นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 582 ชิงเฉิน ได้ยินเสียงเจ้าก่อนตายนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
หลังจากหนีออกจากเมืองอี้สุ่ยมาได้นั้น เฟิ่งชิงเฉินกับฝู่หลินก็มุ่งหน้าตรงมายังทางเหนือในทันที ระหว่างทางนั้น หาได้พบเจอมนุษย์สักคนไม่ พวกเขาหวังว่าจะพบยานพาหนะในการใช้เดินทางบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง ทั้งสองคนจึงได้แต่พึ่งพาขาทั้งสองข้างของตนเอง เมื่อเดินทางผ่านมาได้ถึงสองวันนั้น ขาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงเฉิน ล้วนแต่เต็มไปด้วยแผลพุพองมากมาย
เมื่อเจอเพียงหนองน้ำเล็ก ๆ นั้น หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินชำระล้างทำความสะอาดเสร็จแล้ว นางก็ถอดรองเท้าของตนเองออกมา พร้อมกับเจาะไปที่ตุ่มแผลพุพองพวกนั้น แล้วจึงใส่ยาลงไป แล้วจึงนำผ้าพันแผลที่สะอาด ๆ มาพันเอาไว้ พร้อมทั้งสวมรองเท้ากลับเข้าไปเช่นเดิม เสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
เมื่อเห็นสภาพเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าฝู่หลินคงมีแผลพุพองมากกว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นแน่ ทว่า ฝู่หลินก็มิกล้าบอกว่าให้พักผ่อนหรือเดินทางให้ช้าลง
เขาที่เป็นถึงชายชาตรี จะสู้สตรีที่อ่อนแอและหยิ่งทระนงเช่นเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เชียวหรือ
หลังออกมาจากเมืองอี้สุ่ยนั้น เฟิ่งชิงเฉินแลดูจะเงียบขรึมมากกว่าเดิมยิ่งนัก บางครั้งบางครา นางก็มักจะเหม่อลอย ฝู่หลินพอจะเดาได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังกังวลว่าจะมีคนมาลอบฆ่าพวกเขาเอาได้ แม้แต่ในยามราตรี พวกเขาทั้งสองก็มิกล้านอนหลับสนิทเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยามตลอด พร้อมกับเร่งเดินทางต่อไม่หยุด
หลังจากเร่งเดินทางมาหลายวัน ในที่สุดช่วงเช้าของวันที่สาม พวกเขาก็มาถึงหุบเขาไท่ลู่เก๋อเสียที ทว่า นั่นมิได้หมายความว่า พวกเขาจะสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้ กลับกัน การที่พวกเขาเดินทางมาถึงหุบเขาไท่ลู่เก๋อแล้วนั้น มันเป็นการบอกว่า พวกเขาควรจะเริ่มลงมือทำภารกิจของตัวเองเสียที
เฟิ่งชิงเฉินมิได้มีท่าทีรีบร้อนที่จะรีบลงไปในหุบเขาในทันที ทว่า นางเดินตามหาจุดที่สูงที่สุด เพื่อที่จะปีนขึ้นไปแทน นางเตรียมตัวโดยการเดินดูสภาพแวดล้อมของหุบเขาไท่ลู่เก๋อเป็นอย่างแรก
ถึงแม้ว่าจะมีเหยี่ยวที่คอยบินดูสภาพแวดล้อมให้ แต่เหยี่ยวไม่อาจพูดคุยได้ พวกมันย่อมไม่อาจอธิบายสภาพแวดล้อมของหุบเขาไท่ลู่เก๋อให้นางฟังได้เช่นกัน
ลักษณะของหุบเขาไท่ลู่เก๋อนั้น เป็นภูเขาสูงตระหง่านขนาดใหญ่ ที่มีความแข็งแรงยิ่งนัก หุบเขาทั้งหลายต่างมีความอันตรายและมีความลาดชันเป็นอย่างมาก ทางเดินต่าง ๆ คล้ายจะเป็นแนวเส้นตรงเลยทีเดียว
