นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 580 มักจะมีไม่กี่คนเหล่านั้นที่ต้องการให้ข้าตาย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 580 มักจะมีไม่กี่คนเหล่านั้นที่ต้องการให้ข้าตาย
มักจะมีคนไม่กี่คนเหล่านั้นที่ต้องการให้นางตาย! แต่นางไม่ยอมตาย
ผู้ที่คิดอยากให้นางตายรอดูไว้เถอะ ไม่ใช่พวกเขารอให้นางตาย แต่รอนางมีชีวิตกลับไปคิดบัญชีกับพวกเขาต่างหาก
เฟิ่งชิงเฉินแค่นเสียงและคลี่ชุดกันระเบิดที่อยู่ในมือพลางโยนชุดหนึ่งให้ฝู่หลิน “ไม่อยากตายก็ใส่มันซะ”
แม้ว่าฝู่หลินจะรู้สึกแปลก แต่ท่าทางเคร่งขรึมของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เขาไม่ถามอะไรไปมากกว่านี้และเลียนแบบการกระทำของเฟิ่งชิงเฉินถอดเสื้อนอกออกและใส่สิ่งของประหลาดนี้ไว้บนร่างกาย
เมื่อสวมชุดแปลกประหลาดไว้บนร่างกายแล้ว ฝู่หลินรู้สึกว่าทั้งตัวขยับไม่สะดวกและรู้สึกแปลกๆ อย่างที่สุด ตรงนี้ดึงลง ตรงนั้นดึงเข้า
แปลกประหลาดเสียจนทรมาน ฝู่หลินอยากดูว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นเหมือนเขาหรือไม่ แต่กลับเห็นว่าชุดประหลาดนี้สวมลงบนตัวของเฟิ่งชิงเฉินอย่างเหมาะเจาะพอดี นางดูเปลี่ยนไป
ชำนาญ เรียบง่ายและเท่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทหาร นางยืนอย่างสงบนิ่งราวกับหินผาในราตรีกาล มั่นคงและมากประสบการณ์ บนตัวนางแผ่ความแน่วแน่ไม่ยอมแพ้ออกมาทำให้ผู้คนเชื่อมั่นอย่างไม่อาจอธิบายได้
ฝู่หลินมองอย่างหลงใหล อย่างไรก็ไม่ยอมถอนสายตา เขามองเฟิ่งชิงเฉินจัดสิ่งประดับที่อยู่บนชุดประหลาดแล้วจึงลองทำดูบ้าง แต่ทว่า…
มือและเท้าที่งุ่มง่ามของเขาใช้ไม่ได้เลย ต่อมาเฟิ่งชิงเฉินทนมองไม่ไหวจึงได้ตีมือเขาและช่วยเขาจัดชุดให้เรียบร้อย เพื่อที่จะไม่ให้เขาเป็นตัวถ่วงในขั้นตอนต่อไปของนาง
ฝู่หลินดูเหมือนจะว่าง่าย แต่แท้จริงแล้วเขามีนิสัยถือตัว นอกจากสาวใช้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดแล้ว เขาไม่ชอบเข้าใกล้ใคร แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามเมื่อเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาใกล้เขา เขากลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
บนตัวเฟิ่งชิงเฉินราวกับมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนคล้อยตามนางไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ยามเมื่อนางช่วยเขาจัดเสื้อผ้า เขาไม่รู้สึกถึงความรักละมุนละไมอันใด มีแต่เพียงความปลอดภัยเท่านั้น
เมื่อจัดชุดกันระเบิดเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็หยิบกรงเล็บเสือบินที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา “ฝู่หลิน เหยี่ยวของเจ้าฟังคำพูดเจ้าออกใช่หรือไม่?”
