นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 560 จงเปิดเผย ในตงหลิงไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 560 จงเปิดเผย ในตงหลิงไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้า
ซูหว่านคุกเข่า การคุกเข่าครั้งนี้ทำให้ความภาคภูมิใจของการเกิดมาเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ต้องถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี เป็นการสร้างความปวดร้าวให้กับตระกูลซู ความแค้นระหว่างเฟิ่งชิงเฉินกับตระกูลซูและเมืองเย่เฉิงในครานี้ นอกจากฟิ่งชิงเฉินจะตาย หรือตระกูลซูและเมืองเย่เฉิงจะสูญสิ้น ความแค้นนี้ก็คงไม่ยุติง่ายๆ
“คุณหนูซูหว่านช่างน้ำใจประเสริฐนัก ไม่เสียแรงที่ท่านเย่ยอมทุ่มเทกายใจให้กับท่าน ยอมเสียสละทำเพื่อท่านมากมาย ประเดี๋ยวชิงเฉินจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ จะรีบตามเจ้าเมืองเย่เฉิงและคุณหนูซูหว่านไปที่สวนจิงชิวโดยเร็วที่สุด เพื่อไปรักษาอาการของท่านเย่” เฟิ่งชิงเฉินทิ้งท้ายแล้วก็เดินจากไป โดยมิได้เชิญให้ซูหว่านลุกขึ้น ปล่อยให้ซูหว่านยังคุกเข่าอยู่ที่เดิม
ซูหว่านเคียดแค้นยิ่งนัก นางเองก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินได้ทิ้งความสงสัยไว้ในใจเจ้าเมืองเย่เฉิงมากมาย เจ้าเมืองเย่เฉิงจะต้องไปสืบให้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วเย่เย่ทุ่มเทให้ซูหว่านมากเพียงใด
หลังจากที่เจ้าเมืองเย่เฉิงได้เห็นสิ่งที่เย่เย่ทำให้กับซูหว่านแล้ว เขาก็ไม่ค่อยรู้สึกผิดต่อซูหว่านดังแต่ก่อน เป็นเพราะซูหว่าน เย่เย่จึงต้องนอนอาการปางตาย และเจ้าเมืองเย่เฉิงก็ต้องมาเสียหน้าต่อหน้านาง
แผนการของซูหว่านต้องสูญเปล่า เฟิ่งชิงเฉินจะต้องรักษาเย่เย่จนหายดี แล้วให้เย่เย่เป็นหนี้บุญคุณนางตลอดไป
เสด็จอาเก้ามองเฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปด้วยแววตาที่เบิกบาน
เฟิ่งชิงเฉินช่างใจกล้าจริงๆ เป็นคนที่ไม่เกรงกลัวเรื่องปวดหัวใดๆเลย!
ถึงแม้ว่าสามวันที่ผ่านมา เฟิ่งชิงเฉินจะมัวแต่สนใจจดหมายรักของเสด็จอาเก้าจนทำงานล่าช้า แต่นางก็ไม่ได้ถลําลึก เมื่อมีเรื่องสำคัญ นางก็พร้อมสวมจิตวิญญาณความเป็นหมอแล้วออกไปปฏิบัติหน้าที่
นางเตรียมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ หยูกยาที่จำเป็น และเครื่องแบบหมอที่สะอาดสะอ้าน เมื่อตรวจสอบสิ่งของเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็หิ้วกล่องปฏิบัติการเดินออกไปด้านนอก
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินถือกล่องมายังห้องโถงแล้ว ซูหว่านก็ไม่อยู่เสียแล้ว นางคงไม่อยากเจอหน้าใครสักระยะ หรือบางทีนางอาจมีปัญหา เพราะการคุกเข่าครั้งนี้ของซูหว่าน ได้นำหน้าตาตระกูลซูมาพ่วงด้วย ตระกูลซูคงต้องละทิ้งนางอย่างแน่นอน
สำหรับตระกูลซูแล้ว ชื่อเสียงและผลประโยชน์สำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อซูหว่านไม่สนใจทำเพื่อตระกูลซู ตระกูลซูก็ไม่จำเป็นต้องหนุนหลังซูหว่าน ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงบุตรสาวสุดที่รักของฮูหยินเอกก็ตาม
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถามหาซูหว่าน หลังจากที่นางทูลลาเสด็จอาเก้าแล้วก็ได้บอกกับซุนซือสิงว่า “ซือสิง เจ้าไปกับข้า อาการบาดเจ็บของท่านเย่ถือเป็นโอกาสดีให้เจ้าได้เรียนรู้”
เฟิ่งชิงเฉินใช้เย่เย่เป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน โดยไม่สนใจสีหน้าที่หม่นหมองของเจ้าเมืองเย่เฉิงเลย
“แม่นางเฟิ่ง ให้ข้าไปด้วยได้หรือเปล่า?” หยุนเซียวลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามอย่างเกรงใจ
