นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 575 ติดกับ เฟิ่งชิงเฉินก็มียามที่ถูกคนเล่นตัวใส่เช่นกัน
“เจ้าเป็นเจ้าของม้าจริงๆ หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเริ่มเซ็งแล้ว
สวรรค์ ม้าที่ตี๋ตงหมิงเตรียมให้นางกลับเป็นม้าที่ถูกขโมยมา กลับกลายเป็นว่ามาเจ้าของเข้าเสียกลางทาง นางก็ว่าแล้วว่าตี๋ตงหมิงจะหาม้าชั้นดีเช่นนี้มาได้อย่างไร ให้ตายเถอะ…
เฟิ่งชิงเฉินเซ็งจนแทบอยากร้องไห้ อย่างน้อยนางยังต้องเดินทางสามถึงสี่วัน ไม่มีม้าคงไม่ได้ ไม่ว่าชายผู้นี้จะเป็นเจ้าของม้าหรือไม่ก็ตาม นางต้องได้ม้าตัวนี้ไว้
เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางคุ้นเคยของม้ากับชายผู้นี้แล้วก็ไม่สงสัยอีกว่าเขาเป็นเจ้าของม้าหรือไม่ นางยอมรับว่ามีเทคนิคการฝึกม้าอยู่ แต่นางและม้าอยู่ด้วยกันมาเจ็ดวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางคุ้นเคยเช่นนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
“หากไม่ใช่ม้าของข้า เจ้าคิดว่ามันจะตามข้ามาอย่างเชื่อฟังได้อย่างไร” ชายผู้นั้นเอื้อมมือออกไป ม้าดำชางซานก็เลียมือเขา คนและม้าดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นภาพนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะแก้ตัวไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อมองชายผู้นั้นเปล่งประกายสง่าโดยไม่ได้ตั้งใจ เฟิ่งชิงเฉินไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายต้องเป็นยอดฝีมือ ไม่แน่ว่าเพียงแค่นางควักกระเป๋า อีกฝ่ายก็คงเห็นแล้ว
ใช้ไม้แข็งต้องไม่สำเร็จแน่ คงต้องใช้ไม้อ่อนเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินยอมรับผิดอย่างกล้าหาญ “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นม้าของเจ้า ม้าตัวนี้เพื่อนของข้าให้ข้ายืมมา ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องทำ”
เฟิ่งชิงเฉินหวังว่าชายผู้นี้จะเห็นแก่ที่นางไม่ได้ทรมานม้าและจะให้นางยืมม้าใช้สักหน่อย”
“เฮอะ… ม้าเป็นเพื่อนเจ้าที่ให้เจ้ายืม เจ้าก็หนีความเกี่ยวข้องไปไม่พ้น พวกเจ้าขโมยม้าของข้า อีกทั้งยังทรมานมัน ข้าหาเพื่อนของเจ้าไม่เจอก็จะใช้ชีวิตเจ้ามาชดใช้” บุรุษในอาภรณ์สีน้ำเงินไม่พูดต่อ เขายกดาบขึ้นแทงเข้าหาเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินเตรียมป้องกันตัวไว้แล้วและหลบอย่างไม่สะทกสะท้าน “นี่ มีอะไรก็พูดกันดีๆ อย่างลงไม้ลงมือเลย ข้าทรมานม้าของเจ้าที่ไหน มันไม่ได้ดีๆ อยู่หรอกหรือ” ตลอดทางมันกินดีกว่านางด้วยซ้ำ ยังจะเรียกว่าทรมานอีก หรือว่าม้าจะสู้คนมิได้จริงๆ?
