นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 521 อบอุ่น มื้ออาหารสุดท้ายในเรือนเล็ก
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 521 อบอุ่น มื้ออาหารสุดท้ายในเรือนเล็ก
“เฟิ่งชิงเฉิน การที่ข้าจากไป เจ้าดีใจมากหรือ”
แน่นอนว่านางดีใจมาก แต่เมื่อเห็นท่าทางของเสด็จอาเก้าที่ดูโมโหเสียจนขนลุกชี้ฟู เฟิ่งชิงเฉินจะกล้ากล่าวได้อย่างไร หากเสด็จอาเก้าเปลี่ยนใจด้วยเรื่องนี้ แล้วยืนกรานจะอยู่ต่อก็คงยุ่งยาก
“เสด็จอาเก้า ที่เรือนเล็กฝั่งตะวันตกนั้นข้าคงไม่อาจอยู่ต่อได้อีกเป็นเวลานาน ไม่กี่วันเมื่อจวนเฟิ่งสร้างเสร็จแล้วข้าก็จะย้ายไป” ความหมายนั่นก็คือ เราทั้งสองจะเดินไปด้วยกัน อย่าได้กังวลใจไป
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวดังนั้น เสด็จอาเก้าก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ในเมื่อการจากไปไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ดังนั้นก่อนที่จะจาก ก็ควรจะหาที่ปลอบโยนใจเล็กน้อย เสด็จอาเก้ายกมือขวาที่เปื้อนเลือดส่ายไปมา “มือของข้าได้รับบาดเจ็บ ช่วยทำแผลให้ข้าหน่อย ข้าจะพักผ่อนคือหนึ่งที่นี่ และจะเดินทางจากไปในวันพรุ่งนี้เช้า นี่ไม่ใช่คำขอที่มากเกินไปใช่หรือไม่”
คำสุดท้ายเขาตั้งใจลากเสียงยาวออกมา แม้จะดูเป็นคำถามแต่ก็ไม่เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธเลย
เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น ก็ไม่ได้มากเกินเหตุผล และเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ทำให้เรื่องราวเช่นนี้ ส่งผลจนกระทั่งเสด็จอาเก้าต้องรู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าอย่างไร นางและเสด็จอาเก้าก็มีความสัมพันธ์ร่วมมือกัน หากทำให้เสด็จอาเก้าโมโหคงจะไม่ใช่เรื่องดี
เฟิ่งชิงเฉินเชิญเสด็จอาเก้าไปที่ห้องหนังสือ นางทำความสะอาดแผลให้เสด็จอาเก้า และเสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้คัดค้าน ตอนที่เดินทางจากไป เสด็จอาเก้าชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย เขาเหลือบตาไปมองสายลับที่ซ่อนตัวแล้วส่งสัญญาณมือ เป็นความหมายว่าก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดลง จงจัดการกับคนในเรือเล็กฝั่งตะวันตกให้สิ้น ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ใด ต่อให้ใช้ยาสลบ ทำให้ทุกคนสลบไสลไปก็ไม่เป็นไร เขาไม่อยากจะเห็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายแม้แต่คนเดียวอยู่ในเรือนเล็กฝั่งตะวันตก เพราะจะทำให้เรื่องของเขาต้องสะดุดลง
ไม่ว่าอย่างไรหลังจากคืนนี้ไปแล้วเขาก็จำเป็นต้องกลับจวนอ๋องเก้า แม้จะใช้วิธีการรุนแรงไปสักหน่อยก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอันใดกับเขา
สายลับพยักหน้าด้วยสีหน้าอันไร้ความรู้สึก หลังจากที่เสด็จอาเก้าเดินทางจากไปแล้ว สายลับก็ได้แต่เขย่าต้นไม้ขึ้นด้วยความสิ้นหวัง
นายท่าน……มิใช่ว่าท่านไม่รู้ที่เรือนเล็กฝั่งตะวันตกผู้ใดอาศัยอยู่กันบ้างเล่า ฮือๆ คนอื่นยังไม่เท่าไหร่ แต่หัวหน้าหุบเขาหมอเทวดาและชุยห้าวถิงจะทำอย่างไรเล่า ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา และยังมี ยังมี……องครักษ์จากจวนเซียวชินอ๋อง จะให้จัดการพวกเขาอย่างไรเล่า
สายลับเอาศีรษะกระแทกกับกำแพงอย่างแรง เขาอยากตายยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แต่แผลที่แขนข้างขวาของเสด็จอาเก้าแม้จะดูไม่ร้ายแรง ทว่าตอนทำความสะอาดก็ใช้เวลานานมากทีเดียว เนื่องจากนิ้วมือที่ค่อนข้างพรุน มีเศษไม้อยู่ด้านในจำนวนมาก เฟิ่งชิงเฉินต้องใช้แหนบเล็กที่สุดในการดึงออก แต่ก็ไม่อาจนำเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้นออกมาได้ นางจึงทำได้เพียงใช้เข็มบ้างบางค่อยๆ บ่งออกทีละน้อย
บรรยากาศที่พลางทำความสะอาดแผลให้เสด็จอาเก้าและทำท่าทางสงสารเหล่านั้น อย่าคิดว่าจะมีภาพเหล่านั้นขึ้นเลย หรือการที่รู้สึกปวดใจกับความทุกข์ทรมานของเสด็จอาเก้าก็อย่าได้หวัง เฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอ อีกทั้งนางเป็นหมอสนาม มีบาดแผลอย่างไรบ้างที่นางไม่เคยเจอมาก่อน บาดแผลของเสด็จอาเก้าเช่นนี้เป็นเพียงแค่บาดแผลเล็กๆ ในยุคสมัยที่ขาดแคลนเครื่องมือด้านเวชภัณฑ์ บาดแผลเช่นนี้ไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องพันห่อด้วยซ้ำ นางใช้น้ำล้างสะอาดแล้วก็โรยขี้เถ้าเพื่อหยุดเลือดเป็นพอ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย ว่าจะทำให้เสด็จอาเก้าเจ็บปวดหรือไม่ ควรทำอย่างไรนางก็ทำอย่างนั้น นางใช้เวลาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงได้จัดการทำความสะอาดเศษไม้จนสิ้น เฟิ่งชิงเฉินใส่ยาให้แก่เสด็จอาเก้า จากนั้นพันผ้าก๊อซปิดแผลอยู่สิบกว่าชั้น
“ช่วงนี้อย่าทำให้บาดแผลต้องถูกน้ำ” นี่คือคำเตือนตามปกติทั่วไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นห่วงเป็นใยแม้แต่น้อย
“กี่วันจึงจะหาย” เสด็จอาเก้ายกมืออันเหมือนซาลาเปานึ่งของเขาขึ้นมา เนื่องจากขายแขนข้างขวาที่ได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้หลายๆ อย่างดำเนินการไม่สะดวกนัก แน่นอนว่าบัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกอดเฟิ่งชิงเฉินใดไม่สะดวก
“ประมาณสามสี่วันก็คงดี และสามารถเอาผ้าพันแผลออกได้” อาการบาดแผลของเสด็จอาเก้าเป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก ไม่ได้ลึกลงไปถึงกระดูก แต่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินมองไปทางเสด็จอาเกาแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงได้แกล้งพันผ้าให้เขาหนาราวกับซาลาเปา หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าเสด็จอาก้าวไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ คาดว่านางคงอยากจะพันเข้าให้หนากว่าเดิม แล้ววาดรูปหมูลงไปสักสองสามตัวบนนั้น อยากจะเห็นเสียจริงว่าเขายังทำท่าทางหยิ่งผยองอย่างไรได้อีก
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฟิ่งชิงเฉินทำท่าทีจริงจัง เสด็จอาเก้าคิดไม่ถึงเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะแกล้งเขาดังนั้น เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากทำเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วมองดูเฟิ่งชิงเฉินทำความสะอาดถาดยา
เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะจัดของเสร็จแล้วกำลังจะหันไปเอ่ยเตือน เสด็จอาเก้าว่าควรจากไปแล้ว ชุนฮุ่ยก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง คุณหนู ถึงเวลาหารแล้วเพคะ”
“ร่วมมื้ออาหารเป็นเพื่อนข้าเถิด” เสด็จอาเก้าใช้โอกาสนี้รีบกล่าวขึ้น เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินดูไม่มีความสุขมากนัก เสด็จอาเก้าจึงได้เอ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “นี่คืออาหารมื้อสุดท้ายที่ข้าจะกินที่นี่ ทำไมหรือ ชิงเฉิน ไม่อยากจะร่วมรับประทานมื้อสุดท้ายกับข้า”
เขาจงใจเน้นประโยคนี้ เสด็จอาเก้ากำลังข่มขู่เฟิ่งชิงเฉิน หากไม่ไปรับประทานอาหารกับเขาเขาก็จะไม่จากไป
เสด็จอาเก้า ท่านชนะแล้ว
“เพคะ เชิญเสด็จอาเก้าก่อนเถิด ข้าจะไปล้างมือ” เพื่อเป็นการขับไล่เสด็จอาเก้าออกไป เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อยากจะไปสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้กับเสด็จอาเก้าอีก จะว่าไปการที่รับประทานอาหารด้วยกันนางก็ไม่ได้ว่าจะรังเกียจหนักหนา
เสด็จอาเก้าเป็นใครกัน เขาไม่เพียงแต่รู้วิธีการคว้าโอกาส อีกทั้งยังสร้างโอกาสเก่งอีกด้วย ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในห้องอาหาร ก็พบว่าทางด้านในและด้านนอกไม่มีคนอยู่เลย มีเพียงเสด็จอาเก้าคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่
ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้คิดมาก และยึดถือคติที่ว่าไม่เอ่ยวาจาตอนรับประทานอาหาร เฟิ่งชิงเฉินหยิบจานข้าวขึ้นมา แล้วลงมือรับประทาน แต่ในขณะนั้นนางก็ดูเหมือนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไป ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะส่งเสียงเช้งๆ ออกมาตลอดเวลา อีกทั้งอาหารก็กระเด็นออกมาจากปากเป็นระยะๆ
มารยาทบนโต๊ะอาหารของเสด็จอาเก้าแย่เช่นนี้เชียวหรือ
เฟิ่งชิงเฉิน วางชามลงอย่างเงียบๆ แล้วเงยหน้าขึ้น……
นางพบว่าเสด็จอาเก้าจากปากของตี๋ตงหมิงผู้ที่มีเกียรติสูงสุดในใต้หล้า บัดนี้ไม่มีรูปลักษณ์อันสง่างามหลงเหลือแม้แต่น้อย กลับใช้มือกินข้าวด้วยความไม่งาม
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขากินไปได้มากเท่าไหร่ เพียงแค่เห็นอาหารซึ่งอยู่บนโต๊ะกระจัดกระจายอีกทั้งอาหารและน้ำแกงที่เปื้อนไปตามร่างกาย ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า มือซ้ายของเสด็จอาเก้าใช้ได้อย่างไม่ถนัดนัก
แม้ว่ามองไปจะดูน่าสงสาร แต่เหมือนเสด็จอาเก้าจะไม่ได้สังเกตเห็น เขายังคงสงบนิ่งแล้วใช้มือซ้ายกินอาหารอย่างทุลักทุเลต่อไป เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจทนดูต่อไปไหว นางจึงวางถ้วยและตะเกียบลงกล่าวว่า “เสด็จอาเก้า ข้าให้บ่าวรับใช้มารับใช้ท่านดีหรือไม่” หมายความว่าให้คนมาป้อนอาหาร
“ไม่จำเป็น” เสด็จอาเก้าหยิบอาหารขึ้นมาจากในชาม ขณะที่เขากำลังจะใส่มันเข้าไปในป่า ก็พบว่ามือสั่นและทำให้อาหารตกลงไปบนเสื้อผ้า เสด็จอาเก้าปัดอาหารออกจากเสื้อผ้านั้นด้วยท่าทางอันใจเย็น แล้วคีบอาหารขึ้นมาใหม่
หากว่ามือขวาของเสด็จอาเก้าพิการไปละก็ คงจะเป็นประวัติศาสตร์ของผู้ต่อสู้ชีวิตอันน่าประทับใจ เฟิ่งชิงเฉินคงไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ แต่นี่เสด็จอาเก้าเพียงแค่ไม่อาจใช้มือขวาได้ชั่วคราว เขาต้องการทำให้อาหารเหล่านี้ ต้องสูญเสียไปเปล่าๆ หรืออย่างไร
“ข้าจะให้คนมาเปลี่ยนช้อนให้ท่าน” แม้เสด็จอาเก้าจะไม่รู้สึกอึดอัดใจ แต่นางผู้มองดูรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก นางทานอาหารหมดไปหนึ่งชามแล้ว แต่ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะกินเข้าไปในปากได้เพียงแค่คำๆ เดียว แค่กๆ นางเห็นที่บริเวณมุมปากของเสด็จอาเก้ามีข้าวติดอยู่เม็ดหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกขบขันยิ่งนัก
“ไม่จำเป็น” ในครั้งนี้เสด็จอาเก้ากัดฟันเล็กน้อย
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี เสด็จอาเกาคงไม่ต้องการให้ใครได้มาเห็นท่าทางอันน่าสมเพชเช่นนี้ของเขา และไม่อยากทำให้ตนเองต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าคนอื่น เพียงแต่ว่า……เสด็จอาเก้าในท่าทางเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทานอาหารได้อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารของนาง
เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจโน้มน้าวเสด็จอาเก้าได้ ดังนั้นนางจึงหยิบชามและตะเกียบขึ้นมารับประทานอาหารต่อไป แต่ว่า……ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะสร้างเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน โครม! เสียงดังขึ้น จากนั้นชามอาหารของเสด็จอาเก้าก็หล่นลงไปทันที
โชคดีเหลือเกินที่เฟิ่งชิงเฉินปฏิกิริยาค่อนข้างวางไว้ แล้วนางรีบเข้าไปคว้าชามอาหารของเสด็จอาเก้าเอาไว้ แต่กระนั้นก็ทำให้อาหารภายในจานหกกระเด็นลงสู่พื้นเต็มไปหมด เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดูเสด็จอาเก้าด้วยท่าทางลังเล นางพยายามระงับอารมณ์ให้ปกติและทำเหมือนไม่เกิดเรื่องใดขึ้น แท้จริงในใจของนางได้แต่แอบขำ
เสด็จอาเก้านึกอยู่ในใจ ดวงตาของเจ้ามองข้าอย่างทุลักทุเล แต่ข้าไม่ได้รู้สึกทุลักทุเลเลย ก็เพียงแค่ทำถ้วยอาหารตกไม่ใช่หรือ อย่างมากต่อให้มันแตก ข้าก็ชดใช้เจ้าได้……