นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 569 สหายเก่า เกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่แล้ว
หลังจากที่ สะสางปัญหาของเย่เย่ ทั้งยังทำการสั่งสอนซูหว่านไปอย่างโหดร้ายได้แล้วนั้น อารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ดียิ่งนัก จุดจบของซูหว่านจะเป็นเช่นไร หาใช่เรื่องที่น่าจะต้องไปวิตกกังวลไม่
การที่ซูหว่านลงมือทำเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นการปกป้องต่อเย่เย่ แต่นางก็จะถูกท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงรังเกียจอย่างแน่นอน เมื่อต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างสตรีที่ตนเองรักกับบิดาบังเกิดเกล้าของตนนั้น เย่เย่ย่อมต้องรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป เย่เย่ก็จะรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน
รวมไปถึงใบหน้าของซูหว่านที่ถูกทำลายนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่า เย่เย่จะตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกหรือไม่ หลังจากที่ใบหน้าของซูหว่านถูกทำลายจนเสียโฉมนั้น อารมณ์ของซูหว่านย่อมเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเย่เย่จะหลงรักซูหว่านมาเพียงใด ก็ต้องมีวันนึงที่รู้สึกอยากทิ้งนางเช่นกัน
เมื่อยุ่งวุ่นวายมาหนึ่งวันเต็มแล้ว ทั่วร่างของนางพลันรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก ในยามนี้ ท้องของนางพากันประท้องไม่หยุดไม่หย่อน แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินได้แต่เพียงฮัมเพลงเบา ๆ เดิมที่ทั้งหยุนเซียวและตี๋ตงหมิงที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ยิ่งพูดคุยกันเสียงก็ยิ่งเบาลง ท้ายที่สุด พวกเขาก็เปลี่ยนมาฟังเสียงฮัมเพลงของเฟิ่งชิงเฉินแทน
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินฮัมเพลงจนจบแล้ว หยุนเซียวจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “เฟิ่งชิงเฉิน นี่เป็นบทเพลงใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยฟังเลย”
แม้ว่าเขาจะไม่กล้าอ้างตนเองว่าเป็นผู้รอบรู้เรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดบนใต้หล้าที่หยุนเซียวผู้นี้จะรู้น้อยไปเช่นกัน วิธีการที่เฟิ่งชิงเฉินใช้ช่วยคนในวันนี้ ทั้งยังเครื่องมือแปลกประหลาดพวกนั้นอีก เขาล้วนแต่ไม่รู้จัก ไม่เว้นแม้แต่บทเพลงนี้ด้วยเช่นกัน
สิ่งใดที่เขาไม่เคยรู้ ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉินทั้งนั้น
“《สหายเก่าถอนใจ》” นับว่าเป็นบทเพลงที่รุ่นพี่ของนางชมชอบยิ่งนัก ไม่ว่านางจะฮัมเพลงนี้ทีไร ก็พาลให้ชวนนึกถึงสหายเก่าที่ไม่อาจพบหน้าได้อีกทุกครั้งไป อีกทั้ง นางยังนึกถึงคนที่มิใช่เพื่อนเก่าของนางอีกเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่มีเวลาไปสนใจสายตาของหยุนเซียวที่มองมา พร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นหันไปถามตี๋ตงหมิงแทน
“ตี๋ตงหมิง เจ้าได้รับข่าวจากจิ่นหลิงมาบ้างหรือไม่? เขาไปได้สามเดือนแล้ว ตกลงเขาไปจัดการเรื่องใดกันแน่ เหตุใดไปนานถึงเพียงนี้ก็ยังจัดการไม่เสร็จอีก”ช่วงนี้แม้ว่าทั้งหวังชีและเซี่ยซานจะมาหานาง แต่ก็หาได้มีผู้ใดพูดถึงเรื่องของหวังจิ่นหลิงไม่ นั่นทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกกังวลใจไม่น้อย
