นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 584 ข่าวดี ข้าจะทำทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเจ้า
เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมทั้งค่อย ๆ ยื่นสองมือของตนเองไปจับที่ตัวของหวังจิ่นหลิง จากนั้นก็ค่อย ๆ วางมันลงไป บนหน้าอกของจิ่นหลิง เพื่อนอนฟังลมหายใจของเขา
“ยังอุ่นอยู่ ตัวยังอุ่นอยู่ ยังมีเส้นชีพจร ดีจริง ดีจริง ๆ ยังมีโอกาสช่วยจิ่นหลิง ยังมีโอกาสช่วยเขาอยู่”
เฟิ่งชิงเฉินดีใจเสียจนหัวเราะออกมา หยาดน้ำตาไหลลงมาข้างแก้มอีกครั้ง ยามที่นางกำลังหมดหวังถึงขีดสุด พระเจ้าก็ได้มอบความปีติยินดีกลับมาให้นางอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่กุมมือของหวังจิ่นหลิงเอาไว้
“จิ่นหลิง ข้ารู้ ข้ารู้ว่าเจ้าจะรอข้า” ในช่วงเวลานั้น เฟิ่งชิงเฉินดีใจเสียจนไม่อาจเอ่ยคำบรรยายอันใดออกมาได้ นางมิเคยดีใจมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่ที่นางสอบแพทย์ได้ หลังจากที่นางเข้ามาเป็นหมอเต็มตัวแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางดีใจ เพราะนางสามารถช่วยชีวิตหวังจิ่นหลิงเอาไว้ได้
“ข้าช่างเป็นคนโง่เสียจริง จิ่นหลิงข้าเป็นคนโง่ ข้าทำตัวเองตกใจเสียแทบแย่ ทั้ง ๆ ที่เจ้ามีชีวิตอยู่แท้ ๆ แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้าจะตายไปแล้ว ทำเอาข้าตกใจยิ่งนัก”
“จิ่นหลิง ดูสิ ว่าข้าโง่มากแค่ไหน ข้าช่างไม่เหมาะกับการเป็นหมอเสียจริง ข้าเอาอารมณ์ตนเองมาก่อนความคิดเช่นนี้ ทั้งยังเอาอารมณ์มาตัดสินความเป็นความตายของคนอีกด้วย” เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีเสียจนเอ่ยหยอกล้อให้กับความผิดพลาดของตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ เช็ดหยาดน้ำตาของตนเอง จากนั้นก็หาน้ำมาให้หวังจิ่นหลิงดื่มเล็กน้อย พร้อมทั้งเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมาเพื่อตรวจสอบดูร่างกายของหวังจิ่นหลิง
เป็นอย่างที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด บาดแผลบนร่างกายของเฟิ่งชิงเฉิน หาได้มีที่ใดได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ แต่เป็นเพราะร่างกายกายขาดสารอาหารเสียจนอ่อนแอ ร่างกายของหวังจิ่นหลิงจำเป็นที่จะต้องได้รับการบำรุงอย่างรวดเร็วที่สุด
เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังศพที่อยู่ตรงปลายเท้าของนาง ศพนั่นเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาแล้ว ร่างกายของหวังจิ่นหลิงกำลังอ่อนแอ เขาไม่ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่กลิ่นศพเช่นนี้ นางจำเป็นจะต้องพาหวังจิ่นหลิงออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
หากเป็นในยามปกติแล้วละก็ นางย่อมไม่สามารถพาหวังจิ่นหลิงเดินออกไปได้แน่ แต่ทว่า ร่างกายของหวังจิ่นหลิงในยามนี้ ทั่วร่างมีเพียงก้อนเนื้อเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแค่นางอุ้มเขาเบา ๆ ขึ้นมา นางก็สามารถพาหวังจิ่นหลิงออกมาได้แล้ว
คุณชายใหญ่ที่ได้รับความประคบประหงมเป็นอย่างดีนั้น การที่เขาต้องมาพบเจอสถานการณ์ที่น่าลำบากเช่นนี้ เขาจะทรมานมากเพียงใดกัน ในระยะเวลาเพียงแค่สามเดือน เขาก็เปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเห็นสภาพเขาที่เป็นเช่นนี้แล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
“จิ่นหลิง ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร ถึงได้ทำให้เจ้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปล่อยมันไปแน่ รอจนกว่าพวกเราจะกลับไปก่อน พวกเราจะไปหาคนพวกนั้น เพื่อให้พวกมันรู้ว่า คุณชายใหญ่ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า หาใช่คนที่พวกมันจะมาย่ำยีอย่างไรก็ได้ หากพวกมันคิดจะมาทำกับเจ้าเช่นนี้ พวกมันย่อมต้องชดใช้”
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินหาพื้นที่ราบเรียบ ๆ ได้แล้ว นางจึงได้วางหวังจิ่นหลิงลง พร้อมทั้งหยิบน้ำตาลกลูโคสออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เพื่อทำการให้เจาะเลือดให้น้ำเกลือกับหวังจิ่นหลิง หลังจากที่ปรับระดับการให้น้ำเกลือเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้หยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป็นเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แล้วจึงนำมาห่มให้กับหวังจิ่นหลิง
หลังจากที่ใช้เวลาในการกางเต็นท์แล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้อุ้มหวังจิ่นหลิงเข้าไปด้านในเต็นท์ หลังจากนั้นก็ช่วยหวังจิ่นหลิงชำระล้างร่างกายของตนเอง พร้อมทั้งผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับเขาเป็นตัวที่สะอาดที่สุด เมื่อมองเห็นร่างกายของคุณชายใหญ่ที่มีแต่กระดูกโผล่ออกมามากมายนั้น ความเศร้าโศกภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินจึงฉายแววให้เห็นผ่านทางแววตาอย่างชัดเจน
นอกจากร่างกายที่อ่อนแอแล้ว ทั่วร่างของหวังจิ่นหลิงก็มีบาดแผลด้วยเช่นกัน ที่น่องของเขามีอาการกระดูกร้าว แม้ว่าองครักษ์ของเขาจะทำการจัดการบาดแผลให้แล้ว ทว่า หาได้เข้าที่ไม่ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้จัดการต่อกระดูกให้กลับมาเข้าที่อีกครั้ง
เมื่อเห็นใบหน้าของหวังจิ่นหลิง ที่ต้องมาเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดของการต่อกระดูกแล้วนั้น แต่หวังจิ่นหลิงกลับมิได้แสดงสีหน้าออกมาเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก อดมิได้ที่จะเป็นคนรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เอง ในขณะเดียวกัน นางก็พลันเอาแต่กล่าวโทษตนเองว่า ไม่ยอมสนใจเรื่องราวของจิ่นหลิงให้มากกว่านี้ มิเช่นนั้น จิ่นหลิงก็คงมิต้องมาโดนทำร้ายเช่นนี้เหมือนกัน
คุณชายใหย่ แม้ว่าโลกทั้งใบจะมากองอยู่ตรงหน้า ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันขาดคุณชายใหญ่เช่นเขาไปอยู่ดี เป็นผู้ใดกันแน่ ที่สามารถทำให้จิ่นหลิงมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้ พวกเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขากล้าดีอย่างไรมาทำเช่นนี้!
