นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 546 ซวย บัลลังก์เดิมเป็นของข้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 546 ซวย บัลลังก์เดิมเป็นของข้า
อะแฮ่ม…เสด็จอาเก้าไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังชมเขาหรืออย่างไร สรุปสั้นๆ ถ้าพูดถึงปัญหานี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาคงจะดูเลวในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินไปเรื่อยๆ
“สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อและพี่ชายของฮองเฮาหลงกล มีพยานและหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาอยากจะหนีก็คงหนีไม่ได้แล้ว อีกอย่างพวกเขามีส่วนในการขายเกลือและอาหารที่ผิดกฎหมาย” จะว่าก็ต้องต่อว่าที่พวกเขานั้นโลภเกินไป มิเช่นนั้นก็คงไม่หลงกล
เมื่อเผชิญหน้ากับผลประโยชน์ที่ดีงานเพียงนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่สั่นคลอน แม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น!
“ก็จริง ระหว่างทางเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกหลอกไปแล้ว หากว่าจะกลายเป็นคนบริสุทธิ์ตอนนี้ก็คงยากแล้ว” ในมุมมองของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว พฤติกรรมที่น่าเสี่ยงเช่นนี้ของพ่อและพี่ชายฮองเฮาช่างโง่เขลาเสียจริง
คนอื่นๆ แลกความมั่งคั่งมาด้วยชีวิต แต่พวกเขาร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว กลับต้องการมากกว่าเดิมที่มีอยู่
อย่างไรก็ตามเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจได้ การที่ลูกเขยเป็นจักรพรรดิและหลานชายเป็นจักรพรรดินั้นมันแตกต่างกันอย่างมาก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาต้องการมากกว่าเดิมที่มีอยู่
“พวกเขาโง่ตรงไหน? เวลาแค่สองเดือน พวกเขาได้กำไรจากข้าไปเกือบ 300,000 ตำลึง การค้าขายดีเช่นนี้ไม่มีที่ไหนมีอีกแล้ว”
อีกอย่าง นอกจากหวังเซี่ยและตระกูลใหญ่อื่นๆ แล้ว คนที่มีอิทธิพลในแวดวงนี้มีใครบ้างที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องค้าเกลือ อาหารแบบผิดกฎหมายบ้าง พวกเขาทำอุตสาหกรรมทั้งหมดที่สร้างรายได้ และอุตสาหกรรมทั้งหมดที่นักธุรกิจธรรมดาทำไม่ได้ เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้ทำกำไรได้ดีที่สุด” เรื่องแบบนี้ ต่างก็เป็นเรื่องที่มิอาจห้ามได้อยู่แล้ว หากว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและต้องการความเป็นหน้าเป็นตา ก็จะต้องเสียเงินจำนวนมาก ฉะนั้นเหล่าตระกูลผู้มีอิทธิพลจึงต้องหาทางทำเงินให้ได้เยอะๆ
“ข้ามองว่าพวกเขาไม่มีวิสัยทัศน์ได้หรือไม่? ตามสถานะและตัวตนของพวกเขาแล้ว ทำธุรกิจแบบสุจริตก็ได้เงินมาไม่ยาก เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องยัดเงินหลวงเหมือนที่พ่อค้าธรรมดาต้องทำ”
ตระกูลชั้นต้นทำมาหากินด้วยการค้าขายที่สุจริต ตระกูลชั้นกลางทำมาหากินด้วยอำนาจ ตระกูลชั้นสูงหาเงินด้วยวิธีที่ผิดกฎระเบียบ ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นความจริง
“อย่างแรกเลย การขายที่สุจริตได้เงินช้า อันดับสองคือหากว่าอยากทำก็ต้องมีความสามารถนั้น ตระกูลผู้ดีในเมืองหลวงทุกคนล้วนมีฐานะดีอยู่แล้ว ทั้งตระกูลมีภรรยาและสนมมากมาย มีลูกหลานนับไม่ถ้วน จึงมีรายจ่ายที่ค่อนข้างเยอะ อีกอย่างพวกเขาฟุ่มเฟือย ชอบโอ้อวด ชอบการมีหน้ามีตา ฉะนั้นหากเงินไม่ถึงจะเป็นปัญหาอย่างมาก
