นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 513 มองฟ้า เสด็จอาเก้าปะทะเหล่าองค์ชาย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 513 มองฟ้า เสด็จอาเก้าปะทะเหล่าองค์ชาย
เมื่อเหล่าองค์ชายเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินเสียโฉมก็ไม่มีอารมณ์ตีสนิทนางอีก เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เสด็จอาเก้าเจอนางที่เป็นเช่นนี้ไม่อาเจียนก็ดีแล้ว ไฉนเลยจะยอมฟังคำของนาง?
หย่งอ๋องและคนอื่นๆ มองเฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าสมใจ ดวงตาของพวกเขาดูถูกเหยียดหยามและเย้ยหยัน คางของพวกเขาเชิดขึ้นเล็กน้อยและหมดความปรารถนาที่จะสนทนากับนางอีก
เฟิ่งชิงเฉินคาดเดาความคิดของพวกเขาได้รางๆ เปลือกตาของนางหลุบลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดแววเยาะเย้ยในดวงตาของนางเอาไว้
ไม่ว่าอย่างไร แผนขององค์ชายเหล่านี้จะต้องผิดแผนไปหมด นางไม่มีทางที่จะเป็นอาวุธให้พวกเขาเพียงเพราะพวกเขาพูดอะไรไม่กี่คำ ในขณะที่…
องค์ชายเหล่านี้ต้องการกลั่นแกล้งนาง หัวเราะเยาะนาง เกรงว่าจะต้องผิดหวังเสียแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาผู้ชาย แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะปกป้องนางเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นอันตรายต่อนางมากด้วยเช่นกัน
ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรขึ้นก่อน แน่นอนว่าองค์ชายเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจจะจากไปทันที พวกเขากำลังรอคอยให้คนจากจวนเสด็จอาเก้ามาที่นี่…
ตงหลิงจื่อชิงถอนหายใจเล็กน้อยและพูดประโยคแรกในวันนี้หลังจากมาถึง “แม่นางเฟิ่ง ต่อไปเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
“ทำอย่างไร? ชิงอ๋องหมายความว่าอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงและพินิจดูองค์ชายที่มีการมีตัวตนน้อยยิ่งนักอย่างจริงจัง
ตงหลิงจื่อชิงเป็นผู้สนับสนุนองค์รัชทายาท เขาประจำการอยู่ที่ชายแดน เป็นองค์ชายที่ออกรบจริงๆ คิดไม่ถึงว่ายามที่นางเสียโฉม เขาจะคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
ตงหลิงจื่อชิงเพียงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินแกล้งโง่และไม่สนใจสายตาเยียบเย็นจากเหล่าเสด็จพี่ของเขาและกล่าวว่า “หากเจ้าเต็มใจ ข้าจะส่งคนมาพาเจ้าไปที่ด่านเป่ยเหมิน”
ด่านเป่ยเหมินเป็นด่านที่อวี่เหวินหยวนฮั่วประจำการอยู่ ตงหลิงจื่อชิงกำลังต้องการผูกมิตรกับอวี่เหวินหยวนฮั่ว ในขณะเดียวกันก็เตือนตงหลิงจื่อโจวและคนอื่นๆ ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ
เอ่อ… ใบหน้าของตงหลิงจื่อโจวและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปทันที พวกเขาลืมอวี่เหวินหยวนฮั่วไปได้อย่างไร อวี่เหวินหยวนฮั่วและเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทุกคนในเมืองหลวงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเคยทำให้องค์จักรพรรดิไม่พอพระทัย แม้อวี่เหวินหยวนฮั่วจะอยู่ไกลก็ยังพยายามหาวิธีช่วยนางอย่างถึงที่สุด
เสด็จอาเก้าก็ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินไปทั่วทุกที่ ไม่แน่ว่าบางทีก็อาจเป็นเพราะอยากมีอวี่เหวินหยวนฮั่วเป็นพวก
เหล่าองค์ชายรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าแห่งการละคร เพียงชั่วพริบตา แววดูหมิ่นดูแคลนในดวงตาของพวกเขาก็หายไป แต่ละคนล้วนแสดงน้ำใจบอกกล่าววิธีกำจัดแผลเป็นที่พวกเขารู้ มีเพียงตงหลิงจื่อลั่วที่ไม่พูดอะไร แต่นัยย์ตากลับปรากฏประกายเย็นวาบ
ตงหลิงจื่อชิงทำลายแผนของเขาอีกแล้ว การสนทนาในวันนี้จะต้องไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อของเขาอย่างแน่นอน หากเขาขอแต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ย่อมดูเหมือนมีจุดประสงค์แอบแฝง แม้ว่าเขาตั้งใจจะแต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉินและรวบรวมตระชกูลหวังพร้อมทั้งอวี่เหวินหยวนฮั่วมาเป็นพวกจริงๆ ก็ตาม
เฟิ่งชิงเฉินรำคาญบอกกับแผลของนางยังไม่หายดี นางจึงไม่อยากพูดอีก แม้ว่านางจะอ้าปากออกพูดก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะพูดได้สักคำ ครึ่งชั่วยามผ่านไป เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ร่างของนางดูไม่มั่นคงเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็เริ่มฝืนมากขึ้นเรื่อยๆ
เหล่าองค์ชายรู้ว่าพวกเขาควรไปได้แล้ว แม้ว่าภายนอกจะไม่มีอะไร แต่ทุกคนก็รู้ว่าวันนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก มีองค์ชายรองเป็นผู้นำ เหล่าองค์ชายกำลังจะเตรียมตัวกลับจวน ไฉนเลยจะรู้ว่าเมื่อกำลังจะลุกขึ้นก็ได้ยินคนมารายงาน “เสด็จอาเก้ามาถึงแล้ว!”
