นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 556 พาทหารบุกเข้ามา ไม่ดูเลยว่าที่นี่ถิ่นใคร
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 556 พาทหารบุกเข้ามา ไม่ดูเลยว่าที่นี่ถิ่นใคร
หยุนเซียวและชุยห้าวถิงทำราวกับว่ามองไม่เห็นซากศพบนพื้น ใบหน้าของทั้งสองดูยิ้มแย้มอยู่ตลอด แล้วพวกเขาก็เดินอ้อมศพมาอย่างไร้ปัญหา
พรึบ……หยุนเซียวคลี่พัดด้วยท่าทางห้าวหาญ “เจ้าเมืองเย่เฉิง แม่นางเฟิ่ง ข้ากับพี่ห้าวถิงได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากหน้าเรือน จึงรีบตามมาดู ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองเป็นอะไรหรือไม่?”
ซูหว่านรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วโปรยยิ้มหวานละมุนออกมา นางรู้ดีว่าไม่มีใครกล้าเสียมารยาทต่อหน้าชายหนุ่มผู้เก่งกล้าเช่นนี้แน่ ต่อหน้าคุณชายทั้งสอง ในฐานะที่นางเป็นผู้หญิงก็อยากสร้างความประทับใจให้พวกเขา
ส่วนเฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ได้หวั่นไหวเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคุณชายผู้ยิ่งใหญ่หรือแม้แต่เสด็จอาเก้าผู้สูงศักดิ์ นางหันไปทางหยุนเซียวแล้วส่ายหน้าเบาๆ สื่อความหมายว่านางไม่เป็นอะไร แล้วจึงเชิญคนทั้งสองนั่งลง
“คุณชายหยุน ท่านผู้นี้คือ?” เจ้าเมืองเย่เฉิงเห็นหยุนเซียวเรียกชุยห้าวถิงว่าพี่ ความสัมพันธ์ย่อมไม่ธรรมดา เขาจึงเอ่ยปากถามหยุนเซียว
“อ้อ ข้าเกือบลืมแนะนำเลย เจ้าเมืองเย่เฉิง ท่านผู้นี้คือพี่ห้าวถิง แซ่ชุย เป็นคุณชายสิบหกแห่งตระกูลชุยจากชิงเหอ” หยุนเซียวเน้นลำดับในตระกูลของชุยห้าวถิงเป็นพิเศษ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะมันมีประโยชน์นั่นเอง
ในตอนแรก เจ้าเมืองเย่เฉิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อได้ยินว่าเขาคือคุณชายสิบหกแห่งตระกูลชุย สีหน้าของเจ้าเมืองเย่เฉิงจากที่ดูเคร่งขรึมก็ถูกสีหน้าที่เป็นมิตรมาแทนที่
“ที่แท้ก็คุณชายสิบหกนั่นเอง ข้าไม่ทราบว่าเป็นท่าน จึงมิได้กล่าวคำทักทายเลย” เมื่อพูดจาปราศรัยได้สักพัก เจ้าเมืองเย่เฉิงก็ไล่คนคุ้มกันออกไป “พวกเจ้าทุกคนถอยออกไปก่อน”
“เจ้าเมืองเย่เฉิงเกรงใจเกินไปแล้ว” ชุยห้าวถิงตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ห่างเหิน
เอ๋?
เจ้าเมืองเย่เฉิงพูดจาดีจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ นางมองหยุนเซียวและชุยห้าวถิงด้วยท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วชุยห้าวถิงก็พยักหน้าให้นาง เป็นการสื่อว่าเขามั่นใจในการคาดเดาของนาง
เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม คุณชายสิบหกงั้นหรือ ท่าทางชุยห้าวถิงจะวิเศษมากกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก นางได้ปลามาตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย ช่างโชคดีจริงๆ!