ถึงแม้ว่าจิ่นหลังจะฉลาดเฉลียวมากมาย แต่ทว่า จิ่นหลิงมิรู้จักวรยุทธ์ แม้จะมีองครักษ์คอยปกป้องคุ้มครอง แต่ทว่า หากเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นมา ก็นับว่าเสียเปรียบอยู่มากโข
หวังจิ่นหลิง คุณชายใหญ่ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า บุรุษที่บดบังความโด่งดังของหยุนเซียวทันทีในยามที่ไปปรากฏตัวที่ใด ยามที่หยุนเซียวได้ยินเสียงเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามถึงหวังจิ่นหลิงนั้น แววตาของเขาพลันครึ้มลงไปในทันที พร้อมทั้งเอียงหน้าไปอีกทาง พลางหูตั้งเพื่อฟังข่าวคราว
“ไม่มี ช่วงนี้ข้ายุ่งยิ่งนัก นานแล้วที่ข้าไม่ได้พบกับหวังชีเช่นกัน ข้าเองก็ไม่ได้รับข้อมูลของหวังจิ่นหลิงเลย หากเจ้าเป็นกังวลละก็ ไว้ข้าจะลองถามให้” ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวายยิ่งนัก ตี๋ตงหมิงเองก็แอบลืมเรื่องของหวังจิ่นหลิงไปเช่นกัน ภายในใจของตี๋ตงหมิงรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง
“อื้ม ลองถามดูหน่อยเถิด หวังจิ่นหลิงออกไปนอกเมืองนานแล้ว ข้าเป็นกังวลยิ่งนัก ทว่า การที่ไม่มีข่าวร้ายของจิ่นหลิง นั่นย่อมเป็นข่าวดีที่สุด” ความกังวลของเฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แต่ทว่า นางรู้สึกสบายใจได้ไม่นาน ยามที่เฟิ่งชิงเฉินมาถึงเรือนเล็กซีชวีนั้น ก็พลันเห็นหวังชีที่อยู่ในห้องโถง เดินไปเดินมาในทันที นางก็รู้สึกกังวลยิ่งนัก
หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันเต้นรัว พร้อมทั้งก้าวขาเขาไปอย่างรวดเร็ว”หวังจิ่นหาน เกิดสิ่งใดขึ้น?”
หวังจิ่นหานรับหันกลับมาในทันที พร้อมทั้งวิ่งมาอยู่ตรงหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน ยามที่กำลังจะเปิดปากพูดออกมานั้น พลันเห็นหยุนเซียวยืนอยู่เสียก่อน คำพูดพลันถูกกลืนลงคอไปในทันที พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้หยุนเซียวออกไป หยุนเซียวก็พอเข้าใจเรื่องราวได้ “ชิงเฉิน เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
“ขออภัยด้วย ที่ข้ามิได้ทำการต้อนรับท่านดี ๆ วันหน้าค่อยนัดกันร่ำสุราเถิด” เฟิ่งชิงเฉินก็หาได้มีกะจิตกะใจรั้งหยุนเซียวไว้เช่นกัน เมื่อเห็นท่าทางของหวังจิ่นหานแล้วนั้น ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
หลังจากที่หยุนเซียวเดินออกไปแล้วนั้น หวังชีก็พลันส่งสัญญาณให้ตี๋ตงหมิงไปตรวจสอบด้านนอก เพื่อดูว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแล้ว หวังชีจึงเปิดปากพูดออกมา “เฟิ่งชิงเฉิน เกิดเรื่องกับใหญ่ของข้าแล้ว!”
“จิ่นหลิง? เขาเป็นอันใดไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ได้รับบาดเจ็บหรือว่าเป็นอันใดไป?” เฟิ่งชิงเฉินพลันตื่นตระหนกยิ่งนัก ด้วยทักษะของแพทย์เช่นนาง ใช้เวลาเพียงไม่นาน นางก็ใจเย็นลงได้ในทันที พร้อมกับสอบถามเรื่องราวอย่างใจเย็น
หากมาหานางเช่นนี้ ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่ หากเป็นเรื่องบาดแผลละก็นับว่าดีอยู่ ขอเพียงแค่ยังมีลมหายใจ นางจะพยายามรักษาหวังจิ่นหลิงเอาไว้ให้ได้
