นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 514 ฉวยโอกาส เข้ามาอาศัยที่เรือนเล็กซีชวีอย่างเปิดเผย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 514 ฉวยโอกาส เข้ามาอาศัยที่เรือนเล็กซีชวีอย่างเปิดเผย
แค่กๆๆ…
เหตุผลของตงหลิงจื่อลั่วดียิ่งนัก แต่เสด็จอาเก้าแยบยลยิ่งกว่า เขาเพียงไอเบาๆ และยกน้ำชาขึ้นจิบคอชุ่มชื้น จากนั้นเสด็จอาเก้าก็ยืนขึ้น สายตากวาดมองจากองค์ชายรองไปถึงองค์ชายเจ็ด องค์ชายแต่ละองค์ล้วนเบนสายตาออกไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงตงหลิงจื่อลั่วเท่านั้นที่ไม่หลบสายตา ดวงตาทั้งสองสบกัน มีแววพิฆาตเลือนรางและแววโทสะกรุ่นพร้อมปะทุ
เฟิ่งชิงเฉินถือยาของตนเองจิบกินทีละน้อยพลางแอบคิดในใจว่าหากใต้เท้าผู้ตรวจการอยู่ อย่างน้อยก็คงไม่มีระเบิด หากนางไม่ได้เป็นนางเอกก็คงจะหัวเราะดังๆ ออกมาแล้ว
นี่มันน้ำเน่าถึงขนาดอาหลานแย่งหญิงงามเชียวหรือ แม้ว่าสิ่งที่ทั้งกำลังแย่งกันอยู่จะไม่ใช่สาวงามแต่เป็นอำนาจก็ตาม
แม้ว่าเสือร้ายจะป่วย แต่เสือร้ายก็คือเสือร้าย ผ่านไปไม่นานหน้าผากของตงหลิงจื่อลั่วก็มีเหงื่อผุดพราย ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น เขาไม่ยอมก้มหัวลงอย่างดื้อรั้น
เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นดังนั้น เขาก็เก็บสายตากลับมาด้วยความพึงพอใจและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เฟิ่งชิงเฉินเบ้ปาก รังแกหลานชายของตนเองแล้วยังจะภูมิใจอีก
เสด็จอาเก้าไม่ได้นั่งลง เขาปัดรอยยับบนแขนเสื้อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จื่อลัว อาชื่นชมน้ำใจของเจ้า แต่ที่จื่อลั่วเตือนก็คืออาการบาดเจ็บของชิงเฉินจะรอช้าไม่ได้ อาเชิญปรมาจารย์แห่งหุบเขาเสินอีมาด้วย เดิมต้องการให้เขารักษาข้าจึงให้แวะมาดูอาการบาดเจ็บของชิงเฉินด้วย เจ้าพูดเช่นนี้ทำให้ข้านึกขึ้นได้ ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ตั้งแต่บัดนี้ข้าจะพักที่จวนเฟิ่งเพื่อให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาเสินอีรักษาได้สะดวก”
“อะไรนะ? โอ๊ย…” เฟิ่งชิงเฉินเด้งตัวขึ้น จากนั้นใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด นางรีบกุมบาดแผลทันที
เจ็บแทบแย่
เสด็จอาเก้า ท่านร้ายกาจยิ่ง
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินพร่ามัว นางจ้องไปที่เสด็จอาเก้าด้วยความโกรธ
“ท่านอาจารย์” ซุนซือสิงผู้ซึ่งให้ความสนใจเฟิ่งชิงเฉินมาตลอด ตามหลักแล้วบาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ควรแกะผ้าพันแผลออก วันนี้นางจงใจเปิดให้เห็นบาดแผลเพื่อทำให้ผู้คนตกใจกลัวและให้พวกเขารู้ว่านางเสียโฉมไปเสียแล้ว
แต่มีคนผู้หนึ่งที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าซุนซือสิง ในยามที่เฟิ่งชิงเฉินกระโดดขึ้นมา เสด็จอาเก้าก็หันหลังกลับไปโอบเอวของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ “ปล่อย ให้ข้าดูหน่อย”
อยู่ๆ ก็มีมือใหญ่วางอยู่บนเอวนาง ร่างของเฟิ่งชิงเฉินแข็งทื่อ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินซุนซือสิงร้องเสียงดัง “อาจารย์ แผลเปิดแล้ว เร็วเข้า พยุงท่านอาจารย์กลับห้อง ถ้ามันอักเสบต้องแย่แน่”
