นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 553 น่าเกรงขาม ผู้ช่วยของซูหว่านมาแล้ว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 553 น่าเกรงขาม ผู้ช่วยของซูหว่านมาแล้ว
ในที่สุดหัวสมองอันชาญฉลาดของเฟิ่งชิงเฉินก็กลับมาคิดถึงปัญหาได้อย่างปกติและไม่ได้คิดถึงแต่เพียง “ขอเพียงหัวใจเจ้าและเราจะไม่พรากจากกันอีก” และ “ขอเพียงหัวใจท่านมีเพียงข้า ย่อมไม่อาจหยุดคิดถึงคะนึงหา” หรือประโยคเช่นนี้อีก
แต่น่าเสียดายที่หาทางแห่งรักษาชุยห้าวถิงกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงเดินมาถึงยังด้านนอกห้องของชุยห้าวถิงก็มีข้ารับใช้เข้ามารายงานอย่างร้อนรน “แม่นาง แม่นาง แย่แล้ว มีทหารมามากมายมาล้อมจวนเราขอรับ”
ทหารหรือ?
ยามนี้ยังมีใครไม่ดูตาม้าตาเรือกล้ามาหาเรื่องนางถึงจวน เบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร?
เฟิ่งชิงเฉินชะงักฝีก้าวลงและหันมาถาม “ทหาร? ใครพาทหารมา?”
ดูท่าทางแล้ว โรคของชุยห้าวถิงคงจะไม่อาจรักษาได้ในวันนี้ ผู้ที่กล้ามาหาเรื่องนางในยามนี้ย่อมเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา
“ผู้น้อยไม่รู้จักขอรับ ดูเหมือนจะไม่ใช่ชาวตงหลิง ผู้น้อยเห็นว่าแม่นางซูหว่านก็อยู่ด้วยขอรับ” พ่อบ้านเป็นคนของหวังจิ่นหลิง ขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดที่เขาไม่รู้จัก เมื่อเขาบอกว่าไม่รู้จักก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชาวตงหลิง
“พวกเราจะไปดูเดี๋ยวนี้ พาองครักษ์ครึ่งหนึ่งมาเฝ้าเรือนคุณชายชุย ไม่ว่าใครก็ห้ามมารบกวนเขาเด็ดขาด” แม้ว่าชุยห้าวถิงจะมีผู้คุ้มกัน แต่อย่างไรเขาก็พักอาศัยอยู่ในจวนของนาง หากเขาเป็นอะไรไปในจวนของนาง ตระกูลชุยย่อมไม่ปล่อยนางไปแน่
ตระกูลใหญ่ตระกูลดัง ไม่ควรไปทำให้ขุ่นเคืองใจเลย!
พ่อบ้านเข้าใจความสำคัญของเรื่องต่างๆ เป็นอย่างดีจึงรีบไปจัดการ ในห้อง ชุยห้าวถิงได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน ใบหน้าซีดขาวของเขาปรากฏรอยยิ้มบางๆ มือเรียวยาวของเขาคีบตัวหมากหยกสีขาว ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงวางหมากลง
“หยวนจี๋ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยถามผู้ที่อยู่ข้างกายของเขา
“แม่นางเฟิ่งเป็นผู้ชาญฉลาด หากคุณชายไม่บอกใบ้อะไรสักหน่อย แม้แม่นางเฟิ่งจะไม่รู้สึกไม่พอใจ แต่ในใจก็ยากที่จะไม่สบายใจ” องครักษ์ที่ถูกเรียกว่าหยวนจี๋ก้มศีรษะลงตอบ
“ไปเถอะ ไปจัดการที่อยู่ของพี่สามเสีย แล้วเดี๋ยวค่อยมาบอกแม่นางเฟิ่ง” พี่สามจากปากของชุยห้าวถิงก็คือผู้บงการใหญ่ในการลอบสังหารเฟิ่งชิงเฉิน ชุยห้าวถิงอาศัยอยู่ที่เรือนเล็กซีชวีมาเกือบสองเดือนแล้วจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้
“ห้าวถิง เจ้าทำอะไรระมัดระวังและอ่อนโยนเกินไป อีกทั้งยังพูดง่ายยิ่งนัก มิน่าเล่าคนอื่นจึงได้รังแกเจ้าที่เป็นถึงบุตรของภรรยาเอกได้” ผู้ที่เดินหมากกับชุยห้าวถิงก็คือหยุนเซียวคุณชายใหญ่ตระกูลหยุน ดูจากความหมายของชุยห้าวถิงแล้วดูจะไม่ได้ต้องการผิดบังหยุนเซียวเลยแม้แต่น้อย
ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ได้ดีเพียงแบบธรรมดา
หยุนเซียวคีบหมากสีดำ เมื่อชุยห้าวถิงวางหมากลง หยุนเซียวก็วางหมากตามทันที ลักษณะการเดินหมากของหยุนเซียวคล้ายกับเขามาก ดูเหมือนจะเดินหมากไปตามสบาย แต่ความจริงแล้วกลับซ่อนคมเล็บอยู่ ส่วนชุยห้าวถิงนั้นรอบคอบ อ่อนโยน ทุกหมากล้วนมีประโยชน์
“ข้าที่ร่างกายเช่นนี้จะไปชิงดีชิงเด่นอะไรได้ พวกเขาร้อนใจเกินไปแล้ว” ชุยห้าวถิงยิ้มอย่างสงบ แต่หยุนเซียวกลับเห็นความหม่นหมองและไม่ยินยอมซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา
เพราะว่าเขาและชุยห้าวถิงเป็นคนประเภทเดียวกัน เพียงแต่เขาโชคดีกว่าชุยห้าวถิงเล็กน้อยเพราะตลอดยี่สิบห้าปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้รู้ว่าชีวิตตนจะไม่ยืนยาว
เรือนเล็กซีชวีถูกทหารแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งล้อมไว้ทั้งด้านในและด้านนอก ดูจากการแต่งตัวของพวกเขาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชาวตงหลิงอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงสื่อสารกันทางสายตา
ตงหลิงมีทหารชาติอื่นเข้ามาในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน ต้องรู้ว่าในสมัยนี้นั้น ผู้ที่มีอำนาจทหารอยู่ในมือจึงจะเป็นผู้ที่มีสิทธิ์พูด
ผู้มาเยือนคิดไม่ดีแน่ หากคิดดีก็คงไม่มา แววตาของทั้งสองฉายแววหนักอึ้ง จากจำนวนและคุณภาพของทหารเหล่านี้สามารถดูออกได้ว่าพวกเขาไม่เหมือนกับองครักษ์ของซูหว่านหรือเหยาหวา ทหารเหล่านี้ล้วนเคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว รังสีอำมหิตบนตัวพวกเขาจึงกลืนกินจวนของนางและเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบ
ในห้องโถงเคร่งขรึมหนักอึ้ง คนของจวนเฟิ่งทั้งหมดล้วนมาชุมนุมอยู่ที่นี่ ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงเดินเข้ามาก็เห็นซูหว่านยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้นดูแล้วอายุราวสีสิบเศษ สีหน้าของเขาบึ้งตึง เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม ยามที่มองดูจากระยะไกลมีความละม้ายคล้ายกับเย่เย่อยู่สามส่วน
เมื่อปะติดปะต่อกับท่าทีของซูหว่านและบรรยากาศนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ทันทีว่าผู้มาเยือนคือใคร เฟิ่งชิงเฉินฉีกยิ้มเตรียมรับมือและเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงจะให้เกียรติมาถึงที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินต้อนรับได้ไม่ดี ท่านเจ้าเมืองโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
“เจ้าคือเฟิ่งชิงเฉินหรือ” เจ้าเย่เฉิงไม่ได้ใส่ใจท่าทางสุภาพของเฟิ่งชิงเฉินและถามนางอย่างวางท่า
เขาเหมือนกับเย่เย่ เห็นว่าความสุภาพของเฟิ่งชิงเฉินเป็นความอ่อนแอ วันนี้เขานำทหารมาล้อมจวนของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินไม่มีกำลังจะต่อต้านเขาแม้แต่น้อย
“เจ้าค่ะ ข้าก็คือเฟิ่งชิงเฉิน” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกรธ นางเดินไปนั่งยังที่นั่งด้านขวาและบอกให้ซุนซือสิงก็นั่งลงเช่นกัน
ดงวตาของเจ้าเมืองเย่เฉิงเย็นเยียบ ทหารองครักษ์ข้างกายเขาก็เดินออกมาข้างหน้าและพาดดาบไว้บนคอของเฟิ่งชิงเฉิน “บังอาจ ต่อหน้าท่านเจ้าเมือง มีที่ให้เจ้านั่งที่ไหนกัน”
“นี่เป็นจวนของข้า ไม่ใช่จวนท่านเจ้าเมือง ข้าคิดจะนั่งก็นั่ง ท่านเจ้าเมือง รบกวนท่านอบรมคนของท่านให้ดีด้วย อย่าให้หาเรื่องไปทั่ว” เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือไปดันแขนขององครักษ์ผู้นั้นออก “โปรดเอาดาบออกไป ข้าเกลียดการถูกคนอื่นเอาดาบมาพาดที่คอข้า”
รอยแผลเป็นที่คอของนางยังไม่จางหายไปเลย
“กลับมา” เจ้าเมืองเย่เฉิงวันนี้มีเรื่องมาขอร้องเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดที่จะทำให้นางลำบากใจนัก เพียงแค่ข่มขู่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอแล้ว
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าฝีมือรักษาของเจ้าล้ำเลิศ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้?”