คุณชายสิบหก คุณชายตระกูลชุยที่มีเชื้อสายสูงศักดิ์ มีท่านยายเป็นถึงพระธิดาในองค์หญิงรัชกาลก่อนหน้า แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ใกล้ชิดกับทางราชวงศ์ แต่เนื่องจากเขาเป็นพระนัดดาหนึ่งเดียวขององค์หญิง จึงมีตำแหน่งที่พิเศษกว่าใครในตระกูล นอกจากตระกูลชุยแล้ว ทั่วแผ่นดินก็หาผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับราชวงศ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว
สถานะของชุยห้าวถิงไม่ค่อยมีใครได้ล่วงรู้ ตระกูลชุยปิดเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี ลูกหลานตระกูลชุยทั้งหลายก็ไม่ค่อยเปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตัวเองให้คนทั่วไปได้รับรู้
ราชวงศ์สี่แคว้นแม้ไม่มีคำสั่งให้ตามฆ่าล้างโคตรตระกูลชุย แต่ตระกูลชุยก็ระวังตัวมาตลอด เมื่อต้องออกสู่โลกภายนอก คนตระกูลชุยจะไม่ออกมาด้วยสถานะที่แท้จริง
ลูกหลานตระกูลชุยที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนทุกวันนี้เป็นรุ่นลูกพี่ลูกน้องของชุยห้าวถิง แต่พวกเขาเหล่านี้ได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว
หลังการสูญสิ้นราชวงศ์ก่อนหน้า ยังเหลือคุณชายอีกห้าคนที่คนทั่วไปได้รู้จัก สี่คนก่อนหน้านี้เสียชีวิตไปนานแล้วด้วยสาเหตุต่างๆนานา ชุยห้าวถิงถือเป็นคนที่ห้า และเป็นคนที่สูงศักดิ์มากที่สุด
เจ้าเมืองเย่เฉิงทราบเรื่องสถานะของชุยห้าวถิงเป็นอย่างดี การมีคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาอยู่ตรงหน้า ต่อให้เจ้าเมืองเย่เฉิงจะกล้าหาญเพียงใด ก็ไม่กล้ารังแกเฟิ่งชิงเฉินต่อหน้าชุยห้าวถิง
เมื่อชุยห้าวถิงถามเจ้าเมืองเย่เฉิงว่ามาที่เรือนเล็กซีชวีด้วยเหตุใด เจ้าเมืองเย่เฉิงก็มองไปที่ซากศพพลางตอบว่า “ลูกชายข้าเจ็บหนัก อาการน่าเป็นห่วงเหลือเกิน ข้าร้อนใจมาก จึงมาขอให้แม่นางเฟิ่งช่วยเหลือ หวังว่าแม่นางเฟิ่งผู้เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมของคนที่เป็นหมอจะยื่นมือมาช่วยรักษาลูกชายข้า”
พูดมาขนาดนี้ หากเฟิ่งชิงเฉินไม่ช่วย ก็แสดงว่านางไม่มีคุณธรรมของคนที่เป็นหมอน่ะสินะ
เฟิ่งชิงเฉินเหลือกตามองบน นางมองเจ้าเมืองเย่เฉิงที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าบึ้งตึง มาบัดนี้กลับหน้าตาเบิกบาน แถมยังพูดจากับชุยห้าวถิงอย่างสุภาพอ่อนน้อม เฟิ่งชิงเฉินเห็นแล้วก็ขัดหูขัดตา สถานะคนเรามันสำคัญอย่างนี้นี่เอง
ชุยห้าวถิงไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่บอกว่าตนเองคือใคร ก็สามารถลดความจองหองของเจ้าเมืองเย่เฉิงได้ หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก นางคงไม่ต้องเปลืองกระสุน แค่เอาชุยห้าวถิงออกมาตั้งเป็นพระพุทธรูปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
