก็ เสด็จอาเก้าอยากจะวิ่งไปข้างหน้าแล้วคว้าคอของเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ……
เอาทิ้งหรือ?
เพราะนางกลัวว่ามันจะหายไปจึงได้นำมันมาคืนให้แก่เสด็จอาเก้า เสื้อผ้าทั้งชุดนั้นคงจะปลอดภัยกว่าหากอยู่ในจวนอ๋องเก้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องเกลี้ยกล่อมคืนชุดนี้ให้แก่เสด็จอาเก้า หากนางต้องนำกลับไปด้วยคงจะเหนื่อยและเป็นภาระ
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าเสด็จอาเก้ากำลังโมโห นางจึงได้ลดฐานะของตนแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เสด็จอาเก้าเพคะ ชุดนั้นช่างราคาแพงเหลือเกิน หากนำไปไว้ในจวนเล็กด้านข้าง ข้าไม่วางใจเลย หากเป็นไปได้ละก็ขอเสด็จอาเก้าช่วยชิงเฉินจัดเก็บไว้สักระยะหนึ่งได้หรือไม่”
กล่าวเช่นนี้คงไม่ผิดกระมัง?