นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 557 กล่าวหาเฟิ่งชิงเฉินว่าขัดพระราชบัญชา
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 557 กล่าวหาเฟิ่งชิงเฉินว่าขัดพระราชบัญชา
เรือนเล็กซีชวีเฟิ่งชิงเฉินมาอยู่เพียงชั่วคราว เรือนเล็กๆที่เน้นการตกแต่งที่สวยงาม พื้นที่ใช้สอยถือว่าไม่มากนัก ห้องโถงรับรองถือว่าเป็นห้องที่กว้างที่สุดภายในเรือนหลังนี้ แต่เมื่อในห้องมีคนหลายคน ก็ทำให้ห้องนี้ดูเล็กลงถนัดตา ภาพซูหว่านกับเจ้าเมืองเย่เฉิงดูโดดเด่นกว่าใครในห้องนี้
ซูหว่านยังดี แม้จะหน้าซีดเซียวแต่ก็วางตัวปกติ มิได้แสดงท่าทีอึดอัด เฟิ่งชิงเฉินนึกชื่นชมนางอยู่ในใจ ตระกูลซูอบรมบุตรหลานได้ไม่เลวเลยจริงๆ
แต่เจ้าเมืองเย่เฉิงดูจะกระอักกระอ่วนอย่างชัดเจน เขาเป็นถึงเจ้าเมือง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถูกหยามเกียรติถึงเพียงนี้ ทว่าเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าก็ทำเหมือนไม่เห็นเขาในสายตา ปล่อยให้เขายืนหัวโด่อยู่เช่นนั้น ไม่ต่างจากบ่าวไพร่
เมื่อเสด็จอาเก้าเข้ามาในห้องแล้วก็สั่งคนยกน้ำชามาให้ แล้วถามไถ่ชุยห้าวถิงกับหยุนเซียว 2-3 คำ เมื่อน้ำชาถูกยกเข้ามาแล้วก็ให้คนรินน้ำชาให้ดื่ม ตอนนี้เองเขาก็เงยหน้าขึ้นมา และทำเหมือนเพิ่งมองเห็นเจ้าเมืองเย่เฉิง “เจ้าเมืองเย่เฉิง ทำไมมัวยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ? ทหาร ไปยกเก้าอี้เข้ามาที”
เสด็จอาเก้าทำทีเป็นห่วงใย เจ้าเมืองเย่เฉิงแม้จะไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถโวยวายออกมาได้ เขาได้แต่ยิ้มและกล่าวว่า “เสด็จอาเก้ากำลังทรงยุ่งอยู่ ไม่ทันเห็นกระหม่อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
องครักษ์ก็เหมือนจะกลั่นแกล้ง เมื่อเขายกเก้าอี้เข้ามาแล้ว ก็วางเก้าอี้ไว้ที่กึ่งกลางห้อง เมื่อเจ้าเมืองเย่เฉิงนั่งลง จึงต้องประจันหน้ากับเสด็จอาเก้าและตี๋ตงหมิง
เสด็จอาเก้าสั่งให้คนรินน้ำชา คนของเสด็จอาเก้าต้องรู้จักมารยาท
“เจ้าเมืองเย่เฉิงมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ ข้าจึงไม่รู้เรื่อง ขอเจ้าเมืองเย่เฉิงอย่าถือสา ไม่ทราบว่าที่ท่านมาที่นี่มีธุระอะไรหรือ” เสด็จอาเก้าเอ่ยถามอย่างสุภาพ
เจ้าเมืองเย่เฉิงแม้จะเริ่มฉุนเฉียว แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เสียงอึกทึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ คนที่โง่เขลาก็ยังเข้าใจดี ว่าทหารชั้นยอดที่เขาพาเข้ามาถูกคนของเสด็จอาเก้าจัดการแล้วเรียบร้อย
ไม่ว่าที่ใดก็ตามแต่ ขอเพียงมีทหารอยู่ในมือก็เหมือนมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่นี่คือดินแดนตงหลิง หากเขาคิดจะมีเรื่องกับเสด็จอาเก้า คนที่ซวยก็ต้องเป็นเขาเท่านั้น อีกอย่าง จุดประสงค์การมาเยือนของเขาในวันนี้ก็คือมาขอให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยรักษาเย่เย่
เจ้าเมืองเย่เฉิงถอนหายใจเบาๆ “เสด็จอาเก้า กระหม่อมได้รับคำเชิญจากองค์จักรพรรดิให้มาเยือนตงหลิง ที่มาที่นี่โดยไม่มีผู้ใดเชิญในวันนี้ ก็เพราะต้องการให้แม่นางเฟิ่งช่วยลูกชายของกระหม่อม เรื่องนี้ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบแล้ว แต่แม่นางเฟิ่งกลับยืนกรานปฏิเสธ”
ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่เคยพูดเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเห็นชอบมาก่อน เพราะต้องการทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกเป็นนักโทษในตอนท้าย โทษฐานขัดพระราชบัญชา เมื่อถึงตอนนั้นแล้วก็จะได้พ่วงเสด็จอาเก้าไปอีกคน แต่ไม่นึกเลยว่า……
เขาคิดผิดเสียแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทัดทานเสด็จอาเก้าไม่อยู่ มิน่าล่ะ ฮ่องเต้จึงได้คิดจะร่วมมือกับฝ่ายอื่นเพื่อมาต่อกรกับเสด็จอาเก้า
เสด็จอาเก้าพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าตัวเองได้ยินแล้ว “เฟิ่งชิงเฉิน ในเมื่อเป็นพระราชบัญชา เหตุใดเจ้าจึงคิดฝ่าฝืน?”