เสด็จอาเก้ามาด้วยตนเองจริงหรือ?
ประกายสว่างวาบในดวงตาของเหล่าองค์ชาย พวกเขากวาดตามองเฟิ่งชิงเฉินแต่ก็เห็นใบหน้าของนางสงบราบเรียบราวกับว่านางรู้อยู่แต่แรกแล้ว นางยืนขึ้นพร้อมกับเหล่าองค์ชายและเดินออกไปนอกประตูเพื่อต้อนรับเสด็จอาเก้า นางไม่ได้มองผ้าคลุมหน้าบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย ดูแล้วนางคงไม่คิดจะใส่มันอีก
“แม่นางเฟิ่ง เจ้าอยากสวมผ้าคลุมหน้าหรือไม่?” จิตใจของตงหลิงจื่อชิงละเอียดอ่อนกว่าคนอื่นๆ
รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวสำคัญเพียงใด ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะมีท่าทีอย่างไรต่อเฟิ่งชิงเฉิน ย่อมไม่ดีแน่หากเสด็จอาเก้าจะเห็นรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของเฟิ่งชิงเฉิน
“ขอบพระทัยเพคะ ท่านอ๋อง แต่ไม่จำเป็น” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มบางๆ ให้ตงหลิงจื่อชิงพร้อมด้วยความห่างเหินที่ลดน้อยลง
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าชิงอ๋องมีจุดประสงค์ในการช่วยเหลือนาง แต่นางชื่นชมความฉลาดของอีกฝ่าย อย่างน้อยอีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจได้ว่าที่พึ่งพิงของนางไม่ใช่เสด็จอาเก้า
ตงหลิงจื่อชิงก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเห็นด้วย สายตาสองคู่ประสานกัน พวกเขาเห็นแววตาที่ไร้ความกลัวของกันและกัน ในใจก็รู้ว่าอีกฝ่ายเหมือนกันตนเอง พวกเขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากนัก เพียงแต่ฐานะของพวกเขาบีบให้ต้องเป็นเช่นนั้นเท่านั้นเอง
ในเวลาเพียงครึ่งเดือน เสด็จอาเก้าก็ผอมลงไปมาก ใบหน้าของเขาซูบเซียว ริมฝีปากซีดขาว เสื้อผ้าค่อนข้างหลวมโพรก ยังดีที่ความมีสง่าราศีของเขาไม่ได้ลดลงไปด้วย
เขาเดินตลอดทางโดยไม่มองที่อื่น ท่าทางไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ยามเดินผ่านตงหลิงจื่อชิงเขากลับชะงักเล็กน้อยและมองเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ตงหลิงจื่อชิงจะสบตากับเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าก็กวาดสายตาผ่านเขาไปจับจ้องที่แผลที่คอของเฟิ่งชิงเฉินอย่างแม่นยำ
นี่เป็นครั้งแรกที่เสด็จอาเก้าเห็นบาดแผลของเฟิ่งชิงเฉิน เขาระงับความอยากที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสไว้และเดินเข้าไปในห้องโถงรับรอง “เข้ามาเถอะ”
ทันทีที่เขานั่งลงแล้ว เขาก็ไอไม่หยุด ขันทีรีบนำชาร้อนมาให้ทันที เมื่อดูถ้วยนั้นแล้ว เสด็จอาเก้าน่าจะเป็นผู้ที่นำมาเอง
เสด็จอาเก้าป่วยจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายและยืนอยู่ที่มุมห้อง