อีกอย่างหากพ่อและพี่ชายของฮองเฮาอยากจะหาคนสนับสนุนให้กับลั่วอ๋อง เช่นนั้นก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ ฉะนั้นก็ยิ่งต้องจ่ายเงินมากมาย งบของทางทหารไม่พอมานานแล้ว แม่ทัพที่เก่งก็มักจะพยายามหาเงินเข้ากระเป๋า เพื่อให้ทหารได้กินอิ่ม ให้ครอบครัวของพวกเขาได้รับการดูแลที่ดี มิเช่นนั้นไม่มีใครยอมมาทำงานแบบมอบทั้งชีวิตให้เจ้าเช่นนี้หรอก
ดูอย่างอวี่เหวินหยวนฮั่ว เขาใช้ทรัพย์สินของตระกูลอวี่เหวินจนสิ้นเพื่อที่จะเลี้ยงทหารตระกูลอวี่เหวิร หากมิใช่เพราะเช่นนี้ เขาก็คงไม่มาขอร้องข้า
คำสัญญาหลังจากทุกอย่างสำเร็จอะไรนั่น ล้วนเป็นคำพูดเพียงลมปาก สมัยนี้ทำกระไรก็ต้องใช้เงินทอง หากมิได้กินดีอยู่ดี ไม่มีอาวุธที่ดี ครอบครัวไม่มีคนดูแล ใครจะมีกะจิตกะใจไปทำสงคราม? ใครจะมายอมที่จะสู้ด้วยชีวิตเพื่อเจ้า”
เสด็จอาเก้าทนมาครึ่งวัน สุดท้ายเขาทนไม่ไหว เขาเอื้อมมือไปดึงนางเข้ามาที่อ้อมกอดของตน เฟิ่งชิงเฉินมิได้ขัดขืน นางอิงกายลงในตำแหน่งที่สบายในอ้อมแขนของเสด็จอาเก้าอย่างสงบ
จะสนิทสนมกันในยามค่ำคืนคงไม่เป็นกระไรหรอก พวกเขาเป็นคนรักกัน หากไม่พอใจก็ฟ้องร้องเสีย ประเดี๋ยวจะโต้แย้งพวกเจ้าเอาเอง
เพราะติดอยู่ในพระราชวัง เสด็จอาเก้าไม่อยากจะทำกระไรที่เกินงาม เขาเพียงกอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ และลูบไล้ที่หูของนาง เมื่อเสร็จงานเสื้อผ้าของทั้งคู่ยังคงเรียบร้อยดี เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้ามี “ระเบียบ” เพียงใดกัน
“ทุกอย่างก็เป็นเพราะเงิน พ่อและพี่ชายของฮองเฮาหาเงินมากมายก็เพื่อซื้อใจขุนนางให้ลั่วอ๋อง แต่ไม่คาดคิดว่าการกระทำนี้จะทำร้ายลั่วอ๋อง ไม่รู้ว่าลั่วอ๋องจะได้รับผลกระทบเพราะเรื่องนี้หรือไม่” เฟิ่งชิงเฉินพยายามไม่ยิ้ม
เมื่อได้ยินข่าวว่าตงหลิงจื่อลั่วกำลังจะซวย นางก็สบายใจอย่างมาก
“ทำไมหรือ? เจ้าเป็นห่วงเขา?” เสด็จอาเก้ากอดเฟิ่งชิงเฉินไว้แน่น
ที่จริงแล้ว เขาคิดมากกับความจริงที่ว่าเฟิ่งชิงเฉินเคยเป็นคู่หมั้นของตงหลิงจื่อลั่ว แต่เรื่องอดีตเขาไม่สามารถแก้ไขได้ เขาเสียใจ เสียใจที่ตนมิได้ สังเกตเห็นเฟิ่งชิงเฉินแต่แรก
เฟิ่งชิงเฉินเจ็บแต่ไม่ได้พยายามดิ้นหลุด ” ใครเป็นห่วงเขากัน ข้าน่ะอยากให้เขาได้รับผลกระทบมากที่สุด จะได้มิต้องมาทำท่าทีว่าตนเป็นองค์รัชทายาทในอนาคตต่อหน้าข้า เห็นแล้วก็คลื่นไส้”
เสด็จอาเก้าพอใจกับคำตอบนี้อย่างมาก เสด็จอาเก้าปล่อยมือลงเล็กน้อย จากนั้นก็จูบเบา ๆ ที่แก้มของเฟิ่งชิงเฉิน ” ได้รับผลกระทบเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าจักรพรรดิจะไม่สงสัยในตัวเขา แต่หาก พ่อและพี่ชายของฮองเฮาล้มลง ก็เท่ากับว่ากำลังสำคัญของเขาได้หายไป อำนาจในวังของเขาก็จะลดลง
นอกจากนี้ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิจะไม่โปรดปรานและเชื่อใจเขาดั่งแต่ก่อน แม้ว่าฮองเฮาถูกถอนตำแหน่งเพราะเรื่องนี้ ข้อดีที่เขาเป็นบุตรสายตรงก็จะหายไปเช่นกัน แม้ว่าฮองเฮาจะไม่ถูกถอนตำแหน่งเพราะเหตุนี้ แต่ยังไงก็จะต้องถูกกักตัวเอาไว้อย่างแน่นอน เช่นนั้นข้อได้เปรียบในการแย่งชิงตำแหน่งของลั่วอ๋องก็จะหายไปจนสิ้น”
“เจ้าไม่สนับสนุนองค์รัชทายาท ลั่วอ๋องเองก็เสียข้อได้เปรียบไป หากเป็นเช่นนี้ ตงหลิงก็จะตกอยู่ในสถานการณ์แย่งชิงตำแหน่งน่ะสิ?” เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองเสด็จอาเก้า
นางพบว่าเสด็จอาเก้ากำลังเล่นหมากรุกแผนใหญ่
เขารักษาขาของซีหลิงเทียนอวี่จนหายดี เพื่อให้เขาแย่งชิงกับซีหลิงเทียนเหล่ยที่แคว้นซีหลิง ช่วยซีหลิงจิ่นสิง ให้เขาแย่งชิงตำแหน่งกับหนานหลิงจิ่นฝานที่แคว้นหนานหลิง ตอนนี้เขาเข้ามาสร้างปัญหาที่ตงหลิงอีก
พระเจ้าช่วย!