“ไม่ใช่ พี่ใหญ่ของข้าหายตัวไปแล้ว เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่ข้าไม่ได้ข่าวของพี่ใหญ่อีกเลย ไม่ว่าจะส่งคนไปตามหาเช่นไร ท้ายที่สุด คนจากฝั่งเมืองชิงสุ่ยกล่าวว่า พี่ใหญ่ออกจากเมืองไปตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว”
หากได้รับบาดเจ็บละก็ นับว่าเขาก็ยังพอจัดการได้ จะต้องมาหาเฟิ่งชิงเฉินทำไมกัน ตระกูลหวังหาได้ขาดหมอฝีมือดีไม่
“หายไป? หาเจอหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ?” เฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนโง่ไม่ คำพูดของหวังจิ่นหานนั้น เพียงแค่พูดออกมา นางก็พอจะเดาเรื่องราวได้ในทันที
หากไม่มีผู้ใดมาสอดมือละก็ หวังจิ่นหลิงจะหายตัวไปได้อย่างไรกัน รอบกายของหวังจิ่นหลิงหาได้ขาดแคลนผู้เป็นวรยุทธ์ไม่
หวังชีได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ข้าหาไม่เจอ คนที่ข้าพอจะใช้การได้ มีจำกัดยิ่งนัก รู้แต่เพียงว่าสองเดือนก่อนหน้านั้น พี่ใหญ่ไปปรากฏตัวที่เมืองอี้สุ่ย หลังจากนั้นก็ไม่เห็นไปปรากฏตัวที่เมืองใดอีกเลย ครึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ข้าได้รับจดหมายของพี่ใหญว่าสบายดี พร้อมทั้งกล่าวว่าพบเจอปัญหาอะไรสักเล็กน้อย แต่ทว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งเดืนอก่อนหน้านั้น พี่ใหญ่ก็ส่งมาบอกว่า สบายดี หลังจากนั้น ผ่านไปอีกเดือนหนึ่งก็ไม่มีจดหมายพี่ใหญ่ติดต่อมาอีกเลย ข้ากังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่ยิ่งนัก สิบวันก่อน ข้าก็ส่งคนไปออกตามหาเช่นกัน พลันพบว่าเจอพี่ใหญ่อยู่ที่เมืองอี้สุ่ย หลังจากนั้น ก็ไม่พบที่เมืองใดอีก จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มีคนสงสัยว่า บางที่พี่ใหญ่อาจจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ ขึ้นเหนือ มิได้กลับมาที่เมืองหลวง และก็มิได้ไปเมืองชิงสุ่ย ทางเหนือล้วนแต่เป็นหุบเขาเสียส่วนใหญ่ ย่อมไม่มีเส้นทางไปแน่นอน ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่ขึ้นที่นั่น หากจะส่งคนไปตามหานั้น ก็เกรงว่าผู้อาวุโสในตระกูลจะล่วงรู้เข้า ในยามนี้ คนที่อยู่มือของข้าล้วนแต่ถูกจับตามองยิ่งนัก” หากมิเป็นเพราะเหตุนี้ เขาก็คงไม่ออกมาหาเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อลากให้นางมาร่วมมือด้วยหรอก
“จ้องคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า เพราะเหตุใดกัน? เกิดเรื่องภายในตระกูลหวังงั้นหรือ?เหตุใดผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้า ถึงไม่ให้เจ้าออกไปตามหาหวังจิ่นหลิง?” เฟิ่งชิงเฉินหาได้ตื่นตระหนกกับการหายตัวไปของหวังจิ่นหลิงไม่ นางเพียงอยากจะถามเรื่องราวให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าเรื่องพวกนี้อาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในบางครั้งข้อมูลพวกนี้ก็มีประโยชน์ยิ่งนัก
“ที่พี่ใหญ่ไปเมืองชิงสุ่ยนั้นเป็นบททดสอบของผู้ผู้นำตระกูลหวัง หากยังทำการทดสอบไม่สำเร็จ นอกจากคนในมือของพี่ใหญ่แล้วนั้น คนในตระกูลหวัง พี่ใหญ่ย่อมไม่อาจใช้การได้ ทั้งยังไม่ให้คนในตระกูลหวังให้การช่วยเหลืออีก