เหล่าองค์ชายเป็นโขยง ไหนเลยจะมีที่สำหรับนาง
เสด็จอาเก้าไออยู่นานจนใบหน้าแดงก่ำจึงจะหยุดไอและชี้ไปที่ด้านข้าง “ชิงเฉิน เจ้าก็นั่งลงเถอะ”
ที่นั่งว่างเพียงแห่งเดียวในห้องโถงก็คือที่นั่งข้างเสด็จอาเก้า “ขอบพระทัยเพคะ ชิงเฉินยืนได้”
“ข้าบอกให้เจ้านั่งลง” เสด็จอาเก้ามองเฟิ่งชิงเฉิน แต่นางก้มศีรษะลงอยู่จึงพลาดสายตาของเสด็จอาเก้าไป
ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธและนั่งลงเคียงข้างเสด็จอาเก้าโดยไม่ได้ใส่ใจแผลบาดเจ็บที่คอของเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสองนั่งด้วยกัน บุรุษน่าเกรงขาม สตรีสง่างาม ดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง
เมื่อมีเสด็จอาเก้านั่งอยู่ด้วย เหล่าองค์ชายจึงไม่กล้าประมาท เสด็จอาเก้าป่วยหนัก พวกเขาไปเยี่ยมไข้ล้วนถูกปฏิเสธ วันนี้ที่ได้พบเสด็จอาเก้านับเป็นโอกาสล้ำค่าหายาก องค์ชายหลายองค์ทำท่าทางใส่ใจเสด็จอาเก้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายการสนทนาก็เปลี่ยนไป พวกเขาสนทนาถึงเรื่องกฎอัยการศึกในเมืองหลวงและการสอบสวนมือสังหารพร้อมทั้งกล่าวเป็นนัยว่าพวกเขาต้องการกลับไปที่เมืองของตนเองและอยากขอร้องให้เสด็จอาเก้าช่วยเหลือ
เสด็จอาเก้าฟังโดยไม่พูดอะไร รอจนองค์ชายหลายองค์พูดจบแล้ว เสด็จอาเก้าก็กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไร พวกเจ้าไปได้แล้ว”
นานๆ ทีเขาจะสามารถหาโอกาสมาที่นี่อย่างเปิดเผย อย่างไรคงไม่ควรจะใช้เวลาไปกับการอยู่กับหลานชายเหล่านี้จนหมด
แม้ว่าจะเป็นเพราะหลานชายเหล่านี้ เขาจึงมีข้ออ้างมาเยือน แต่เมื่อใช้ประโยชน์เสร็จแล้วจะยังเก็บไว้ทำไมอีก
“เสด็จอาเก้า หลานมาเยี่ยมชิงเฉิน เมื่อเห็นบาดแผลบนร่างกายของชิงเฉินแล้ว หลานก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก หญิงสาวให้ความสำคัญกับรูปโฉมเป็นที่สุด มือสังหารผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ ไม่รู้ว่าบาดแผลที่คอของนางเมื่อไหร่จึงจะหายดี หลานกำลังหารือกันอยู่ว่ามียาดีหรือที่จะทำให้ชิงเฉินหายในเร็ววันหรือไม่” ตงหลิงจื่อลั่วรู้ถึงเจตนาของเสด็จอาเก้าแต่ก็ไม่ยอมจากไป เมื่อพูดจบแล้วก็หยิบน้ำชาบนโต๊ะมาค่อยๆ จิบ ชัดเจนว่าเขาจะอยู่ที่จวนเฟิ่งต่อไป
องค์ชายอื่นๆ ไม่ได้รับคำตอบรับจากเสด็จอาเก้าจึงไม่อยากจากไปเช่นกัน ตงหลิงจื่อลั่วหาเรื่อง พวกเขาก็ยินดีที่จะดูละครอยู่ด้านข้าง
ตงหลิงจื่อลั่วเมินเฉยต่อสายตาพิฆาตของเสด็จอาเก้าและจดจ่อกับการดื่มชา เขาดื่มไปขมวดคิ้วไป มิน่าเล่าเสด็จอาเก้าจึงนำชามาเอง ชาในจวนเฟิ่งรสชาติย่ำแย่ยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างเงียบๆ นางเจ็บแผล ไม่ควรพูดมาก…