ซุนซือสิงพูดอย่างเร่งรีบ เขาคิดจะเอื้อมมือไปคว้าตัวเฟิ่งชิงเฉินกลับมา แต่เสด็จอาเก้าไม่ให้โอกาสเขาเลย เขาแอบผลักซุนซือสิงออกไป ค้อมตัวลงอุ้มเฟิ่งชิงเฉินแล้วก้าวออกไป
“หลานๆ ทั้งหลาย วันนี้ข้าคงอยู่ต้อนรับพวกเจ้าไม่ได้อีก ตามสบายเถิด” ที่หน้าประตูใหญ่ เสด็จอาเก้าก็ยังไม่ลืมที่จะไล่คน เมื่อเขาเดินไปที่มุมเลี้ยว เมื่อเห็นว่าซุนซือสิงยังไม่ได้ตามมา เขาจึงตวาดขึ้นอย่างฉุนเฉียว “ซุนซือสิง ยืนอึ้งอยู่ได้ ยังไม่รีบมาอีก”
“โอ้ มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซุนซือสิงวิ่งตามมา เมื่อเห็นว่าเสด็จอาเก้าหาห้องของเฟิ่งชิงเฉินพบอย่างคุ้นเคย ซุนซือสิงก็ถูกแผดเผาไปด้วยความโกรธ
เสด็จอาเก้าสารเลว เขาต้องไม่ได้มาห้องส่วนตัวของอาจารย์เป็นครั้งแรกแน่
นอกห้องโถง เหล่าองค์ชายมองหน้ากัน “นี่มันอะไรกัน?”
จะมีอะไรเสียอีกเล่า ไม่ใช่ว่าพวกเขาโดนเสด็จอาเก้าหลอกใช้หรอกหรือ ตงหลิงจื่อชิงลุกขึ้นและตบไหล่ของตงหลิงจื่อลั่ว “น้องชาย ตัดใจเสียเถอะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย”
พูดจบแล้วก็เดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“เฮ้อ… ไม่รู้ว่าจะกลับเมืองได้เมื่อไหร่ จื่อลั่ว เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก แต่เมื่อดูจากท่าทางของเสด็จอาเก้าแล้ว เขาดูเหมือนว่าจะไม่ใส่ใจผลที่คอของเฟิ่งชิงเฉินเลย” องค์ชายรองตบไหล่ตงหลิงจื่อลั่วเป็นการบอกให้เขาได้สติ
พวกเขาทั้งหกรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสด็จอาเก้า
ไม่สิ พวกเขาตกหลุมพรางอย่างง่ายดายและเป็นเหยื่อล่อให้แกเสด็จอาเก้า ทำให้เขาสามารถมาที่จวนของเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างเปิดเผย อีกทั้งยังทำให้เขามีโอกาสเข้าพักให้จวนเฟิ่ง
ต้องบอกว่าเสด็จอาเก้าหน้าด้านและใจดำเป็นอย่างยิ่ง คงไม่มีใครเป็นเช่นนี้ได้อีก
ด้วยเหตุผลที่ว่าจะทำให้หมอเทวดาแห่งหุบเขาเสินอีสะดวกในการรักษา เขาไม่คำนึงถึงการคัดค้านของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าเข้ามาพักอาศัยที่จวนเฟิ่งชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งชิงเฉินจัดการ เขาเลือกห้องว่างเพียงห้องเดียวที่อยู่ตรงข้ามห้องของชุยห้าวถิงพอดี
ตอนนี้ผู้พักอาศัยในเรือนเล็กซีชวีหากไม่ใช่ผู้ป่วยก็คือหมอ อีกทั้งโรคก็ยังเป็นโรคประหลาด ทำให้หมอเทวดาดีใจเสียแทบแย่ เขาที่เป็นหมอที่มีความลุ่มหลงในวิชาแพทย์ สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นยินดีที่สุดก็คือโรคภัยไข้เจ็บที่แปลกประหลาด
หมอเทวดามีกฎอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือหากไม่ใช่โรคประหลาดที่รักษาไม่หายเขาจะไม่รักษา โรคที่หมอคนอื่นสามารถรักษาได้เขาจะไม่รับรักษา
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ในสายตาของนางแล้ว เมื่อผู้ป่วยมาหาหมอ หมอก็ควรจะรักษา แต่นางก็ไม่ได้คิดว่าหมอเทวดานั้นผิด นางเป็นหมอและเห็นว่าหมอเป็นอาชีพ หมอเทวดาคล้ายนักวิจัยทางการแพทย์ที่มีเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคือการใฝ่หาฝีมือแพทย์ที่สูงขึ้น