ความกว้างและความลึกของหุบเขาต่าง ๆ แทบจะเหมือนกันทั้งหมด ด้านล่างของหุบเขามีแม่น้ำล้อมรอบ หุบเหวต่าง ๆ ช่างดูน่าหวาดเสียวยิ่งนัก ทำเอาผู้คนไม่กล้ามองลงไป เฟิ่งชิงเฉินมองดูความลึกของหุบเขาด้วยท่าทีที่แน่นิ่ง แม้แต่หุบเขาที่เตี้ยที่สุด ก็ยังมีความลึกถึงสามร้อยห้าสิบเมตร การที่จะไต่ลงไปได้นั้น หาใช่เรื่องง่าย ๆ ไม่
เหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้าได้ครึ่งวันแล้วนั้น ก็พลันบินลงมาหยุดอยู่บนมือของฝู่หลินในทันที พร้อมทั้งหันไปกระพริบตามองที่ฝู่หลิน
“เฟิ่งชิงเฉิน เสี่ยวฮุยฮุยบอกว่าไม่เห็นมีมนุษย์อยู่เลย ทั้งยังมองไม่เห็นเส้นทางอีกด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่า คนที่เจ้าตามหาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขาตกลงไป ย่อมมีความเป็นไปได้ถึงเก้าส่วน ที่เขาอาจจะไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว” ฝู่หลินพูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
เฟิ่งชิงเฉินพลันหันไปถลึงตาใส่ฝู่หลินในทันที “เขาจะไม่ตาย”
พูดจบ พลันเดินไปยังหุบเขาที่เตี้ยที่สุด พร้อมทั้งเตรียมตัวปีนลงไปในทันที หากไม่มีทางไป นางก็จะใช้ขาเดินลงไปเอง ขอเพียงแค่เดินลงไปได้ มันย่อมต้องมีหนทางอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน หากว่าหุบเขาไท่ลู่เก๋อไม่มีหนทาง เช่นนั้น นางจะเป็นคนทำให้มันมีทางลงไปด้วยตนเอง
ฝู่หลินและเสี่ยวฮุยฮุยพลันสบตากันอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เดินตามหลังเฟิ่งชิงเฉินมา “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะลงไปด้านล่างนั่น? ดูอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางลงไปได้”
“ข้าย่อมมีหนทางของข้า” เฟิ่งชิงเฉินพลันยกเป้ขึ้นมาด้านหน้า พร้อมกับหยิบอุปกรณ์ที่ใช้ปีนหน้าผาออกมาในทันที
“เจ้าเตรียมตัวพร้อมมากจริง ๆ ” ฝู่หลินที่ตกตะลึงอยู่ พลันเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้งออกมา ด้วยสีหน้าที่รู้สึกชื่นชม
สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินหยิบออกมานั้น หาใช่เครื่องมือที่แปลกประหลาดไม่ ทว่า เครื่องมือที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉินนั้น กลับดูให้ความลึกลับซับซ้อนมากกว่า
“ข้ามาเพื่อช่วยชีวิตคน หากมิได้เตรียมตัวมาให้พร้อม นั่นถือว่าเป็นการทำร้ายตนเอง” เมื่อครั้งที่ฝู่หลินบอกว่า การที่หวังจิ่นหลิงตกลงไปนั้น เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงมิได้ทำตัวมีมารยาทต่อฝู่หลินอีกต่อไป
หลังจากจับตะขอกรงเหล็กไปยึดอย่างมั่นคงแล้วนั้น เมื่อลองตรวจสอบดูความแข็งแรงของแล้วว่า อย่างไรมันก็ไม่มีทางหลุดแน่ ๆ เฟิ่งชิงเฉินจึงสะพายเป้ปิดซิบให้แน่น พร้อมกับรัดหัวเข็มขัดของตนเองให้เข้าที่ดี ๆ แล้วจึงดึงเชือกตามมา เพื่อไปยืนอยู่ริมขอบหน้าผา “ฝู่หลินข้าจะลงไปข้างล่าง เจ้าล่ะ?”