“ถ้าข้าปฏิเสธ คุณชายหยุนก็จะไม่ไปใช่หรือไม่?” คนอย่างหยุนเซียวแม้จะรู้กาลเทศะ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังต้องรักษาระยะห่างกับเขาไว้
หยุนเซียวยอดเยี่ยมมากเกินไป ยอดเยี่ยมเสียจนไร้ที่ติ ถึงแม้ว่าจิ่นหลิงจะยอดเยี่ยมเหมือนกัน แต่จิ่นหลิงดูจริงใจ การแสดงออกทั้งภายนอกและภายในล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
แต่หยุนเซียว การแสดงออกของเขาไม่เหมือนสิ่งที่เขากำลังคิด
“หากแม่นางเฟิ่งไม่ยินยอม ข้าจะดึงดันได้อย่างไร” การไม่สร้างความลำบากใจให้สตรี ก็เป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติของสุภาพบุรุษ หยุนเซียวถือว่าทำได้ดีมาก แม้แต่สายตาก็อ่อนโยน ไม่ได้แสดงความขุ่นเคืองที่ถูกปฏิเสธแต่อย่างใด แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังสัมผัสได้ว่าหยุนเซียวรู้สึกไม่พอใจ
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะกล่าวอนุญาต เสด็จอาเก้าก็ส่งสายตามาบอกนางพอดีว่าให้หยุนเซียวตามไปด้วย
การปรากฏตัวของหยุนเซียวช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน แถมยังพยายามใกล้ชิดเฟิ่งชิงเฉิน หากจะบอกว่าหยุนเซียวไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
ในตอนแรก เสด็จอาเก้าก็นึกว่าหยุนเซียวมาที่นี่เพราะอาการป่วยของตัวเอง แต่ดูท่าทีของหยุนเซียวแล้วก็ไม่น่าจะใช่ แล้วอีกอย่าง……
อาการของหยุนเซียวไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทั่วๆไป เขาเป็นโรคทางสมอง ไม่มีผู้ใดกล้าทำการรักษา และไม่กล้าให้ผู้ใดรักษาด้วย
การสื่อสารระหว่างเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินไม่มีใครทันสังเกต ดังนั้นเมื่อเฟิ่งชิงเฉินอนุญาตให้หยุนเซียวไปกับนางแล้ว คนอื่นๆต่างเข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินเพียงอยากเพิ่มความอุ่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะนางเองก็ได้ให้ตี๋ตงหมิงไปกับนางด้วยเช่นกัน
ส่วนเสด็จอาเก้า สถานะของเขาไม่เหมาะที่จะไปที่สวนจิงชิว คนอย่างเย่เย่ไม่สมควรที่เขาจะลดตัวไปเยี่ยมไข้
ก่อนออกเดินทาง เสด็จอาเก้าก็ได้กล่าวเตือนเจ้าเมืองเย่เฉิงอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าเมืองเย่เฉิง เรื่องบางเรื่อง ยิ่งซ่อนเร้น ยิ่งเห็นชัด ข้าแนะนำว่าในช่วงที่ท่านพักอาศัยอยู่ในตงหลิง ขอให้ท่านคิดการให้ถ้วนถี่ คงรู้นะว่าข้าไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงนัก”
คำพูดเหล่านี้แม้จะเป็นการกล่าวเตือนเจ้าเมืองเย่เฉิง แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการกล่าวเตือนเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเจ้าเมืองเย่เฉิงตอบรับว่าได้ยินแล้ว เสด็จอาเก้าก็หันไปบอกกับเฟิ่งชิงเฉิน “เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังมีข้าอยู่ตรงนี้ ในตงหลิงไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าได้แน่”
คำพูดของเขาดูเหมือนจะเกินตัวไปหน่อย เพราะผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในตงหลิงก็คือฮ่องเต้ แต่ตอนนี้หาได้มีใครกล้าโต้แย้งกับเสด็จอาเก้า อย่างมากก็ได้แต่มองอะไรไปเรื่อยเปื่อย แสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “ขอบพระทัยเสด็จอาเก้า ชิงเฉินเข้าใจแล้วเพคะ”
เสด็จอาเก้าย้ำเตือนเฟิ่งชิงเฉิน ว่าการรักษาเย่เย่ไม่จำเป็นต้องจำกัดจำนวนคน ยิ่งซ่อนเร้น ยิ่งเห็นชัด สู้ทำอะไรต่อหน้าคนอื่นๆจะดีกว่า ถึงแม้จะมีข้อสงสัยตามมา แต่เราก็ได้ทำทุกอย่างอย่างเปิดเผย
ฝีมือทางการแพทย์ของนางไม่สามารถเก็บซ่อนได้ตลอดชีวิต นางจะค่อยๆแสดงมันออกมา
ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงจะขโมยไก่ไม่สำเร็จ แถมยังต้องเสียข้าวสารไปอีก 1 กำมือ แต่สุดท้ายก็เชิญตัวเฟิ่งชิงเฉินมาจนได้ อย่างน้อยเย่เย่ก็มีโอกาสรอดตายมากกว่าครึ่ง ขอเพียงให้เย่เย่หายดี เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีความหมาย
เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่เชื่อว่า ทุกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินประสบเหตุอันตราย แล้วเสด็จอาเก้าจะสามารถมาช่วยไว้ได้ทันท่วงที แล้วเขาก็ยิ่งไม่เชื่อว่า หากผนึกกำลังทั่วเย่เฉิงแล้ว จะไม่สามารถโค่นเฟิ่งชิงเฉินได้
ฮ่องเต้แห่งตงหลิงก็กำลังอยากร่วมมือกับเมืองเย่เฉิงอยู่นี่นา……ได้สิ ผลประโยชน์ใดๆเขาก็ไม่ปรารถนา นอกเหนือจากศีรษะเฟิ่งชิงเฉิน เขาเชื่อมั่นว่าฮ่องเต้แห่งตงหลิงจะยินดีให้ความร่วมมือกับเขาอย่างแน่นอน
ระหว่างทางไปสวนจิงชิว เจ้าเมืองเย่เฉิงก็คิดหาแผนการมาตลอด ว่าหลังจากเย่เย่หายดีแล้ว จะแก้แค้นเฟิ่งชิงเฉินอย่างไรดี ส่วนคำเตือนของเสด็จอาเก้า? หากเขาเก็บมันมาใส่ใจ ก็อย่าได้เรียกเขาว่าเจ้าเมืองเย่เฉิง ระหว่างเจ้าเมืองเย่เฉิงกับเสด็จอาแห่งตงหลิง ยศถาบรรดาศักดิ์ก็แทบไม่ต่างกัน ไยเขาจะต้องฟังคำพูดของคนที่มียศเพียงแค่เสด็จอา
ในขณะเดียวกัน ตี๋ตงหมิงและเฟิ่งชิงเฉินก็กำลังคุยกันเรื่องเมืองเย่เฉิงกับซูหว่าน
“ชิงเฉิน วันนี้เจ้าแก้ปัญหาได้ไม่น่ารักเลย มันดูล่อแหลมมากเกินไป ตอนนี้เจ้าบีบบังคับให้ซูหว่านมาคุกเข่า ก็เท่ากับว่าเป็นการบีบให้เมืองเย่เฉิงผนึกกองกำลังเพื่อมาเล่นงานเจ้า เมื่อใดที่เย่เย่หายดี เมื่อนั้นความซวยก็จะมาเยือนเจ้า เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ หลังจากที่เจ้าเดินออกไป ซูหว่านนางก็สลบลง ตอนที่นางถูกสาวใช้ประคองร่างขึ้นมา เข่าของนางก็เปื้อนเลือดทั้งสองข้าง” ตี๋ตงหมิงไม่เก่งเรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่
“ซูหว่านลงทุนไว้สูงมาก แผนการใช้ร่างกายของนางทำได้อย่างแนบเนียน ผู้หญิงที่บอบบาง ร้องไห้บีบน้ำตา เมื่อเจ็บตัวขึ้นมาก็เรียกร้องความสงสารได้ง่ายดาย แล้วตำแหน่งผู้หญิงใจบาปก็จะตกมาเป็นของข้า” เฟิ่งชิงเฉินนอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ยังมีกะจิตกะใจมาล้อเล่น
การกระทำของซูหว่านมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียก็เป็นดังเช่นที่ตี๋ตงหมิงกล่าวไว้ แต่ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉิน ข้อดีเหมือนจะมีมากกว่า
การคุกเข่าของซูหว่านในครั้งนี้ ก่อนอื่น นางได้เปิดเผยด้านมืดของตัวเองออกมา ไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้านาง แต่ยังเป็นการตบหน้าเย่เย่ด้วย ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด นางได้สูญเสียแรงสนับสนุนจากตระกูลซูแล้ว ตอนนี้นางจะต้องรักษาเย่เย่ผู้ที่เป็นต้นไม้ใหญ่ให้นางได้พักพิง เพื่อที่นางจะได้รักษาความรุ่งโรจน์ของชีวิตที่เหลืออยู่หลังจากนี้
มีซูหว่านคอยติดตามอยู่ข้างๆเย่เย่ แผนการที่เย่เย่จะร่วมมือกับซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานเพื่อมาต่อกรกับเสด็จอาเก้าก็จะยิ่งสำเร็จได้ยากขึ้น
หนานหลิงจิ่นฝานขายซูหว่านทิ้งไปแล้ว ทำให้ซูหว่านคับแค้นใจยิ่งนัก และเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง เย่เย่ก็ได้ฉุดซีหลิงเทียนเหล่ยให้จมน้ำ ความเหินห่างระหว่างคนทั้งสองคงไม่สามารถกำจัดออกไปได้
มีซูหว่านอยู่ด้วยแล้ว การที่เสด็จอาเก้าจะเล่นงานเย่เย่ก็จะง่ายยิ่งขึ้น ส่วนเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้น?
โลกนี้เป็นโลกของคนหนุ่มคนสาว คนที่อายุมากแล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ นางเชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะเป็นผู้กำหนดเอง……