เฟิ่งชิงเฉินดูแลหวังจิ่นหลิงเป็นอย่างดี ทั้งยังคอยเฝ้าเขาไม่ไปไหน เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าในยามนี้ นางสมควรที่จะบำรุงร่างกายของหวังจิ่นหลิงเสียก่อน เนื่องจากว่า หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะต้องรู้สึกหิวมากอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าหวังจิ่นหลิงหิวมากไปนั้น ก็อาจจะทำให้ปวดกระเพาะก็เป็นได้ ตอนนี้จึงได้แต่ต้องให้เขาทานอาหารอ่อน ๆ สถานการณ์เช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินมีแต่ต้องหาอาหารที่เพิ่มความอบอุ่นมาให้จิ่นหลิงทานเท่านั้น
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่หยิบตะเกียงแอลกอฮอล์ออกมา เพื่อทำการหุงหาอาหารให้จิ่นหลิงกินในทันที นางไม่รู้ว่าหวังจิ่นหลิงจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เฟิ่งชิงเฉินจึงเริ่มลงมือปรุงอาหารในทันที หลังจากนั้นจึงใช้ตะเกียงไฟในการเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย
เมื่อยามราตรีมาถึง บรรยากาศโดยรอบภายในหุบเขาแห่งนี้ อุณหภูมิจึงลดลงด้วยความรวดเร็ว เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าอุณหภูมิบนตัวของหวังจิ่นหลิงลดลงมากกว่าปกตินั้น นางจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องดึงตัวหวังจิ่นหลิงเข้ามากอดเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับเขาตลอดทั้งคืนในทันที
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า ความตั้งใจในการเอาชีวิตรอดของผู่ป่วยบางคนนั้น สามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกเขาได้ในทันที เฟิ่งชิงเฉินจึงใช้เวลาทั้งคืน ในการกระซิบข้างหู เพื่อพูดคุยกับหวังจิ่นหลิง แม้ว่าจะไม่มีปฏิกิริยาอันใดก็ตาม ตนเองพูดคุยไปได้ไม่เท่าไหร่ ลำคอของตนก็เจ็บปวดเสียจนคล้ายว่ามีดมากรีดที่คออย่างไรอย่างนั้น
ยามที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้านั้น ทั้งแขนขาของนางพลันเป็นเหน็บชาในทันที ทว่า เฟิ่งชิงเฉินก็หาได้มีท่าทีบ่นโอดครวญไม่ นางตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา พร้อมทั้งไปตักน้ำมาเพื่อช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับหวังจิ่นหลิงอีกด้วย ยามที่กำลังจะออกไปเทน้ำทิ้งนั้น ก็พลันได้ยินน้ำเสียงอ่อนแรงของหวังจิ่นหลิงดังตามหลังมาในทันที “ชิง เฉิน!”
“ผลัก” อุปกรณ์เจาะเลือดที่เป็นแก้วพลันแตกออกมาในทันที ทั้งยังเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินอีกด้วย
“จิ่นหลิง เจ้าฟื้นแล้ว?” เฟิ่งชิงเฉินรีบหันกายกลับไปในทันที เมื่อเห็นดวงตาที่ลืมได้ครึ่งหนึ่งของหวังจิ่นหลิงนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ดีใจเสียจนต้องร่ำไห้ออกมาในทันที
ในยามนี้ นางถึงเข้าใจแล้วว่า ยามที่ครอบครัวของคนไข้ได้ยินว่า “คนไข้ฟื้นแล้ว” มันเป็นความรู้สึกเช่นไร
ต่อไปนี้ นางจะไม่พูดกับครอบครัวของคนไข้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอีกแล้ว นางในยามนี้ เป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่ห่วงใยสหายคนสนิทของตนเองเท่านั้น
“จิ่นหลิง ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว ดีจริง ๆ เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ” การที่จิ่นหลิงฟื้นขึ้นมาได้นั้น ย่อมหมายความว่าเขาพ้นขีดอันตรายไปแล้ว เขาที่ได้รับการปกป้องจากลูกน้องของตนเองเป็นอย่างดีนั้น ขอเพียงได้รับการบำรุงร่างกายไปช่วงเวลาหนึ่ง ร่างกายก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟูพละกำลังขึ้นมาด้วยตนเอง