“เจ้าเมืองเย่เฉิง ท่านอย่าทำเป็นเกรงใจหน่อยเลย ท่าทีการร้องขอจากท่านมันไม่ได้มีความเกรงใจเลยสักนิด หากทุกคนมาขอร้องหมอด้วยท่าทีเหมือนเจ้าเมืองเย่เฉิง โลกใบนี้คงไม่มีใครกล้าเรียนหมอแล้วล่ะ เมื่อครู่นี้เจ้าเมืองเย่เฉิงยังข่มขู่ข้าอยู่เลย ท่านบอกว่าจะทำให้เรือนเล็กแห่งนี้ต้องนองเลือด”
ถนัดเรื่องการฟ้องไม่ใช่หรือ เย่เย่ฟ้องท่านพ่อตัวเองได้ นางเองก็ฟ้องคนอื่นได้เช่นกัน ฟ้องกันต่อหน้าต่อตาเลย นางอยากรู้นักว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงจะหน้าหนาเหมือนกำแพงเมืองเย่เฉิงหรือไม่
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” ชุยห้าวถิงมองหน้าเจ้าเมืองเย่เฉิง แม้เขาจะไม่มีท่าทีเหมือนตำหนิ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องการคำอธิบายจากเจ้าเมืองเย่เฉิง
เจ้าเมืองเย่เฉิงอึกอัก “นี่เป็นการเข้าใจผิด ลูกชายข้าเจ็บหนัก เห็นแม่นางเฟิ่งยืนกรานว่าจะไม่ช่วยเหลือ ข้าจึงยิ่งร้อนใจ จึงได้ข่มขู่คนเป็นหมอ”
เท่าที่ฟังมา ที่เจ้าเมืองเย่เฉิงอธิบายมาก็ฟังดูเข้าที ชุยห้าวถิงพยักหน้า ทำให้เจ้าเมืองเย่เฉิงโล่งอก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังหาเรื่องให้เขาต่อ “เจ้าเมืองเย่เฉิง ท่านพูดจาตกหล่นไปนะ ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะไม่ช่วย ข้าเพียงแต่บอกว่าการช่วยเหลือท่านเย่จะต้องมีข้อแม้”
มีชุยห้าวถิงมาช่วยถ่วงเวลา เสด็จอาเก้าและตี๋ตงหมิงก็ใกล้มาถึงแล้ว อย่างน้อยๆก็สามารถทำให้เย่เย่ทรมานต่ออีกหน่อย แล้วค่อยมาเล่นงานเจ้าเมืองเย่เฉิงในภายหลัง เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากญาติดีกับเจ้าเมืองเย่เฉิงอยู่แล้ว
ต่อให้นางยอมญาติดีด้วย แต่เย่เย่ไม่มีทางยอมแน่
“ข้อแม้อะไรหรือ?” ชุยห้าวถิงพยายามที่จะช่วยเฟิ่งชิงเฉิน แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปง่ายๆ จึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวงให้เขาฟังคร่าวๆ
“ตอนนั้นชิงเฉินจะช่วยเหลือท่านเย่ แต่ท่านเย่ไม่เพียงแต่หยามหมิ่นชิงเฉิน เขายังขับไล่ชิงเฉินต่อหน้าคนอื่นๆ และบอกให้ชิงเฉินไปคุกเข่าขอโทษซูหว่านด้วย”
“ถึงแม้ว่าชิงเฉินจะเป็นหมอ แต่ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อถูกหยามหมิ่นถึงเพียงนี้ จะให้ชิงเฉินแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“ตอนนั้นชิงเฉินได้ตอบกลับไปว่า หากจะให้ชิงเฉินไปคุกเข่ายอมรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อคงต้องรอให้ชิงเฉินตายก่อน และในวันข้างหน้าหวังว่าท่านเย่จะไม่มาให้ชิงเฉินเห็นหน้าอีก หากมีวันนั้นแล้วล่ะก็ ชิงเฉินจะให้ท่านเย่กับซูหว่านมาคุกเข่าขอโทษเรื่องที่เคยหยามหมิ่นชิงเฉินไว้” เรื่องนี้สืบหาความจริงง่ายนิดเดียว เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหก
มีคนคอยหนุนหลัง เฟิ่งชิงเฉินจึงเล่าทุกอย่างไปตามความเป็นจริง นางต้องการให้เย่เย่กับซูหว่านมาคุกเข่า ไม่ใช่แค่ซูหว่านเพียงคนเดียว
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้พูดแบบนี้นี่ เจ้าบอกว่าให้ซูหว่านมาคุกเข่าขอโทษแค่คนเดียว” เจ้าเมืองเย่เฉิงพูดโพล่งออกมาโดยไม่เกรงใจซูหว่าน
เทียบกับซูหว่านแล้ว แน่นอนว่าลูกชายของตนย่อมสำคัญกว่า ลูกชายของเขาสูงส่งเลิศเลอ จะให้มาคุกเข่าให้ผู้หญิงได้อย่างไร
ซูหว่านสั่นสะท้าน นางกัดฟันแน่นโดยไม่พูดไม่จา ท่าทางของนางน่าสงสาร น้ำตาเริ่มเอ่อมาคลอเบ้า พลางหันไปมองชุยห้าวถิงด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ โดยหวังว่าผู้มีอำนาจอย่างชุยห้าวถิงจะเห็นอกเห็นใจหญิงสาวตัวเล็กๆเช่นนาง
น่าเสียดายที่ซูหว่านคิดผิด ชุยห้าวถิงแม้จะดูอ่อนโยน แต่ภายในกลับเป็นคนเย็นชา มิฉะนั้นแล้วเขาคงไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเผชิญอันตรายแล้วเข้ามาดูล่าช้าเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม แววตาที่อิ่มเอมเปล่งประกายออกมา “เจ้าเมืองเย่เฉิงความจำดีจริง ชิงเฉินพูดเช่นนั้นจริงๆค่ะ ที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง ท่านเย่เข้าไปช่วยคุณหนูซูหว่านโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง และต้องถูกงูพิษกัดจนบาดเจ็บ ชิงเฉินว่า คุณหนูซูหว่านคงจะไม่รังเกียจ หากตอนนี้ให้คุณหนูซูหว่านมาคุกเข่าขอโทษชิงเฉิน เป็นการทำเพื่อท่านเย่อย่างไรล่ะ”
“แต่ถ้าหากคุณหนูซูหว่านไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ ชิงเฉินไม่บังคับ แต่เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ยุติธรรมต่อท่านเย่ เพราะท่านเย่อุตส่าห์ยอมทำเพื่อคุณหนูซูหว่าน ทำให้เขาต้องเป็นอย่างที่เห็น หากท่านเย่เป็นอะไรขึ้นมา ไม่รู้ว่าคุณหนูซูหว่านจะยังกินอิ่มนอนหลับได้หรือเปล่า”
คำพูดเหล่านี้บีบบังคับจนซูหว่านจนมุม ดวงตาที่สวยงามของซูหว่านมีหยดน้ำร่วงหล่น ร่างอันบอบบางสั่นเทา เฟิ่งชิงเฉินกำลังกลั่นแกล้งนาง
ท่าทีชวนสงสารของซูหว่าน เป็นการแสดงออกอย่างตั้งใจให้ชุยห้าวถิงและหยุนเซียวได้เห็น เผื่อบางทีคุณชายทั้งสองท่านจะใจอ่อนยอมช่วยเหลือนาง
แต่ก็น่าเสียดาย ชุยห้าวถิงหันไปสบตากับหยุนเซียวเข้าพอดี เขาบอกหยุนเซียวด้วยสายตาว่า เจ้ากังวลมากไปแล้วล่ะ ที่ข้าเปิดเผยสถานะตนเองไปไม่ได้ช่วยอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากข้าเลย
หยุนเซียวเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เสียเที่ยวนะ เพราะเรื่องนี้ก็ได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเฟิ่งชิงเฉิน หมอที่เก่งกาจเช่นนี้ มีความสำคัญกับพวกเราไม่น้อยเลย
ช่วงนี้เขาหาทางกระชับความสัมพันธ์กับเฟิ่งชิงเฉินมาตลอด แต่เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว เขาจึงยังไม่มีลู่ทาง หยุนเซียวพึงพอใจต่อการมาเยือนของเจ้าเมืองเย่เฉิงยิ่งนัก เพราะเป็นการเปิดโอกาสทองให้กับเขา