คำพูดคำจาเหมือนเป็นการตำหนิ แต่ทว่าน้ำเสียงกลับเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน แล้วจ้องมองเสด็จอาเก้า แววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ทูลเสด็จอาเก้า ตั้งแต่ตอนแรกจนมาถึงตอนนี้ เจ้าเมืองเย่เฉิงยังไม่เคยกล่าวอ้างถึงฮ่องเต้มาก่อน ชิงเฉินไม่ทราบว่ามีพระราชบัญชา ดังนั้นจะถือว่าหม่อมฉันขัดพระราชบัญชาไม่ได้นะเพคะ”
เฟิ่งชิงเฉินหยุดไปพักหนึ่ง นางทำท่าเศร้าใจและกล่าวต่อไปว่า “เสด็จอาเก้าเพคะ ชิงเฉินไม่เข้าใจจริงๆว่าในเมื่อเจ้าเมืองเย่เฉิงมีพระราชบัญชา เหตุใดจึงไม่แจ้งตั้งแต่แรก แต่กลับพาทหารเข้ามาถึงที่นี่ แถมยังใช้อำนาจข่มขู่ชิงเฉินและคนในเรือน ชิงเฉินไม่รู้เลยจริงๆว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงกำลังคิดสิ่งใด”
เฟิ่งชิงเฉินฟ้องต่อว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงปิดบังเรื่องพระราชบัญชาเพื่อหาทางปองร้ายนาง นางจึงใช้เรื่องนี้จู่โจมกลับไป โดยอธิบายว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงคิดร้ายกับนาง และจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้นาง กล่าวโทษนางว่าฝ่าฝืนพระราชบัญชา
“เจ้าเมืองเย่เฉิง มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” เสด็จอาเก้าถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ตี๋ตงหมิงเห็นท่าไม่ดีจึงรักษาระยะห่างกับเสด็จอาเก้า จะได้ไม่ต้องโดนลูกหลง
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเย่เฉิงปฏิเสธในทันที “กระหม่อมได้พูดเรื่องพระราชบัญชาตั้งแต่ในตอนแรก แต่แม่นางเฟิ่งกลับบอกว่านางเชื่อฟังเฉพาะรับสั่งของเสด็จอาเก้าเท่านั้น ส่วนพระราชบัญชานางจะไม่ปฏิบัติตาม”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าฝ่าฝืนพระราชบัญชาเชียวหรือ” เสด็จอาเก้าทำเป็นรักษาความเที่ยงธรรมโดยการตำหนิเฟิ่งชิงเฉิน แต่ใครๆก็รู้ดีว่าเสด็จอาเก้ากำลังแอบช่วยนางอยู่
การที่เจ้าเมืองเย่เฉิงนำพระราชบัญชามาขอให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยเหลือ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ฮ่องเต้ไม่มีทางมาสนว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงจะเคยพูดเรื่องพระราชบัญชาหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็ต้องได้รับโทษเต็มๆ
เขาสามารถปกป้องชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินได้ แต่ไม่สามารถบิดเบือนความจริงที่ว่านางขัดพระราชบัญชา ที่ผ่านมาฮ่องเต้ก็ไม่โปรดเฟิ่งชิงเฉินอยู่แล้ว เรื่องนี้มีแต่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินเสียประโยชน์
ซุนซือสิงอยู่ฝั่งเฟิ่งชิงเฉิน เขาอยากช่วยนางพูดอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกนางคอยห้ามไว้ เมื่อได้ยินเสด็จอาเก้าตำหนิเฟิ่งชิงเฉิน ซุนซือสิงจึงหมดความอดทน เขาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าดุดัน ไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือร้อนใจประการใด