“ชิงเฉิน ดีใจจริง ไ ที่ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง” เขาคิดว่าตนเองฝันมาโดยตลอด แม้แต่ในยามที่ตนเองฝันก็ยังได้ยินเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน เขามิคิดเลยว่าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินจริง ๆ หวังจิ่นหลิงพยายามที่จะยกมือของตนเองขึ้นมา พร้อมทั้งค่อย ๆ จับไปที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อยืนยันกับตนเองว่านี่เป็นความจริง หาใช่ความฝันไม่ แต่เขากับพบว่ามือทั้งสองข้างของเขารู้สึกหนักอึ้งยิ่งนัก ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมันขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงเป็นคนที่อ่อนแอ
หวังจิ่นหลิงค่อย ๆ วางมือของตนเองลงที่เดิมด้วยความหงุดหงิด เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นเช่นนั้น นางจึงได้จับมือของเขา ขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มของตนเอง “จิ่นหลิง เป็นข้า ข้ามาแล้ว ข้ามาหาเจ้าแล้ว”
หลังจากที่ได้แตะตัวเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น หวังจิ่นหลิงก็มีกำลังใจขึ้นมาในทันที ทว่า เมื่อเขาเห็นใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงนาง “ลำบากเจ้าแล้ว”
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก ขอเพียงแค่เจ้าไม่เป็นอันใดก็พอ” รอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินช่างเจิดจ้ายิ่งนัก แม้แต่ภายใต้บรรยากาศที่มืดมนเช่นนี้ ก็ไม่อาจบดบังความอารมณ์ดีของนางไปได้
“เจ้าโง่” หวังจิ่นหลิงด่านางด้วยรอยยิ้ม
“ทว่า ข้ามีความสุขยิ่งนัก ข้ามีความสุขที่เจ้ามาหาข้า ชิงเฉิน ขอบคุณเจ้า ขอบคุณเจ้ามาก ๆ ที่มาหาข้า” ทำให้ข้าได้รู้ว่า ตนเองมิได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวภายใต้โลกใบนี้
ชิงเฉิน เจ้าไม่รู้หรอกว่า ข้ามีเพียงเจ้า มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น
หวังจิ่นหลิงค่อย ๆ เอามือลง พร้อมกับนอนหลับตาลง เนื่องจากไม่อยากให้เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นหยาดน้ำตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโศกเศร้าของตนเอง
เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกโกรธเคืองตระกูลหวังยิ่งนัก โกรธเคืองพวกที่เห็นคนตายอยู่ตรงหน้าและไม่ยอมยื่นมือมาช่วยเหลือ หากมิใช่ญาติสนิทของตนเองละก็ หากมิใช่คนในตระกูลที่ยืนข้างเขาละก็ จะให้สตรีที่อ่อนแอเช่นเฟิ่งชิงเฉิน มาตามหาเขาเพียงคนเดียวได้อย่างไรกัน
เขาหาใช่คนโง่ที่ไม่ต้องการแม้แต่ชีวิตตนเอง เพียงเพื่อจะได้นั่งอยู่บนตำแหน่งท่านผู้นำตระกูลไม่ เขารู้ดีว่าผู้ที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้คือผู้ใด เช่นนั้น ในคราแรกเขาถึงได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปที่ตระกูลหวังในทันที
หลังจากนั้น เขาก็รอมาโดยตลอด รอตระกูลหวังจะส่งคนมาช่วยเขา เขารอจนจิตใจของตนเองเปลี่ยนเป็นด้านชาไปหมดแล้ว เขาถึงได้รู้ว่า ในยามนี้เขาถูกตระกูลหวังละทิ้งตนเองไปแล้ว ทางตระกูลหวังย่อมไม่ยอมช่วยเขาเพียงคนเดียว โดยการเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปเป็นแน่ เพียงเพื่อที่จะทำการต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม
หลังจากที่พวกเขาโดนไล่ต้อนให้ตกลงมาภายในหุบเขานี้ พวกเขาก็ใช้เวลาครั้งแล้วครั้งเล่า ในการตีฝ่าวงล้อมของพวกมันออกมา แต่ทว่า ก็มีหลายคนที่ล้มลงไปเพราะการต่อสู้เรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ถ้าหากมิเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินได้จัดเตรียมหยูกยาให้กับเขานั้น พวกเขาและองครักษ์ทั้งหลายคงได้ตายไปนานแล้ว พวกเขาคงจะไปมีชีวิตรอดจนเฟิ่งชิงเฉินมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน
ฮ่าฮ่า ตระกูลของเขา เขาที่สละเลือดเนื้อของตนเอง ทั้งยังทำงานหนักเพื่อตระกูลของตนเองมามากมาย่นนี้ เขาถึงยอมแพ้ต่อตระกูลตนเอง เพียงเพราะพวกเขาคิดจะละทิ้งเขาไปก่อนตั้งแต่แรก
ญาติที่อยู่ด้วยกันกับเขามานานถึงยี่สิบปี ยังมิอาจเทียบกับเฟิ่งชิงเฉินที่เขาเพิ่งรู้จักมาได้ไม่ถึงปีเสียด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องเศร้าใจ หรือว่าดีใจกันแน่