หากมีการพบว่าคนในตระกูลหวังลอบช่วยเหลือนั้น ผู้อาวุโสของตระกูลย่อมทำการตรวจสอบ หากพบเห็นว่าผู้ใดให้การช่วยเหลือจะทำการขับไล่ออกนอกตระกูลในทันที หากพบว่าเป็นการช่วยเหลือที่เป็นอันตราย ก็จะทำการไล่ออกจากการเป็นผู้นำตระกูล พร้อมทั้งทำการคัดเลือกผู้นำใหม่ในทันที พวกผู้อาวุโสที่บ้านในยามนี้จึงเอาแต่คอยสอดส่องไปมาไม่หยุด”
อะไรคือเป็นการแหกกฎของตระกูลกัน นี่มิใช่เป็นการส่งคนไปตายหรอกหรือ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่แอบกรนด่าคนในตระกูลหวัง”เรื่องการหายตัวไปของจิ่นหลิง ได้มีการบอกคนนอกหรือไม่”
หากว่ามีความผิดในการช่วยเหลือนั้น การให้เหตุผลในการทำสิ่งที่เลวร้ายนั้น ย่อมต้องส่งผลเสียมากกว่า หากว่าเรื่องการหายตัวไปของหวังจิ่นหลิงทางตระกูลหวังล่วงรู้เข้านั้น จะต้องมีคนฉวยโอกาสเหตุการณ์ในครานี้ เพื่อลอบฆ่าหวังจิ่นหลิงอย่างแน่นอน
“ในตอนนี้ ข้ายังไม่บอก วันพรุ่งนี้ก็คงไม่บอกเช่นกัน คนจับจ้องพี่ใหญ่เยอะมากถึงเพียงนั้น การเคลื่อนไหวของข้า ย่อมต้องทำแบบเงียบ ๆ หากเหล่าอาวุโสพวกนั้นรู้เข้า เกรงว่าอีกไม่พวกเขาย่อมรู้เรื่องเป็นแน่ ข้าเดาว่า วันพรุ่งตอนกลางคืน พวกเขาอาจจะได้ข่าวแล้วก็เป็นได้ แต่ทว่า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป เรื่องนี้เป็นความลับของตระกูลหวัง ย่อมไม่อาจให้คนนออกรู้ได้” เช่นนี้แล้ว หวังชีจึงได้รีบมาหาเฟิ่งชิงเฉิน
เดิมทีพี่ใหญ่ก็ตกอยู่ในอันตรายอยู่แล้ว หากเป็นคนในตระกูลวังที่สุมไฟเข้าไปอีก มิต้องพูดถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลที่ไม่มั่นคงเลย พี่ใหญ่จะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ นั่นก็นับว่าเป็นปัญหาเช่นกัน
“นั่นหมายความว่า พวกเราต้องรีบตามหาคนใช่หรือไม่ คืนนี้ต้องรีบออกเดินท่างได้แล้ว เช่นนี้ เราถึงจะก้าวนำหน้าพวกเขา” เพียงแค่คืนเดียว แม้ว่าเวลาอาจจะไม่สั้นไม่นาน แต่ทว่ามันเดิมพันไปด้วยชีวิตของหวังจิ่นหลิง
“ใช่” หวังชีพลันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างมีความหวัง สหายของพี่ใหญ่มีมากมายนัก หากว่านำเรื่องที่พี่ใหญ่หายตัวไป ไปบอกพวกเขา ย่อมต้องมีคนมากมายอยากยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน ทว่า
พวกเขาจะทำได้แต่เพียงแอบดำเนินการ หากข่าวลือเรื่องที่หวังจิ่นหลิงหายตัวไปถูกเปิดโปงขึ้นมานั้น หวังจิ่นหลิงย่อมต้องสูญเสียตำแหน่งผู้นำตระกูลไปอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ ยิ่งดีมากเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าเรื่องนี้ต้องแอบดำเนินการ การที่หวังชีมาหานาง ก็เป็นเพราะเขาเชื่อในตัวนาง “จิ่นหาน ในมือของเจ้า ยังมีคนที่ใช้การได้อยู่หรือไม่?”
“สักคนก็ไม่มี ข้าล้วนแต่ถูกพวกเขาจับตามอง แม้แต่ซู่ชินอ๋องเองก็ไม่ยอมให้ข้าไป ข้ามาที่นี่ พวกเขาถึงวางใจได้ เจ้าไม่เห็นว่านอกประตูมีองครักษ์เงางั้นหรือ?” หวังจิ่นหลิงพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น นับว่าโชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงนั่งรถม้าเข้ามาพร้อมกัน นับว่าโชคดีที่องครักษ์เงาไม่เห็นตี๋ตงหมิง มิเช่นนั้น พวกเขาคงไม่ให้เขารอเฟิ่งชิงอยู่ที่นี่เป็นแน่
“เจ้าหมายความวว่า ถ้าหากพวกเราไปตามหาหวังจิ่นหลิง แม้แต่คนของตี๋ตงหมิงก็ไม่อาจใช้การได้งั้หนรือ?” หากเป็นเช่นนี้ละก็ ย่อมลำบากยิ่งนัก
นางไม่มีคนพอที่จะใช้การได้มากนัก หรือว่าต้องไปยืมกำลังคนจากเสด็จอาเก้าดี?