“ข้าจะช่วยเฝ้ายามให้เจ้าที่นี่ ให้เสี่ยวฮุยฮุยคอยสอดส่องดูคนให้เจ้า” ฝู่หลินพลันกวักมือเรียกเหยี่ยวมาที่นี่ จากนั้นก็ทำสัญลักษณ์มืออีกสองสามกระบวนท่า เจ้าเหยี่ยวพลันพยักหน้าลงสองสามที แล้วจึงหันไปมองหน้าเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมกับเบือนหน้าหนีนางด้วยท่าทางรังเกียจ
การที่ฝู่หลินไม่ยินยอมลงไปด้วยนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้โมโหไม่ แต่แรกฝู่หลินก็มิได้รับปากว่าจะช่วยนางตามหาคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงหยิบอาหารแห้งและน้ำออกมาจากกระเป๋าเป้
“ข้าไม่แน่ใจว่าตนเองจะอยู่ด้านล่างกี่วัน ข้าเหลืออาหารและน้ำให้เจ้าเพียงแค่สามวัน หลังจากผ่านสามวันไปแล้ว หากข้ายังไม่ขึ้นมาอีก เจ้าก็ไม่ต้องรอข้า”
เฟิ่งชิงเฉินชินชากับการที่โดนเหยี่ยวรังเกียจนางแล้ว ฉะนั้น นางจึงหาได้มีอารมณ์อันใดไม่ เมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างปลอดภัยดีแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ทำสัญญาณมือว่านางจะลงไปแล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไต่ตามหน้าผาลงไปในทันที
ด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉินพลันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ปีนหน้าผามากมาย ยามที่นางไต่ลงไปนั้น ก็จะสามารถเห็นได้เลยว่า นางกำลังนำตะขอที่อยู่ด้านหลังกระเป๋ามายึดเข้ากับช่องว่างระหว่างภูเขา แล้วจึงไต่ลงไปเรื่อย ๆ
วิธีการไต่เขาของเฟิ่งชิงเฉินนั้น หาได้แปลกประหลาดไม่ ทั่วแดนทั้งเก้ามีผู้คนมากมายใช้วิธีเช่นนี้เช่นกัน ในราชสำนักยังมีบันไดเมฆที่ใช้สำหรับการปีนลงเขาโดยเฉพาะอีกด้วย แต่ทว่า อุปกรณ์เหล่านั้น ยากที่จะพกพาไปมายิ่งนัก เมื่อฝู่หลินมองดูเฟิ่งชิงเฉินไม่นาน ก็รู้สึกหมดความสนใจ เขาจึงใช้แขนทั้งสองข้างหนุนหัวตนเอง แล้วจึงเอนหลังพิงกับก้อนหินเพื่อพักผ่อน พร้อมทั้งมองไปยังท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆสีขาวที่ลอยไปมาอย่างสบายอารมณ์
ท่านปู่กล่าวว่า หากมิมีตระกูลหลานและตระกูลเฟิ่งอยู่ในแดนทั้งเก้าแล้วไซร้ ท้องฟ้าจะมีสีคราม เมฆหมอกจะมีสีขาว เหตุใดเขาถึงมองไม่ค่อยเข้าใจกัน?
ฝู่หลินที่กำลังเบื่อหน่ายพลันเบ้ปากลง แล้วจึงนอนหลับตาเพื่อพักผ่อนในทันที
ทั้งตระกูลหลานและะตระกูลเฟิ่งต่างก็ตกตายไปกันหมดแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาอีก
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินลงมาจนถึงด้านล่างแล้วนั้น นางพลันรู้สึกลังเลไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำอุปกรณ์ปีนหน้าผาวางไว้บนพื้นดิน
ถ้าหากฝู่หลินมาที่นี่เพื่อฆ่าหวังจิ่นหลิงละก็ เขาย่อมต้องลงมาพร้อมกับนาง หลังจากที่ได้ใกล้ชิดเขามาเป็นเวลาหลายวันนั้น ฝู่หลินรู้ดีว่าบนตัวนางมีสิ่งของแปลก ๆ มากมายเพียงใด เพราะสิ่งของพวกนี้ ฝู่หลินย่อมไม่ยอมลงมือง่าย ๆ เป็นแน่
ด้านล่างของหุบเขา ทั้งลึกและมีเส้นทางที่เล็กแคบยิ่งนัก ไม่ว่านางจะมองไปที่ใด ล้วนมีแต่หินก้อนเล็กก้อนน้อยเต็มไปหมด หาได้มีเส้นทางให้นางเดินไปไม่ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินทดลองเดินลงไปได้สองก้าว ขาของนางก็พลันลื่นตกลงไปในทันที