ยกเว้นเป่ยหลิงแล้ว ทั้งสามแคว้นที่เหลือนั้น ต่างก็เกิดปัญหาภายในเพราะแผนของเสด็จอาเก้า ส่วนเป่ยหลินนั้น ก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการแต่งงานขององค์หญิงเหอผิงพระมั้ง
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวอย่างมาก
เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นดวงตาเบิกกว้างของเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้ว่านางเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว และเขาเองก็มิได้ปิดบังนางแต่แรก เพียงแต่ว่านางไม่ได้ไปคิดในเรื่องนั้น ตอนนี้นางเข้าใจก็ย่อมดี
เสด็จอาเก้ายิ้มและพยักหน้า “เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว ในตงหลิงนี้องค์ชายทุกคนมีโอกาส ต่อไป ต้องให้พวกเขามาขอบใจเจ้า หากมิใช่เพราะเจ้า พวกเขาก็จะกลับไปที่เดิมนานแล้ว เช่นนั้นก็จะเสียโอกาสดีๆ ไป”
เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างคลุมเครือ เฟิ่งชิงเฉินมองเขาด้วยความไม่สบอารมณ์ ขอบใจหรือ? ไม่จัดการนางทิ้งก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าไม่เคยคิดอยากได้ตำแหน่งนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่าเสด็จอาเก้ามีเป้าหมายที่ยาวไกล แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะถาม เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว เป้าหมายที่ยาวไกลนั้นมันดูไกลยิ่งนัก และตำแหน่งนั้นก็ดูยั่วยวนใจอย่างมาก
“ตำแหน่งนั้นเป็นของข้าแต่เดิม ทำไมข้าต้องคิดเรื่องนี้ด้วย?” เสด็จอาเก้ากล่าวด้วยความไม่สบอารมร์ เขาไม่หวังบัลลังก์จองตงหลิงจริงๆ
“ว่าอย่างไร? ” เฟิ่งชิงเฉินสะดุ้งตกใจ กระโดดออกจากตัวเสด็จอาเก้า จากนั้นก็เบิกตากว้าง..
“มีกระไรน่าตกใจหรือ? พระราชโองการของอดีตจักรพรรดิ ข้าต่างหากที่เป็นจักรพรรติ ฮ่องเต้ที่อยู่ณ บัลลังก์เป็นเพียงผู้สำเร็จราชการแทนข้น เมื่อข้าบรรลุนิติภาวะ เขาจะต้องคืนบัลลังก์ให้กับข้า มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดกัน ซู่ชินอ๋องจึงช่วยข้าเสมอ เพราะเขาทราบเรื่องนี้” เสด็จอาเก้าดึงตัวเขากลับ จากนั้นก็กอดเขาไว้แน่น เผื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินหนีไปอีก
ถนุถนอมนางอยู่ในอ้อมแขนของตน แม้ว่าเขาจะทำกระไรมิได้ แต่เขาพอใจอย่างมาก โอกาสที่จะได้กอดเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ก็มีไม่มาก
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงบรรลุนิติภาวะมานานแล้วมิใช่หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถามด้วยความงุนงง และในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเสด็จอาเก้า ที่แท้แล้วบัลลังก์ของเขาเดิมเป็นของเสด็จอาเก้า หากว่าเสด็จอาเก้าไม่ตายใจ เขาเองก็ไม่สามารถสบายใจได้
“ข้าเอาบัลลังก์นั้นมาเพื่อการใด? หากว่าฮ่องเต้อยากครองบัลลังก์นั้นก็เชิญ เพราะคนที่ทราบเรื่องนี้ก็มีมามากอยู่แล้ว” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างเฉยเมย
เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น เขาก็ไม่มีอิสละเลย นอกจากนี้ เขาไม่มีความมุ่งมั่นที่จะใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อจัดการเรื่องภายในราชกิจของตงหลิง และทำให้ตงหลิงกลายเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่
แม้ว่าเขาจะทำให้ตงหลิงเป็นประเทศที่มีอำนาจและยิ่งใหญ่แล้วอย่างไรล่ะ อีกสามแคว้นที่เหลือจ้องรอเล่นงานอยู่ ไม่แน่เขาอาจจะมิได้ทำกระไร ตงหลิงก็อาจถูกทั้งสามแคว้นจัดการ
ไม้สวยในป่า หากมีลมก็จะทำลายมันโดยปกติ เช่นนี้ดีแค่ไหนแล้ว…