“เสด็จอาเก้า กระหม่อมอยู่กับท่านอาจารย์มาตลอด เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่เคยพูดเรื่องพระราชบัญชามาก่อนเลย เจ้าเมืองเย่เฉิงพูดเพ้อเจ้อ หมายจะให้ร้ายท่านอาจารย์พ่ะย่ะค่ะ” ซุนซือสิงกล่าวด้วยความหงุดหงิด เขากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ เพื่อแสดงว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้ เมื่อพูดจบเขาก็กำหมัดแน่น
“ซือสิง นั่งลง” เฟิ่งชิงเฉินทำเสียงดุใส่ซุนซือสิง แต่แท้ที่จริงแล้วนางกำลังปกป้องเขาอยู่ นี่เป็นความบาดหมางระหว่างนางกับเมืองเย่เฉิง ไม่ควรพาซุนซือสิงมาข้องเกี่ยว
“ท่านอาจารย์……” ซุนซือสิงหน้าสลด เขารู้สึกหดหู่ทั้งต่อตัวเองและต่อเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินทำสีหน้าอ่อนโยน “ซือสิง ไม่ต้องเป็นห่วงอาจารย์นะ อาจารย์ไม่ได้ขัดพระราชบัญชา เมื่อเสด็จอาเก้าทรงสอบสวนแน่ชัดแล้วก็จะมอบความเป็นธรรมให้กับอาจารย์เอง อาจารย์ไม่เป็นอะไรหรอก”
เมื่อปลอบโยนซุนซือสิงเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็หันไปกล่าวกับเจ้าเมืองเย่เฉิง “เจ้าเมืองเย่เฉิง ที่ท่านอ้างว่าชิงเฉินขัดพระราชบัญชา ท่านมีหลักฐานหรือไม่”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมตกเป็นเหยื่อใครง่ายๆ เจ้าเมืองเย่เฉิงรู้เรื่องนี้ดี เขาไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างใด แต่กลับชี้ไปที่ซากศพที่อยู่ตรงประตู “นั่นอย่างไรล่ะ หลักฐาน เฟิ่งชิงเฉินขัดพระราชบัญชา แถมยังสังหารคนคุ้มกันของกระหม่อม เฟิ่งชิงเฉินกล้าพูดหรือไม่ล่ะว่าเจ้าไม่ได้สังหารเขา?”
คนคุ้มกันที่นอนตาย เมื่อเสด็จอาเก้าเข้ามาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ใดเป็นคนฆ่า บาดแผลที่ไม่เหมือนใครเช่นนั้น นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำเช่นนั้นได้
“คนคุ้มกันผู้นี้หม่อมฉันเป็นคนสังหารเองเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินยอมรับอย่างมาดมั่น
ผู้ที่ฆ่าคนตายไม่ถึงกับต้องได้รับโทษประหาร สำหรับชนชั้นสูงแล้ว สิ่งที่ไร้ค่ามากที่สุดก็คือชีวิตของชาวบ้านและบ่าวไพร่
“เฟิ่งชิงเฉิน พยานวัตถุและพยานบุคคลล้วนมีพร้อม เจ้ายังมีสิ่งใดที่อยากพูดอีกหรือไม่?” เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องจนมุมแน่นอน
“ในเมื่อเจ้าเมืองเย่เฉิงหมายมั่นให้ชิงเฉินต้องโทษ ชิงเฉินก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีก เรื่องนี้ควรนำไปกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงตัดสิน หากเจ้าเมืองเย่เฉิงไม่พูดเรื่องศพ ชิงเฉินก็เกือบลืมไปว่าอาวุธของชิงเฉินยังอยู่ในร่างของศพเหล่านี้ วัตถุดังกล่าวเป็นของที่เสด็จอาเก้าทรงหามาประทานให้ชิงเฉินด้วยความยากลำบาก แต่ละชิ้นล้วนมีค่า หากไม่นำกลับมา ชิงเฉินคงเจ็บปวดไม่น้อยเลย”
เฟิ่งชิงเฉินหันหลังไปส่งยิ้มให้เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าพยักหน้า เป็นการเน้นย้ำว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพูดมาเป็นความจริง
การที่เสด็จอาเก้าช่วยยืนยันคำพูดเฟิ่งชิงเฉินทำให้นางพบเจอทางสะดวก หลังจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลเมื่อต้องถูกสอบสวน เพียงโยนทุกอย่างไปให้เสด็จอาเก้าก็สิ้นเรื่อง……
ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว!