นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 522 ปีนกำแพง บุ่มบ่ามหลังเมามาย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 522 ปีนกำแพง บุ่มบ่ามหลังเมามาย
เรื่องตลกของเสด็จอาเก้าเพียงมองผ่านชั่วครู่ก็พอแล้ว หากว่าจะทนดูต่อไปเกรงว่าจะทำให้เสด็จอาเก้าโมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่านางอาจจะกลายเป็นตี๋ตงหมิงคนที่สองก็ย่อมได้
“แค่กๆ เสด็จอาเก้า ให้ข้าป้อนเอาหรือไม่” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ
“อืม” เสด็จอาเก้าโยนตะเกียบในมือลงแล้วยืดตัวตรง เขารอประโยคนี้ของเฟิ่งชิงเฉินมาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อประโยคนี้ เขาแสร้งทำเป็นกินข้าวอย่างทุลักทุเล และหกร่วงลงไปเต็มร่างกายเลอะเสื้อผ้าทั้งชุด อีกทั้งยังเสียชามข้าวไปหนึ่งใบ แต่ก็คุ้มค่ายิ่งนัก
อะแฮ่ม……มีคนเสแสร้งแกล้งทำเป็นโง่และแกล้งทำเป็นคนดี นางรีบหันหลังไปยิ้มเพื่อไม่ให้เสด็จอาเก้าเห็น และนางก็ไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ามองร่างของนางแล้วก็กำลังยิ้มขึ้นเช่นกัน
มือซ้ายและมือขวาของเขาใช้ได้ถนัดพอๆกัน แม้ว่ามือซ้ายของเขาอาจจะดูไม่คล่องแคล่วมากเท่ากับมือขวา แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เพียงนั้น คงไม่ทำให้ตนเองต้องดูน่าสมเพชแบบนี้ เฟิ่งชิงเฉิน ต้องการเห็นเขาเล่นตลกหรืออย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้หรอกหรือว่าหากเห็นเขาเป็นตัวตลกแล้ว อาจจะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นไร
เมื่อมีหญิงงามคอยป้อนอาหารให้ เสด็จอาเก้าก็กินข้าวไปสามชามใหญ่อย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เขาอิ่มเสียชนพุงกาง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เสด็จอาเก้าก็ได้เดินเล่นกับเฟิ่งชิงเฉินอยู่พักหนึ่งเพื่อให้ย่อยอาหาร เนื่องจากเสื้อผ้าของเสด็จอาเก้าถูกเปื้อนไปด้วยน้ำมัน ทั้งสองคนจึงเดินไปมาอยู่ที่ลาน แม้จะไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนถูกอบอุ่นยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วให้เดินประมาณหนึ่งร้อยเก้าก็พอ เขาคงอยากจะเดินต่อไปกับเฟิ่งชิงเฉินจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง……
แค่กๆ หลังจากที่ท้องฟ้ามืดลงแล้วสามารถทำเรื่องที่สำคัญและใกล้ชิดสนิทสนมกว่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการเดินเช่นนี้
เมื่อเดินเล่นเสร็จแล้ว เสด็จอาเก้าจึงได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็ได้วางแผนจัดการเรื่องราวในจวนอ๋องเก้า วันพรุ่งนี้ ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่แต่เขาก็ต้องกลับไปที่จวนอ๋องเก้าอยู่ดี
เฟิ่งชิงเฉินกลับไปยังห้องของตน นางต้องการจะไปดูอาการเจ็บป่วยของชุนห้าวถิงและคิดหาวิธีการรักษา แน่นอนว่า วิธีการรักษาเหล่านั้นท้ายที่สุดแล้วก็ต้องทำการเจรจาสนทนากับชุนห้าวถิงเพื่อให้เขาตกลงเห็นด้วย
ส่วนเรื่องการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย นั่นไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเลย นั่นเป็นเพียงความวุ่นวายที่นางควรจะแก้ไขให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ภายในห้องตลอดเวลา นางไม่ทันได้สังเกตว่าภายในลานบ้านของนางเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
หัวหน้าหุบเขาหมอเทวดาได้ถูกคนของซีหลิงเทียนอวี่เชิญตัวไป กล่าวว่าซีหลิงเทียนอวี่สามารถก้าวขาเดินได้แล้ว และเอ่ยถามหัวหน้าหุบเขาหมอเทวดาว่าจะเดินทางไปดูขาเทียมหรือไม่
เรื่องราวเช่นนี้ หัวหน้าหุบเขาหมอเทวดาจะพลาดไปได้อย่างไร เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยกับผู้ใดก็ได้วิ่งไปเสียแล้ว
ซุนซือสิงจัดการได้ง่าย เพียงแค่คนจากจวนซุนเดินทางมา กล่าวว่าจวนด้านข้างของในจวนซุนล้มลง จึงสามารถหลอกล่อซุนซือสิงไปได้ ส่วนด้านทงอีและทงเหยา ถูกเสด็จอาเก้าใช้ให้ออกไปนอกเมือง
ขณะที่ทงอีและทงเหยาเดินทางกลับมาในตอนกลางคืน ได้พบเข้ากับขบวนก่อความไม่สงบและปิดประตูเมืองทำให้เข้ามาไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจแก้ไขได้เลย จนทำให้สตรีทั้งสองแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความกังวลใจ โชคดีที่พวกนางคิดขึ้นได้ว่าในจวนยังมีซุนซือสิงและชุนฮุ่ย จึงทำให้พวกนางวางใจลงเล็กน้อย
คนที่จัดการได้ยากที่สุดก็คือชุนห้าวถิง แต่ก็หาเหตุผลจนได้ นั่นก็คือ ท่านหยวนซีให้มาเชิญ
ส่วนองครักษ์ของตี๋ตงหลิง สายลับก็ได้วางแผนจัดการเช่นกัน นั่นก็คือเดินทางไปหานายท่านของพวกเขา ฉุยซื่อจื่อ แล้วส่งต่อคำของเสด็จอาเก้าว่า องครักษ์เหล่านี้ทำงานไม่ได้เรื่อง ให้เขานำกลับไปที่จวนเพื่อฝึกซ้อมใหม่ หลังฝึกซ้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่อยส่งกลับมา ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะกำชับกับตี๋ตงหมิงว่าจงใช้การฝึกฝนที่โหดเหี้ยมที่สุดในการฝึกพวกเขา
หากเป็นตามปกติแล้วตี๋ตงหมิงคงจะไม่เชื่อ แม้ว่าเขาจะเชื่อก็คงต้องเดินทางไปหาเสด็จอาเก้าเพื่อสนทนา เรื่องที่ว่าองครักษ์ของเซียวชินอ๋องเกี่ยวข้องอันใดกับเขา หากรู้สึกว่าดีไม่พอก็จงส่งคนไปคุ้มกันเฟิ่งชิงเฉินเสียเองเถิด
แต่ในวันนี้แตกต่างกันไป เมื่อตอนกลางวันเขาเพิ่งจะทำให้เสด็จอาเก้าขุ่นเคืองใจ ดังนั้นเมื่อพบว่าเสด็จอาเก้ากำลังหาเรื่องเขาอยู่ เขาจึงทำได้เพียงยอมรับอย่างเงียบๆ แล้วพาทหารกลับไปยังจวนเพื่อทำการฝึกซ้อมอย่างหนัก
“อ๊ากๆ” องครักษ์ในจวนเซียวชินอ๋องส่งเสียงร้องออกมาอย่างขมขื่น สายลับได้แต่แอบยิ้มขึ้นในที่มืดมิด การแก้แค้นส่วนตัวเช่นนี้ช่างสาสมจริงๆ
หึๆ……ในตอนนั้นที่คุณหนูเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ พวกเขาล้วนต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผลเป็นอย่างไรเล่า มีเพียงสายลับเท่านั้นที่ถูกลงโทษ ส่วนพวกเหล่านี้เพียงถูกตำหนิไม่กี่คำ จะให้พวกเขารู้สึกถึงความยุติธรรมได้อย่างไร ในครั้งนี้ที่สุดแล้วก็สามารถหาโอกาสในการระบายความโกรธออกมาได้
บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้นได้ถูก กำจัดเสียจนสิ้น จึงทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก ประกอบกับตอนที่ร่วมรับประทานอาหารค่ำ เฟิ่งชิงเฉินทำการป้อนอาหารให้เขาด้วยตนเอง เสด็จอาเก้าจึงรู้สึกดีใจและรับประทานอาหารเข้าไปมากกว่าปกติอยู่ถึงหนึ่งถ้วย
โบราณว่ากินอิ่มแล้วจึงจะอบอุ่น และโบราณก็กล่าวอีกว่าเมื่อเมามาแล้วจึงจะกล้าหาญ ประการแรกเสด็จอาเก้าทำได้แล้ว และประการหลังเขากำลังพยายาม……
เมื่อเวลาดำเนินมาถึงเวลานอนของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าพร้อมกับมือข้างขวาเหมือนซาลาเปาของเขา เดินมาหยุดอยู่ที่ปากประตูห้องของเฟิ่งชิงเฉิน เขาให้สัญญาณต่อสายลับ สั่งให้พวกเขาทั้งหลายหยุดพักผ่อนในวันนี้ จะไปไหนก็ไปไกลๆ
เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกัน ใบไม้ร่วงลงมาจากกิ่งก้านสองสามใบแล้วตกลงสู่พื้นดิน เสด็จอาเก้าก็ผลักประตูตรงเข้าไปด้านใน
เฟิ่งชิงเฉินปล่อยผมของนางออก เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็สะดุ้งโหยง แล้วรีบลุกขึ้น ผมสีดำสลวยของนางเริงระบำปลิวไสวไปตามสายลม เกิดเป็นภาพอันงดงามขึ้นท่ามกลางอากาศ ดวงตาของนางกลมโตสื่อถือความหวาดกลัวเล็กน้อยและตกตะลึง เสื้อผ้าสีพื้นธรรมดา ประกอบกับผมเผ้าที่สยายออก เทียบกับเมื่อตอนกลางวันแล้วช่างสง่างามและมีเสน่ห์กว่า
ที่ว่ามองดูหญิงงามใต้โคมไฟช่างงดงามยิ่งกว่าเป็นจริง เสด็จอาเก้าจ้องมองนางด้วยความเหม่อลอย ในใจของเขารู้สึกคันยุบยิบ หากจะให้หมาป่าที่เคยกินเนื้อหันกลับไปกินหญ้า มันจะยอมหรือ?
เขาเป็นชายหนุ่มปกติทั่วไปและมีความต้องการเป็นพิเศษ เป็นเวลาถึงสองเดือนแล้วนับจากครั้งสุดท้ายหลังจากค่ำคืนแห่งความสุขผ่านพ้นไป เวลาสองเดือนมานี้เขาจำเป็นต้องจัดการมันด้วยตัวเอง หากไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินมีบาดแผลล่ะก็เขาคงจะปีนขึ้นไปบนเตียงนางตั้งนานแล้ว
มีเนื้อให้กินยังจะกินหญ้าอีกหรือ?
“เสด็จอาเก้า มีธุระอันใด” เฟิ่งชิงเฉินจ้องไปที่เสด็จอาเก้าเบิกตากว้างด้วยความโมโห นางเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมมารวบผมขึ้นไป แต่คิดไม่ถึงว่าในสายตาของเสด็จอาเก้ามีความโมโหเล็กน้อย และมีความต้องการปนอยู่ด้วย เขาไม่ค่อยพอใจนัก……เสด็จอาเก้าหูแดงเรื่อ เขายืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาอันร้อนแรงคู่นั้นสายตาจับจ้องไปยังเตียงที่อยู่ด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉิน เขาอยากจะเข้าไปผลักนางล้มลงบนเตียง แล้วทำอย่างนั้นอย่างนี้……
“เสด็จอาเก้าเพคะ?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยเตือนขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง เสด็จอาเก้าจึงได้สติกลับคืนมา คนทั่วไปแล้วก็คงจะรู้สึกเขินอายหรือไม่อาจละสายตาของตนกลับมา เสร็จอาเก้าไม่ได้ทำดังนั้น เขาพยายามเก็บซ่อนความคิดของตนไว้อย่างดีแล้วยกมือขวาขึ้น “มือของข้าโดนน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจขึ้น จะช่วยดูให้ข้าหน่อย”
อย่างไรก็ตาม เขาเดินตรงเข้ามาโดยไม่ลืมเปิดประตูเอาไว้……เขาเพียงต้องการบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่าที่เขาเดินตรงเข้ามาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เพียงแค่ต้องการให้นางพันแผลให้ก็เท่านั้น
เนื่องจากประตูห้องเปิดกว้างเอาไว้ เสด็จอาเก้าคงไม่อาจทำเรื่องแย่ๆ ขึ้นได้ ประกอบกับคนในเรือเล็กนี้ล้วนเป็นคนของนาง เฟิ่งชิงเฉินจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยนางหยิบกล่องยาออกมา แล้วตัดผ้าพันแผลที่มือของเสด็จอาเก้าออกก่อนจะทำการพันใหม่
เมื่อทำการห่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ไล่เขาออกไปทันควัน เสด็จอาเก้าลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด”
ท่าทางและน้ำเสียงอันจริงจัง เฟิ่งชิงเฉินคิดว่ามีเรื่องใดผิดปกติไปเสียอีก นางมองไปที่เสด็จอาเก้าแล้วเอ่ยถามจากสายตาว่ามีเรื่องต้องการให้นางทำใช่หรือไม่ และเสด็จอาเก้าก็พยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อืม ให้ข้าเตรียมของสักหน่อย” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธ แขนขวาของเสด็จอาเก้าได้รับบาดเจ็บ มือซ้ายก็ดูงกๆ เงิ่นๆ เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเสด็จอาเก้ามีเรื่องจะต้องทำ นางหยิบของสำคัญออกมาจากใต้หมอนเอามาเก็บไว้ที่ตัว แล้วเดินทางออกไปพร้อมเสด็จอาเก้า
แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าสิ่งที่เสด็จอาเก้าบอกกับนาง นั่นก็คือ……
นั่งดื่มสุราบนหลังคาบ้านของนาง!