ทั้งสองมีค่านิยมและทัศนคติต่างกัน แน่นอนว่าทางเลือกของพวกเขาย่อมต่างกันด้วย
อาการป่วยของเสด็จอาเก้ารักษาง่ายเนื่องจากเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป หมอเทวดาจึงมอบหน้าที่นี้ให้ซุนซือสิงโดยตรง เขาสนใจเพียงแผลบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินและโรคของชุยห้าวถิงเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินและหมอเทวดารู้จักกันมาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพบกันอีกครั้งจึงไม่รู้สึกแปลกหน้า หมอเทวดาสนใจเทคนิคการเย็บหลอดเลือดของเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนเฟิ่งชิงเฉินนั้นก็ต้องการให้หมอเทวดาช่วยนางกำจัดรอยแผลเป็นที่คอของนางออกไป
การเป็นผู้หญิงไม่มีใครที่ไม่รักสวยรักงาม เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากมีรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดไว้ที่คอของนางแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าและผู้เยาว์ล้วนบรรลุข้อตกลงระหว่างกัน พวกเขาเข้ากันได้ดี หมอเทวดาเป็นผู้รอบรู้ เขาไม่เพียงแต่ยอมรับการรักษาแบบใหม่ของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น แต่เขายังสามารถรู้จักพลิกแพลง ด้วยเรื่องดวงตาของหวังจิ่นหลิง หมอเทวดาได้ทุ่มเทศึกษาไปไม่น้อยจึงได้ความรู้อยู่บ้าง
“ในทางทฤษฎีแล้ว มันเป็นไปได้ที่ส่วนไหนเสียก็จะเปลี่ยนส่วนนั้น อย่างเช่นขาขององค์ชายซีหลิงใช้ไม่ได้แล้วก็เอาขาที่แข็งแรงของผู้อื่นมาเปลี่ยน หากแผลหายก็จะสามารถเดินได้อย่างแน่นอน” เสด็จอาเก้าใช้อาการบาดเจ็บที่ขาของซีหลิงเทียนอวี่ดึงดูดหมอเทวดาให้มาที่นี่
เมื่อหมอเทวดาเห็นอวัยวะเทียมที่เฟิ่งชิงเฉินใส่ให้ซีหลิงเทียนอวี่แล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและอยากจะตัดมันออกมาเพื่อศึกษาดูอีกครั้ง จากนั้นจึงถามเฟิ่งชิงเฉินว่านางยังมีมันอยู่อีกหรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าอวัยวะเทียมจะสร้างปัญหาได้ นางบอกว่านี่เป็นขาเทียมเพียงคู่เดียวที่อาจารย์ของนางทิ้งไว้ให้นาง
หมอเทวดาคันที่หัวใจยุบยิบ แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไม่มีแล้วเขาจะทำอะไรได้ หากถามอีกเฟิ่งชิงเฉินก็บอกว่าอาจารย์ได้เสียชีวิตไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าราวกับนกจิกธัญพืช “ในทางทฤษฎีเป็นเช่นนี้ไม่ผิดเลย แต่ในทางปฏิบัตินั้นจะทำได้อย่างไร? ด้วยวิธีการของท่าน เพื่อรักษาซีหลิงเทียนอวี่แล้ว ท่านต้องตัดขาจากคนสุขภาพดีอีกคนหนึ่ง เช่นนั้นจะไม่ทำให้อีกคนพิการหรือ อย่างนี้แล้วรักษากับไม่รักษาจะแตกต่างกันอย่างไร”
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างแพทย์กับคนบ้าวิจัย เฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นคนจริง มือของนางเปื้อนเลือดมามาก แต่นางจะไม่ใช้วิธีพังกำแพงตะวันออกมาซ่อมแซมกำแพงตะวันตกเพื่อช่วยผู้คนแน่
หากช่วยคนหนึ่งแล้วต้องทำลายชีวิตอีกคนหนึ่ง เช่นนี้มิสู้ไม่ช่วยเสียเลยจะดีกว่า
นางจะทำผิดพลาดแบบเดิมไม่ได้อีก ถ้านางทำเช่นนั้นอีก เกรงว่านางคงจะจับมีดผ่าตัดไม่ได้อีกแล้ว…