“ใช่” ฝู่หลินพอใจกับชุดกันระเบิดที่ถูกจัดเรียบร้อยแล้วมาก แม้ชุดนี้จะแปลกประหลาด แต่เมื่อสวมใส่แล้วกลับทำให้คนยิ่งดูดี เขาไม่อยากถอดเสียแล้ว
“ให้มันนำปลายเชือกอีกด้านหนึ่งไปผูกที่อาคารข้างนอกได้หรือไม่ เอาที่สูงๆ หน่อยและยังต้องสามารถรับน้ำหนักของคนสองคนได้ด้วย” เฟิ่งชิงเฉินหยิบตะขอออกมาเกี่ยวไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง
เฟิ่งชิงเฉินดึงเชือกเล็กน้อย เมื่อมั่นใจว่าเกี่ยวไว้ดีแล้วก็กดปุ่มที่เอว เมื่อเห็นเชือกหดตัวทั้งร่างของเฟิ่งชิงเฉินก็พุ่งไปข้างหน้า เฟิ่งชิงเฉินดึงฝู่หลินไว้ ฝู่หลินไม่รู้เรื่องจึงรีบทำใจให้สงบและถอยไปข้างหลัง…
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น กิ่งไม้หักลงตะขอหลุดออกกลับมาที่เอวของเฟิ่งชิงเฉิน หากไม่ใช่ฝู่หลินที่มีปฏิกิริยารวดเร็วจะต้องถูกเกี่ยวจนบาดเจ็บแน่
“สิ่งนี้คืออะไร?” เอาเถอะ ฝู่หลินยอมรับว่าเขาอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งของประหลาดของเฟิ่งชิงเฉิน
“ของเล็กๆ น้อยๆ ใช้ป้องกันตัวตอนออกจากบ้านเท่านั้นแหละ เจ้าคิดว่าหญิงสาวอ่อนแอเช่นข้าเดินทางตามลำพังจะไม่มีการเตรียมตัวเลยหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินทำท่าราวกับเขาไร้เดียงสาเสียเต็มประดา
“หญิงอ่อนแอ? หากเจ้าเป็นหญิงอ่อนแอ บุรุษทั่วหล้าก็คงไม่ต้องมีชีวิตอยู่กันแล้ว” ฝู่หลินไม่อยากยอมรับว่าสตรีเช่นเฟิ่งชิงเฉินนั้น แม้ไม่มีวิทยายุทธ์ แต่การป้องกันตัวของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
“เดิมข้าก็เป็นเพียงสตรีอ่อนแอ กำลังหรือร่างกายก็เหมือนๆ กับพวกนาง เอาล่ะ เริ่มเถอะ กลิ่นน้ำมันฉุนเช่นนี้ หากยังไม่เริ่มอีก พวกเราก็คงออกไปไม่ได้แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำเรื่องความแตกต่างระหว่างชายหญิงกับฝู่หลินและบอกให้เขาหาช่องทางออกไป
แม้จะบอกว่ารอบด้านสี่ทิศล้วนรายล้อมไปด้วยศัตรู แต่ก็มีจุดที่ส่งผลดีและผลร้ายต่อการหลบหนี พวกเขาต้องเลือกจุดที่จะนำตะขอไปเกี่ยวและยังสามารถหลบพ้นจากสายตาของพวกมัน ดีที่สุดคือสามารถออกไปจากเมืองได้ หากถูกขังอยู่ในเมือง พวกนางไม่มีทางรอด
งานี้ย่อมเป็นหน้าที่ของราชันผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องนภา ใต้เท้านกเหยี่ยว เมื่อมันได้รับคำสั่งจากฝู่หลินแล้วก็บินวนอยู่บนฟ้ารอบหนึ่ง จากนั้นก็บินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เฟิ่งชิงเฉินและฝู่หลินตามไปยังทิศนั้นอย่างไม่มีความลังเลใดๆ
ต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ไกลหรือยากจนเพียงใด จวนที่พักอาศัยของขุนนางย่อมไม่แย่นัก จวนเ้าเมืองแห่งนี้ใหญ่เกินไป เฟิ่งชิงเฉินและฝู่หลินยังวิ่งไปไม่ถึงมุมตะวันตกเสียงใต้ก็มีเสียงตูมดังขึ้น… เจ้าเมืองออกคำสั่งให้จุดไฟ!