“กีบเท้าของเสี่ยวไป๋ร้อนจี๋ ขนของมันมอมแมม สองตาแดงก่ำ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้พักดีๆ มาหลายวันแล้ว นี่ยังเรียกว่าดีๆ อีกหรือ เจ้าเปิดปากก็พูดโกหกแล้ว ชาวจิ่วโจวช่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย” เดิมทีเขาเพียงต้องการสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉินเล็กน้อย เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนี้ กระบวนท่าของเขาก็เปลี่ยนเป็นทิ่มแทงภายในพริบตา
“พวกเราชาวจิ่วโจว? แล้วเจ้าเป็นชาวอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินหลบอย่างทุลักทุเล ร่างกายของนางชะงักไป ไหล่ซ้ายของนางถูกกรีดเป็นทางยาว แรงฟันทำให้นางล้มลงกับพื้น
ซี๊ด… เฟิ่งชิงเฉินเจ็บปวดและยิ่งโมโห นางกำลังคิดว่าหากนางจะควักเงินออกมาในตอนนี้เขาจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ไฉนเลยจะคิดไปถึงว่าเขาจะหยุดมือและพูดอย่างใจกว้าง “ช่างเถอะ ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสตรี เสี่ยวไป๋ถูกขโมยก็ต้องโทษข้าเองที่ไม่ดูมันให้ดี”
ให้ตายเถอะ สวรรค์กำลังรังแกข้าอยู่ใช่ไหม
ยามที่นางไม่คิดจะปะทะกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยนางไป กว่านางจะตัดสินใจว่าจะหาโอกาสกำจัดอีกฝ่าย เขากลับปล่อยนางไปเสียอย่างนั้น
ใจกว้างบ้าบออะไร ทำไมไม่ใจกว้างให้เร็วกว่านี้ กลับต้องให้นางบาดเจ็บเสียก่อน
ตี๋ตงหมิงขโมยม้าของผู้อื่น นางผิด ดาบนี้นางจึงทนรับ
เฟิ่งชิงเฉินหน้าบูดบึ้ง นางกุมไหล่ซ้ายที่บาดเจ็บและลุกขึ้นยืนและพูดอย่างประนีประนอม “คุณชาย ฟันก็ฟันแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว ให้ข้ายืมม้าของท่านสองสามวันได้หรือไม่ ข้าจำเป็นต้องรีบใช้จริงๆ”
“เจ้ารีบแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า เสี่ยวไป๋ของข้าไม่ให้ใครยืม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนของเจ้าที่แต่ก่อนขโมยม้าของข้า” ชายผู้นั้นกัดไม่ปล่อย เห็นได้ชัดว่าเขาแค้นเรื่องที่ม้าถูกขโมยมาก นางก็เท่ากับว่าเขายอมรับว่าตนเองอ่อนแอทำให้แม้แต่ม้าก็ถูกคนอื่นขโมยไปได้
“ข้ารู้ว่าการที่เพื่อนของข้าขโมยม้านั้นไม่ถูกต้อง ข้าต้องขอโทษแทนเขาด้วย หากเจ้าต้องการไปแก้แค้นเขา ข้าจะไม่ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย ฟังจากคำพูดของคุณชายแล้ว คุณชายคงไม่ใช่ชาวจิ่วโจว เช่นนั้นการเดินทางในจิ่วโจวย่อมลำบากไม่น้อย หากท่านให้ข้ายืมม้า ข้าสามารถช่วยทำป้ายประจำตัวของชาวจิ่วโจวได้ จะได้สะดวกในการเดินทางในหลายแคว้น” เฟิ่งชิงเฉินอนุมานจากคำพูดของเขาและการที่พบเขาในที่รกร้างเช่นนี้ ชายผู้นี้ต้องไม่มีหนังสือเดินทางแน่ มิฉะนั้นคงไม่เอาแต่อยู่นอกเมือง
ส่วนสำเนียงนั้น? นางฟังออกเพียงสำเนียงปักกิ่งเท่านั้น สำเนียงอื่นนางฟังไม่ออก เพียงแต่เดาไปมั่วๆ เท่านั้น
“เจ้าพูดจริงหรือ?” เขาหวั่นไหวตามคาด
หากไม่มีหนังสือเดินทางและป้ายผ่านทางในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวนั้น เขาไม่มีทางเข้าเมืองได้เลย แม้เขาจะมีวิทยายุทธ์ไม่เลว แต่ก็คงไม่สามารถจะใช้กำลังผ่านเข้าเมืองทุกเมืองไปได้หรอกกระมัง
อีกอย่างเมื่อเขาเข้าเมืองไปแล้ว คนในเมืองพบว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าก็คงรีบแจ้งทางการ ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในความมืดเท่านั้น
แต่เขาที่มีจุดมุ่งหมายเดินทางมายังจิ่วโจวเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรม เขาจำเป็นต้องมีตัวตนและสิ่งที่ทำให้เขาสามารถเข้าเมืองได้อย่างเปิดเผย
“แน่นอนว่าจริง ท่านดูของในห่อผ้าของข้าสิ ด้านในมีหนังสือเดินทางและป้ายผ่านทางทุกแคว้น ท่านคงจะรู้ว่าหากผู้ที่ไม่ได้มีภูมิหลังที่ดีแล้วคงไม่มีทางมีสิ่งนี้แน่ ตอนนี้ข้าขอใช้ของสองสิ่งนี้มัดจำไว้ก่อน ท่านให้ม้า… เอ่อ ให้ข้ายืมตัวเสี่ยวไป๋ หลังจากนี้อีกยี่สิบวัน ข้าจะนำมันมาคืนท่านที่นี่และพาท่านเข้าเมือง ทำป้ายประจำตัวและป้ายผ่านทางให้ท่าน”