ผู้ชาย 2 คนมัวแต่ประสานสายตากัน ทำให้ซูหว่านต้องห่อเหี่ยว เดิมทีนางตั้งใจจะมาดูเรื่องราวสนุกๆ นึกไม่ถึงว่าผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่านางพาตัวเองมาอยู่จุดๆนี้ ตอนนี้นางอยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางปิดปากเงียบ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ปล่อยนางไป “ดูท่าทางคุณหนูซูหว่านคงจะไม่ยินยอม เช่นนั้น ชิงเฉินก็ไม่รบกวนเวลาที่เจ้าเมืองเย่เฉิงต้องไปตามหาหมอคนอื่นแล้ว เจ้าเมืองเย่เฉิง คุณหนูซูหว่าน เชิญค่ะ……” เฟิ่งชิงเฉินผายมือส่งแขก
“ข้า……” ซูหว่านกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเสียงอาวุธปะทะกันดังโครมครามขึ้นมาแทรก
“เกิดอะไรขึ้น” เจ้าเมืองเย่เฉิงรีบลุกขึ้นยืน ในขณะที่เขากำลังจะวิ่งออกไปดู เสียงอึกทึกก็ได้สงบลง หลังจากนั้นเสด็จอาเก้าและตี๋ตงหมิงก็ได้นำกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา
“เจ้าเมืองเย่เฉิง คุณหนูซูหว่าน พอข้ามาแล้วพวกท่านก็จะไปกันเลยหรือ?” เสด็จอาเก้าเดินเข้ามาอย่างองอาจ แต่หากสังเกตดีๆแล้ว หน้าผากของเขามีเหงื่อเต็มไปหมด
หลังจากที่เสด็จอาเก้าออกมาจากวังหลวง ก็ได้ยินเรื่องที่เรือนเล็กซีชวี จึงรีบควบม้ามาที่นี่ทันที หากมาช้าเกินกว่านี้ เขากลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินอาจจะถูกเจ้าเมืองเย่เฉิงรังแก
เพราะในสายตาของเจ้าเมืองเย่เฉิง สภาพที่น่าเวทนาของเย่เย่ในตอนนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของเขาและเฟิ่งชิงเฉิน การที่เจ้าเมืองเย่เฉิงพาทหารบุกเข้ามาในเมือง แล้วมุ่งหน้ามาที่เรือนเล็กซีชวี หากบอกว่ามาเพื่อคุ้มกันเฟิ่งชิงเฉิน ใครเชื่อก็บ้าแล้ว
เห็นเฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่โดยไร้รอยขีดข่วน เสด็จอาเก้าก็โล่งใจยิ่งนัก ทั้งสองสบตากันสักพัก……
“เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิง ไยจึงมาถึงที่นี่ได้ล่ะ?” เจ้าเมืองเย่เฉิงเห็นแล้วก็ตกตะลึง
“ก็เพราะที่นี่คือตงหลิง ข้าอยู่ที่นี่แล้วมันแปลกด้วยหรือ ท่านต่างหากล่ะ เจ้าเมืองเย่เฉิง ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด?” เสด็จอาเก้ามองผ่านเจ้าเมืองเย่เฉิง ก่อนจะเดินอ้อมเขาเพื่อไปนั่งที่เก้าอี้กลางห้อง
ตี๋ตงหมิงก็เอาอย่าง เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่เจ้าเมืองเย่เฉิงเพิ่งนั่งไป
เหอะ คิดจะรังแกเฟิ่งชิงเฉินคนที่ไร้พ่อขาดแม่อย่างนั้นหรือ วันนี้เจ้าจะต้องได้รับรู้ว่าคนที่ไร้พ่อขาดแม่ก็มีดีเหมือนกัน
และแล้ว เก้าอี้ทั้งหกตัวในห้องโถงก็ไม่เหลือที่ว่าง นอกจากเจ้าเมืองเย่เฉิงและซูหว่านแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ก็มีเพียงองครักษ์ของเสด็จอาเก้าเท่านั้น……