ธนูไฟราวกับฝนดาวตก มันพุ่งแหวกผ่านความมืดยามราตรีและตกลงบนพื้น น้ำมันและไฟปะทะกันแป๊บเดียวไฟก็ลุก เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นหลายเมตรในชั่วพริบตา จวนเจ้าเมืองเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ไม่มีทางไหนที่ไปต่อได้
ไฟ ไฟลุกโชนขึ้นมา ทำให้เฟิ่งชิงเฉินคิดไปถึงจวนเฟิ่งที่ถูกเผา แสงสีเพลิงสะท้อนบนใบหน้าของนางเป็นสีแดงและสะท้อนน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาของนาง
“แค่กๆ …” ฝู่หลินสำลักควัน เมื่อหันกลับไปเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขาก็ถอยกลับไปลากนางวิ่งไปด้วยกัน
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ตอนนี้ยังเหม่อลอยได้อีก ไม่อยากอยู่แล้วหรือไง” ในที่สุดก็ถึงตาเขาสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉินบ้าง ฝู่หลินพบว่าความรู้สึกนี้ช่างดียิ่งนัก
“ข้ากำลังดูทิศทางลม” เฟิ่งชิงเฉินสะบัดมือของฝู่หลินออก ในช่วงคาบเกี่ยวกับความเป็นตายต้องพยายามไม่เป็นตัวถ่วงของทีม หากไม่ไหวแล้วจึงค่อยพึ่งพาคนอื่น
เฟิ่งชิงเฉินสะพายห่อผ้าและพุ่งทะยานไปข้างหน้า
“ทิศทางลม? วันนี้มีลมหรือ?” ถึงคราวฝู่หลินงงบ้างแล้ว
“เจ้าโง่ ก็เป็นเพราะว่าไม่มีลม พวกเราจึงมีหนทางรอด หากลมพัด ไฟคงก็จะโหมหนัยิ่งกว่านี้” ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเฟิ่งชิงเฉิน ไม่พอใจอะไรก็พูดออกมาตรงนั้นเลย นางเตะขาฝู่หลินเป็นสัญญาณให้ตามมา
ร่างที่สวมชุดกันระเบิดกับชุดโบราณทั้งสองวิ่งผ่านเปลวไฟ ภาพนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง โชคดีที่เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำจึงไม่มีผู้ใดเห็น
ยามที่พวกเขามาถึงมุมตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตรงนั้นก็ถูกเปลวเพลิงกลืนกินและไม่มีทางให้ไปต่อได้
“ให้เหยี่ยวของเจ้าเกี่ยวตะขอให้ดี” เฟิ่งชิงเฉินยื่นจะขอให้ฝู่หลิน
ในความเป็นจริงแล้ว หากติดตั้งกลงเล็บเสือบินไว้ที่ตัวฝู่หลินจะดีกว่ามาก ให้เขาเป็นคนพานางไป แต่ทว่า…
ยังคงเป็นประโยคนั้น แม้ว่าฝู่หลินจะไม่ได้ทิ้งนางหนีไปคนเดียว นางก็ยังคงไม่วางใจที่จะของที่กำหนดความเป็นตายให้อยู่ในมือคนอื่น หากไม่มีกรงเล็บเสือบินแล้วฝู่หลินเกิดทิ้งนางในยามสำคัญ นางคงจะต้องถูกเผาจนตายทั้งเป็น
“ตกลง” ฝู่หลินรีบผิวปาก เหยี่ยวบินถลาลงมา
ในความมืด สีของเหยี่ยวและสีแห่งราตรีหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวบวกกับที่มันรู้จักพรางตัว คนปกติจึงมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ไฟกำลังลุกไหม้ย้อมครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าจนเป็นสีแดง เมื่อเหยี่ยวปรากฏตัวขึ้น ผู้ที่ล้อมอยู่ก็มองเห็นทันที
“เหยี่ยว มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินเข้าไป ทุกคนระวังตัว สองคนที่อยู่ในนั้นยังไม่ตาย ยิงธนู ยิงไปทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ยิงเหยี่ยวนั่นเสีย สองคนนั้นต้องอยู่ที่นั่น”
ด้านนอก ขุนนางทหารของเมืองอี้สุ่ยออกคำสั่งเสียงดัง
ก่อนสบายย่อมลำบากมาก่อน พวกเขายืนอยู่แล้วและต้องการขจัดตัวปัญหาให้สิ้นซาก
“ฟิ้วๆๆ …” ลูกธนูคมปลาบพุ่งแหวกอากาศผ่านกองเพลิงไปยังทิศที่เฟิ่งชิงเฉินและฝู่หลินอยู่
พวกเขารู้แต่แรกแล้วว่าการปรากฏตัวของนกเหยี่ยวจะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงหลบอย่างดี ลูกธนูไม่โดนพวกเขาแม้แต่น้อย แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ถูกจำกัดพื้นที่จนไม่อาจทำอะไรได้ ทั้งสองหลบอยู่ในมุม เหงื่อบนใบหน้าไหลย้อย แสงไฟจากกองเพลิงยิ่งทำให้สภาพอันน่าอดสูของทั้งสองเด่นชัดขึ้น
“เสี่ยวฮุยฮุย ทั้งหมดต้องฝากเจ้าแล้ว เจ้าระวังตัวด้วย” ฝู่หลินเหลือบมองด้านนอกเล็กน้อยและอาศัยยามที่พลธนูผลัดคนปล่อยเสี่ยวฮุยฮุยออกไป ปล่อยเสี่ยวฮุยฮุยออกไปราวกับกำลังเล่นว่าว ปลายเชือกที่ใช้ควบคุมอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน
เสี่ยวฮุยฮุยบินได้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตะขอและเชือกยาวปรากฏขึ้นในสายตาของทั้งสองคน ราวกับกำลังเล่นว่าว ปลายเชือกที่ใช้ควบคุมอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินค่อยๆ ปล่อยเชือกก็คิดถึงอันตรายที่จะต้องเผชิญยามเมื่อออกไปได้ ในเวลานี้ฝู่หลินกลับนึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…