ส่วนที่ว่าชายผู้นี้เป็นใครมาจากไหนนั้น เฟิ่งชิงเฉินแสดงออกแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่นางของสนใจ หากเขาเป็นสายลับก็ให้ตี๋ตงหมิงจัดการ หากเป็นมือสังหาร… อย่างหลังนี้ก็จะยุ่งยากสักหน่อย
แต่ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ นางต้องการพาหนะ
“เฟิ่งชิงเฉิน? เจ้าเป็นชาวตงหลิง” ชายในชุดสีน้ำเงินใช้แรงแกะห่อผ้าของนางอยู่นานในที่สุดก็แกะออก เมื่อหาป้ายผ่านทางเจอแล้วก็พิจารณามันอย่างอดทน
“ใช่ ข้าเป็นชาวตงหลิง” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเชื่อนางแล้ว
เป็นไปตามคาด เพียงแค่อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายและแสดงความเป็นมิตรต่ออีกฝ่าย อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางทำให้นางต้องลำบากใจ เพียงแต่แผลนี้คงเปล่าประโยชน์เสียแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินมองบาดแผลที่ไหล่ซ้ายและยิ้มอย่างขมขื่น…
ชายในอาภรณ์สีน้ำเงินมีสีหน้าสงสัยและมองเฟิ่งชิงเฉินขึ้นลงอย่างประเมิน เมื่อแน่ใจว่านางไม่ได้คิดเล่นกลแต่อย่างใด ชายผู้นั้นก็ปิดป้ายผ่านทางลงและพูดอย่างจริงจัง “ตกลง ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง หากเจ้ากล้าหลอกข้า ข้าจะฆ่าเจ้าแน่ ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้หญิง แต่ว่า… ข้ารอเจ้าที่นี่ข้าไม่วางใจ พอดีข้าไม่มีอะไรทำพอดี เจ้าจะไปทำธุระอะไร ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“ไม่ได้ ธุระที่ข้าจะไปทำไม่สะดวกให้คนนอกรู้” เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
แม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นเจ้าของม้าดำชางซาน แต่ที่มาของเขานางก็ไม่รู้ หากเป็นการชักศึกเข้าบ้านต้องแย่แน่
“ข้าไม่สนใจเรื่องของเจ้า ข้าเพียงรับผิดชอบส่งเจ้าให้ถึงที่หมาย ข้าไม่วางใจมอบเสี่ยวไป๋ให้เจ้า เจ้าสามารถทำป้ายประจำตัวและหนังสือผ่านทางให้ข้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็คงทำให้ตัวเองได้อีกชุดเช่นกัน ของสิ่งนี้ทิ้งไว้กับข้าก็ไม่มีประโยชน์” บุรุษชุดน้ำเงินนั้นไม่ใช่ผู้ที่อ่อนต่อโลก กลับกันเขาฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง
“ไม่ได้… ข้าไม่สามารถพาเจ้าไปที่นั่นได้” เฟิ่งชิงเฉินดิ้นรนต่อต้าน การปรากฏตัวของชายผู้นี้เป็นเรื่องบังเอิญเกินไป อีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัด หากเขาเกิดเป็นมือสังหารขึ้นมาจะไม่กลายเป็นนางเดินทางสู่ความตายเองหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะพลอยลากหวังจิ่นหลิงลงนรกไปด้วย
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าจะพาเสี่ยวไป๋ไป เจ้าขวางข้าไว้ไม่ได้และอย่าได้เล่นตุกติก ข้ารู้ว่าเจ้ามีอาวุธลับซ่อนอยู่บนตัวเจ้า” เขาเหลือบมองนางอย่างตักเตือนไปยังส่วนที่เฟิ่งชิงเฉินซ่อนมือไว้
เฟิ่งชิงเฉินเงียบ… โชคดีที่นางไม่ได้ชักปืนออกมา การเล็งปืนใส่ยอดฝีมือนั้นเสี่ยงเกินไปแล้ว
ชายในชุดสีน้ำเงินพอใจมากกับการรู้จักประเมินสถานการณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาโยนห่อผ้าของเฟิ่งชิงเฉินทิ้งและจึงม้าดำชางซานไปและผิวปาก เหยี่ยวตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและบินวนไปมาบนท้องฟ้า จากนั้นก็ร่อนลงมาเกาะไหล่ของเขา…
“เหยี่ยว?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย
“อืม เหยี่ยวของข้า” ชายผู้นั้นไม่หันกลับมา ท่าทางไม่สะทกสะท้าน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นประกายเจิดจ้าจนน่ากลัว…
เขากำลังรอให้ผู้หญิงข้างหลังเขายอมรับข้อเสนอ!
ห้า…
สี่…
สาม…