ช่างเถอะ แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะยินยอม แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยปากขออยู่ดี แต่เดิมเสด็จอาเก้าก็ไม่ชอบที่นางกับหวังจิ่นหลิงสนิทกันอยู่แล้ว หากถามเขาเพื่อขอคนไปตามหาหวังจิ่นหลิงนั้น คงไม่พ้นสร้างความลำบากให้กับจิ่นหลิงเป็นแน่ อีกทั้งเสด็จอาเก้าก็จะพลอยอารมณ์ไม่ดีไปด้วย
“การจะใช้คนนั้น ก็ใช่ว่าจะใช้ไม่ได้ ทว่า ยิ่งคนมากยิ่งง่ายที่ข่าวจะหลุดออกไป หากว่าคนในความมืดรับรุ้ได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติละก็ ข่าวลือที่พี่ใหญ่หายตัวไปต้องถุกกระจายข่าวออกไปแน่ เช่นนี้ มันย่อมไม่เป็นผลดีต่อพวกเรา คนของซู่ชินอ๋องนั้น หากต้องการจะใช้การ ก็อาจจะต้องช้าไปเสียก้าวหนึ่ง” นั่นหมายความว่า ผู้ที่ไปตามหาจิ่นหลิงในยามนี้ได้ มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น
หวังชีพลันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้เหมือนเป็นการส่งเฟิ่งชิงเฉินไปสู่เส้นทางอันตราย แต่ในระยะเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้ เขาคิดถึงผุู้อื่นไม่ออกแล้วจริง ๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว จิ่นหานเจ้ากลับไปก่อนเถอะ อีกครึ่งชั่วยาม ข้าจะออกไปนอกเมือง” การที่นางออกไปนอกเมืองคนเดียวเช่นนี้ หาได้ดึงดูดความสนจผู้ใดไม่
อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า สตรีเพียงคนเดียวจะสามารถออกไปทำภารกิจได้
รอบดวงตาของจิ่นหานพลันแดงก่ำไปหมด พร้อมทั้งก้มโค้งคำนับเฟิ่งชิงเฉิน “ชิงเฉิน ข้าขอโทษ แล้วก็ขอบใจเจ้ามาก ๆ เจ้ามีพระคุณต่อพี่ใหญ่ ทั้งข้าและพี่ใหญ่ในชีวิตนี้จะไม่มีวันลืมบุญคุณของเจ้าอีกเลย”
เขาคิดมาโดยตลอดว่า พี่ใหญ่ช่างโง่เง่ายิ่งนัก เพียงเพราะเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินถึงได้เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ แต่ทว่า เมื่อมองเห็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินทำให้พี่ใหญ่ของเขาอย่างไม่ลังเลแล้วนั้น เขาถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วพี่ใหญ่หาได้โง่ไม่ การที่เราจะพบเจอสหายที่จริงใจในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ มันหาได้ยากจริง ๆ
“ไม่ต้องพูดขอบคุณข้าแล้ว เรื่องของจิ่นหลิงก็เป็นเรื่องของข้าเช่นกัน เจ้ารีบกลับไปเถอะ คล้อยหลัง ข้าจะให้ตี๋ตงหมิงค่อย ๆ แอบออกไปเช่นกัน ไม่ให้ผู้ใดเห็นได้” ค่ายกลของนางในเรือนนี้ทำได้ดีเป็นอย่างยิ่ง โดยปกติแล้ว ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านเข้ามาได้ง่ายดายนัก
“ได้ เช่นนั้นข้าไปก่อน เรื่องของพี่ใหญ่ข้าคงต้องฝากไว้ที่เจ้าแล้ว” สีหน้าของหวังจิ่นหานพลันรู้สึกผิดยิ่งนัก ถ้าหากไม่มีทางเลือกจริง ๆแล้วละก็ เขาก็ไม่อยากที่จะทิ้งสตรีที่อ่อนแอเช่นเฟิ่งชิงเฉินไปเหมือนกัน
ทักษะการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นยอดเยี่ยม อีกทั้งนางยังกล้าหาญยิ่งนัก แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า สตรีที่มิเคยออกไปนอกเมืองไกล ๆ นั้น จะสามารถใช้ชีวิตนอกเมืองได้ ทั้งยังจะสามารถหาพี่ใหญ่ของเขาพบอีกด้วย พร้อมทั้งพาพี่ใหญ่ของเขากลับมา