นับว่าโชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินได้มีการเตรียมตัวเอาไว้ ยามที่นางตกลงไปจึงมิได้รับบาดเจ็บมากนัก เมื่อเฟิ่งชิงเฉินปีนขึ้นมาอีกครั้ง ก็อดมิได้ที่จะลูบคลำไปยังก้นของตนเองที่ได้รับความเจ็บปวด แล้วจึงเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมา พร้อมกับหยิบชุดเกราะของทหารออกมาด้วย หลังจากที่นางสวมใส่จนเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางต่อในทันที
เสี่ยวฮุยฮุยที่ได้รับคำสั่งของฝู่หลินนั้น ก็บินวนรอบเฟิ่งชิงเฉินอยู่บนฟากฟ้า เพื่อช่วยเฟิ่งชิงเฉินมองหาหวังจิ่นหลิงที่ตกลงไป
“หวัง จิ่น หลิง หลิงหลิงหลิงหลิง”
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินเดินมาได้หนึ่งชั่วยามแล้วนั้น ก็พลันพบว่าวิธีการนี้ดูโง่เง่ายิ่งนัก แม้ว่านางจะตะโกนออกมาเพื่อให้หวังจิ่นหลิงได้ยินนั้น แต่รอบด้านที่เต็มไปด้วยหุบเขาลึกเช่นนี้ เพียงแค่นางตะโกนเพียงครั้งเดียว ย่อมเกิดเสียงสะท้อนกลับมาหลายครั้ง ทั่วทั้งหุบเขาในยามนี้ จึงเต็มไปด้วยเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน
“หวัง จิ่น หลิง” เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ร้องตะโกนตั้งแต่เช้า จนใกล้ถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน นางตะโกนเสียจนน้ำเสียงแหบแห้งแทบจะไม่มีแรงเอ่ยอันใดออกมาอีกแล้ว ก็พลันพบกับแอ่งน้ำน้อย ๆ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ทำการชำระกายแบบง่าย ๆ จากนั้นก็ลงมือทำแผลให้ตนเอง
ฝู่หลินที่นอนอยู่บนยอดเขามาทั้งวัน ก็ได้ยินเสียงเฟิ่งชิงเฉินร้องตะโกนเช่นกัน ภายในใจพลันรู้สึกอิจฉาคนที่ชื่อหวังจิ่นหลิงยิ่งนัก ที่มีเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียว ที่ไม่ยอมแพ้ ไม่หนีหายไปไหน ทั้งยังบุกน้ำลุยไฟ ปีนเขาลงไปนับร้อยหลี้ เพื่อตามหาเขาเพียงผู้เดียว
นับว่าเป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบครั้นหัวใจของตนเองยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ ปลดผ้าพันแผลของตนเองออกมา แล้วจึงทายาเข้าไป พร้อมทั้งเปลี่ยนผ้าพันแผลเป็นผืนใหม่ พลางบีบนวดขาทั้งสองข้างของตนเองไปมา แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวบนท้องฟ้า แววตาของนางมีความกังวลฉายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“จิ่นหลิง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เจ้าได้ยินเสียงของข้าหรือไม่? หากข้าไม่สามารถหาเจ้าเจอที่นี่ ข้าคงได้แตกสลายเป็นแน่ ” เวลาผ่านไปนานมากแล้ว การที่จะพบเจอจิ่นหลิงจึงเป็นเรื่องที่ยากนัก
ในขณะเดียวกัน ภายในถ้ำใต้ล่างของหุบเขา หวังจิ่นหลิงค่อย ๆ ลืมตาที่หนักอึ้งของตนเองออกมา พร้อมทั้งค่อย ๆ ขยับนิ้วตนเองไปมาเล็กน้อย มุมปากค่อย ๆ โค้งขึ้นมา
ชิงเฉิน เหมือนข้าจะได้ยินเสียงของเจ้า ดีจริง ๆ!
แววตาที่ดูโศกเศร้า พร้อมกับร่างกายที่ค่อย ๆ มีกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น สีหน้าซีดเผือดที่ไร้สี แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าสถานการณ์ของเขาในยามนี้ลำบากยิ่งนัก
หวังจิ่นหลิงพลันหลับตาลง ใบหน้าที่ซูบตอบจนเห็นกระดูกนั้น ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น
เช่นนี้ ข้าจะได้จากไปอย่างสบายใจได้เสียที!