“ท่านเจ้าเมืองคงได้ยินผิดไป ฝีมือรักษาล้ำเลิศสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้นั้นคือหมอเทวดาแห่งหุบเขาเสินอี ไม่ใช่ชิงเฉิน ท่านเจ้าเมืองต้องการพบหมอเทวดาแห่งหุบเขาเสินอีหรือ? ช่างบังเอิญเสียจริง เขาเพิ่งไปเมื่อไม่กี่วันก่อน” เฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าล้อเลียน
เย่เย่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ตัวเองทนไม่ไหวก็เรียกพ่อมา โตเท่าไรแล้วยังจะทำตัวเป็นเด็กๆ อีก สู้แพ้ก็กลับไปร้องไห้แงๆ
ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิง?
ช่างเป็นเกียรติเสียจริง
เฟิ่งชิงเฉินหยิ่งยโสโอหังเพราะถือดีว่ามีความรู้ความสามารถอย่างที่ซูหว่านบอกไว้ไม่ผิด นางไม่เห็นเจ้าเมืองเย่เฉิงอยู่ในสายตา เขาสามารถนำกำลังทหารเข้ามาในเมืองหลวงได้ก็เพื่อบอกนางว่าอำนาจของเย่เฉิงนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่นางคาดคิด แต่นางกลับเล่นตลก
เจ้าเมืองเย่เฉิงระงับความรู้สึกอยากจะสังหารคนเอาไว้และเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะไม่อ้อมค้อมล่ะ อาการบาดเจ็บของเย่เย่ เจ้าสามารถรักษาได้ไหม?”
“อาการบาดเจ็บของนายนอยเย่หรือ ห้าวันก่อนชิงเฉินรักษาได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ชิงเฉินแตะต้อง ส่วนตอนนี้น่ะหรือ? ชิงเฉินไม่กล้ารับประกันแล้ว เพราะอย่างไรนายน้อยเย่ก็ได้พลาดเวลาทองในการรักษาไปแล้ว ต้องให้ชิงเฉินตรวจดูก่อนจึงจะรู้ได้”
เป็นหมอก็ต้องใช้ช่วงเวลาเช่นนี้ทำตัวหยิ่งเสียหน่อย หากนางไม่แสดงท่าทีโอหังเสียหน่อยก็เกรงว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงคงจะคิดว่านางรังแกง่ายเสียจริงๆ คิดจะบีบก็บีบ คิดจะกระทืบก็กระทืบ
เป็นเจ้าเมืองแล้วยิ่งใหญ่นักหรือ ที่ตงหลิงนี้ไม่ใช่เมืองเย่เฉิง หากคิดจะอวดอำนาจก็ไสหัวกลับไปเมืองเย่เฉิงเสีย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทหาร เชิญหมอเฟิ่งไปที่สวนจิงชิว” เจ้าเมืองเย่เฉิงออกคำสั่ง ทหารร่างกายกำยำเหมือนหมีสี่คนก้าวออกมาทำท่าทางผายมือเชิญเฟิ่งชิงเฉิน หากนางจะไปก็ต้องไป ไม่ไปก็ต้องไป
เฟิ่งชิงเฉินแค่นเสียงหัวเราะและยืนขึ้นอย่างสงบ “ท่านเจ้าเมือง ชิงเฉินเพียงพูดว่าจะรักษาได้หรือไม่ แต่ไม่ได้บอกว่าจะยินยอมรักษาเขาหรือไม่ ชิงเฉินยังไม่ได้รับปากท่านเจ้าเมืองว่าจะไปรักษานายน้อยเย่”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าควรจะรู้ดีว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ วันนี้เจ้าจะรักษาก็ต้องรักษา ไม่รักษาก็ต้องรักษา” เจ้าเมืองเย่เฉิงตบโต๊ะ เหล่าทหารในจวนชักดาบออกมาเตรียมพร้อม ดาบถูกดึงออกมา รังสีสังหารแผ่ขยาย เพียงแค่คำสั่งของเจ้าเมืองคำเดียว เรือนเล็กซีชวีก็จะนองเลือด
นี่ก็คือข้อดีของการมีทหารในมือ
เฟิ่งชิงเฉินสายตาเยือกเย็น นางหัวเราะเสียงเย็น…
เจ้าเมืองเย่เฉิงลุกขึ้นยืนและเอ่ยวาจาข่มขู่ “เฟิ่งชิงเฉิน ให้ดีเจ้าก็ควรจะไปกับข้าอย่างเชื่อฟัง วันนี้หากเจ้ากล้าพูดคำว่าไม่แม้เพียงคำเดียว ข้าจะสังหารคนในจวนของเจ้าให้หมด ดูซิว่ากระดูกเจ้าจะแข็งหรือว่าดาบของข้าจะแข็งกว่ากันกันแน่!”